“ต้าไหน่ไหน่ ด้านนอกมีท่านหมอหลายคนมาขอพบ พวกเขาบอกว่าอยากจะให้ท่านช่วยสอนวิธีพันแผลเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่นานคนทั้งหลายก็ถูกเชิญเข้ามาในห้องโถง แรกเริ่มนั้นยังมีความเกร็งอยู่หลายส่วน แต่เมื่อเห็นท่าทีเป็นกันเองของเจินเมี่ยวแล้วก็เริ่มกล้าที่จะเอ่ยปากขอร้องขึ้น
“พวกท่านอยากเรียนวิธีพันแผลที่ข้าทำให้ทหารผู้นั้นหรือ”
“ขอรับ” หมอฉินซึ่งเป็นผู้ที่อายุมากที่สุดในกลุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “เราตรวจดูอย่างละเอียดแล้วพบว่า วิธีที่เซี่ยนจู่ใช้แตกต่างจากที่เราเคยทำมามากยิ่ง ทั้งยังดูแน่นหนายิ่ง หากเราทำเป็นคงมีประโยชน์มากอย่างไม่ต้องสงสัย”
เมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยเช่นนี้ เจินเมี่ยวก็เริ่มครุ่นคิดจริงจัง
หากมันสามารถช่วยเหลือเหล่าทหารทั้งหลายได้ นางย่อมมิปิดบังเก็บซ่อนเป็นแน่
“ได้” นางพยักหน้า “แต่ต้องให้เวลาข้าสักสองสามวัน”
เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของคนทั้งหลายพลันสลดลง เจินเมี่ยวก็ยิ้ม “บริเวณศีรษะ คอ แขนขา หน้าอกนั้นมีวิธีพันแผลที่ต่างกัน แต่บันทึกแพทย์เล่มนั้นข้าอ่านมานานมากแล้ว มีบางส่วนที่ลืมไปบ้าง ให้เวลาข้าคิดสักหน่อยแล้วกัน”
หมอฉินถึงกับเคราสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น “ยังมีวิธีพันแผลอื่นๆ อีกหรือขอรับ”
เมื่อเจินเมี่ยวรับปากแล้ว พวกเขาทั้งหลายก็โล่งอกและดีใจยิ่ง
หลังจากคนทั้งหลายจากไป เจินเมี่ยวก็กำชับไป๋เสาว่า “ไปเอาพู่กันกับหมึกมา”
ก่อนหน้านี้นางได้เรียนวิธีพันแผลแบบต่างๆ มาจริงๆ แต่นานมากแล้วที่มิได้ลงมือทำจึงลืมไปถึงเจ็ดแปดส่วน คงทำได้เพียงค่อยๆ วาดรูปประกอบเพื่อทบทวนความจำ
“สองวันนี้มิต้องมารบกวนข้า นอกเสียจากซื่อจื่อจะกลับมาหรือมีข่าวคราวของเขา”
ตะเกียงในห้องถูกจุดอยู่เช่นนั้นอยู่นานในช่วงสองวันนี้ พริบตาเวลาก็ผ่านไป ในที่สุดเจินเมี่ยวก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
ในบันทึกเล่มนี้นอกจากภาพวาดและอักษรบรรยายวิธีการพันแผลแล้ว นางยังเขียนวิธีห้ามเลือดฉุกเฉินสำหรับแผลบริเวณต่างๆ ด้วย แม้จะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่กลับมีประโยชน์ยิ่ง
“ไปเชิญท่านหมอทั้งหลายมาหน่อยเถิด”
เมื่อหมอทั้งหลายทราบเรื่องก็ดีใจอย่างที่สุด จึงรีบไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ หมอฉินที่กำลังสอนวิธีทาแผลให้ทหารหญิงผู้หนึ่งอยู่ได้ยินข่าวนี้ก็อดรนทนไม่ได้เช่นกัน จึงเอ่ยอย่างรวบรัดไม่กี่ประโยคแล้วตามพวกเขาไปทันที
ทหารหญิงผู้นั้นจึงกลับไปรายงานคุณหนูเหยาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไม่ทราบว่าเซี่ยนจู่มาบอกอันใด หมอทั้งหลายต่างก็รีบบึ่งไปทันที แม้แต่หมอฉินที่อายุมากแล้วยังวิ่งเร็วกว่าคนหนุ่มเสียอีก ฮึ เขารู้แก่ใจดีว่าท่านให้ข้าไปขอคำแนะนำเรื่องการทำแผล แต่ยังละเลยข้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากที่ใด!”
คนด้านข้างจึงเอ่ยเย้าว่า “เจ้าไปสามครั้งแล้ว แต่ยังจำไม่ได้อีก คาดว่าหมอฉินคงตกใจเจ้าจึงวิ่งหนีไปเช่นนั้นกระมัง”
“เจ้า!” ทหารหญิงโมโหจนยกมือทำท่าจะตีอีกฝ่าย
เหยาเยี่ยกุยจึงเอ่ยว่า “เรื่องเล็กเพียงนี้อย่าโมโหไปเลย จยาหมิงเซี่ยนจู่เพิ่งมาจากเมืองหลวง ยากนักที่จะคุ้นเคยกับอากาศที่นี่ได้ คงไม่สบายจึงเรียกหมอไปดูอาการกระมัง”
“แต่ก็มิควรวางอำนาจเพียงนี้ ท่านกำลังบาดเจ็บอยู่แท้ๆ”
แววตาเหยาเยี่ยกุยดุดันขึ้นมา “ดาบอาบโลหิตก็เผชิญมาแล้ว ยังจะกลัวการรอเพียงแค่ครึ่งเค่อนี้อยู่หรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงมิรู้จักสงบสติอารมณ์เสียบ้าง”
ครานี้ทหารหญิงจึงมิกล้าเอ่ยอันใดอีก
เมื่อหมอทั้งหลายได้ไปพบเจินเมี่ยวอีกครั้งก็อดตกใจมิได้
จยาหมิงเซี่ยนจู่ที่อยู่ตรงหน้าดูเหนื่อยอ่อนซีดเซียวกว่าสองวันก่อนไปไม่น้อย โดยเฉพาะรอยคล้ำใต้ตา เห็นชัดว่ามิได้นอนเต็มตาสักเท่าใด
เจินเมี่ยวส่งบันทึกเล่มหนึ่งให้ไป “พวกท่านลองอ่านดู แล้วค่อยไปทดลองทำกับคนจริงๆ”
เสี่ยวโต้วจื่อรับมาแล้วส่งให้หมอฉิน “ข้าไม่รู้ตำรา ท่านหมอฉินอ่านดูหน่อยเถิด”
หมอฉินรับมาเปิดอ่านจึงเห็นภาพสมจริงดั่งมีชีวิต ทุกขั้นตอนวาดออกมาได้ชัดเจนยิ่งจึงอดตกตะลึงมิได้ ผ่านไปนานจึงยกมือขึ้นลูบภาพวาดในบันทึกแล้วเอ่ยว่า “เซี่ยนจู่ได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงนัก โปรดรับการคำนับจากข้าน้อยด้วยเถิด!”
เมื่อเขาคุกเข่าลง คนอื่นๆ จึงรีบคุกเข่าตาม
เจินเมี่ยวรีบเข้าไปประคองให้เขายืนขึ้นพลางเอ่ยว่า “ทุกท่านมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าเพียงพยายามทำในส่วนที่พอทำได้เท่านั้น พวกท่านรีบลุกขึ้นเถิด การเรียนวิธีตามภาพวาดนี้ให้ได้เร็วที่สุดต่างหากที่สำคัญ”
คนทั้งหลายจึงลุกขึ้น เสี่ยวโต้วจื่อมองภาพวาดในบันทึกนั้นไม่วางตาแล้วอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ตำรา แต่ภาพวาดนี้ช่างชัดเจนเป็นขั้นตอนนัก ต่อไปก็มิต้องกลัวว่าจะทำไม่เป็นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ พี่เสี่ยวหงก็มิต้องมาหาท่านทุกวันแล้ว”
“พี่เสี่ยวหง?”
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวถาม หมอฉินจึงเอ่ยอธิบายว่า “นางเป็นองครักษ์ของแม่ทัพเหยา หลังจากแม่ทัพเหยาได้รับบาดเจ็บก็มิสะดวกมาพบหมอเช่นเรา จึงให้เสี่ยวหงมาเรียนวิธีทำแผลอย่างง่ายๆ กับข้า”
เจินเมี่ยวพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปกำชับว่า “ไป๋เสา เจ้าไปหาแม่ทัพเหยาที แล้วถามนางว่าอยากจะส่งทหารหญิงสักสองสามคนมาเรียนวิธีห้ามเลือดและพันแผลอย่างง่ายหรือไม่”
“หา เซี่ยนจู่บอกว่าจะสอนวิธีห้ามเลือดและพันแผลให้กับทหารหญิงหรือ” เหยาเยี่ยกุยได้ยินแล้วก็อดลุกขึ้นนั่งมิได้
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านหมอทั้งหลายต่างรออยู่ที่เรือนของเซี่ยนจู่ หากแม่ทัพเหยายินดีก็ส่งทหารหญิงสักสองสามคนไปเรียนด้วยกันได้ หากหาคนมิได้ บ่าวก็จะกลับไปเรียนเซี่ยนจู่ก่อนเจ้าค่ะ” ไป๋เสาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหยาเยี่ยกุยมองไปโดยรอบ ทำให้องครักษ์ทั้งหลายต่างรีบเก็บสายตาประหลาดใจของตนไว้ทันที สุดท้ายนางจึงหันไปยิ้มให้ไป๋เสาแล้วเอ่ยว่า “โปรดรอสักครู่”
หลังจากนั้นจึงคัดคนออกมาสี่คน “พวกเจ้าตามแม่นางไป๋เสาไป”
เมื่อคนไปแล้วก็มีองครักษ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านแม่ทัพ เซี่ยนจู่ผู้นั้นจะทำเรื่องพวกนี้ได้จริงๆ หรือ”
เหยาเยี่ยกุยขมวดคิ้วมุ่น
ที่แท้มันเรื่องอันใดกันแน่ เหตุใดบรรดาองครักษ์ของนางจึงคล้ายมีอคติต่อจยาหมิงเซี่ยนจู่เช่นนี้
นางชื่นชมความเก่งกาจของแม่ทัพหลัวนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็มิเคยแสดงออกมาแม้เพียงเศษเสี้ยว ยิ่งมิเคยคิดจะไปแย่งชิงเขากับผู้อื่นเลย ความปรารถนาอันสูงสุดของนางคือการได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่และร่ำสุราด้วยกันเท่านั้น
“หากจยาหมิงเซี่ยนจู่มิได้มีความสามารถในด้านนี้จริง แล้วท่านหมอทั้งหลายจะรีบร้อนไปหานางด้วยเหตุใดกัน”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ ต่อไปอย่าได้เอ่ยอันใดเช่นนี้อีก ข้าไม่อยากฟัง”
เหยาเยี่ยกุยรู้สึกเพลียขึ้นมาจึงให้คนทั้งหลายออกไป นางหลับตาลงเพียงครู่ พริบตาฟ้าก็เริ่มมืดเสียแล้ว ทหารหญิงทั้งสี่ที่ส่งไปก็กลับมาในที่สุด แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเบิกบาน
“ท่านแม่ทัพ ข้าพันแผลเป็นแล้วหนึ่งแบบ จยาหมิงเซี่ยนจู่บอกว่าพรุ่งนี้จะสอนข้าอีกสองวิธี ทุกวิธีล้วนต้องฝึกจนชำนาญจึงใช้ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อเหยาเหยี่ยหมิงสอบถามอย่างละเอียดแล้ว แววตานางก็ยิ่งเป็นประกาย “ถึงกับวาดภาพวิธีหยุดเลือดและพันแผลเชียวหรือ เช่นนี้ก็คงสามารถฝึกสอนหมอกลุ่มใหม่ให้เข้าใจวิธีจัดการบาดแผลได้ในเวลาอันสั้นใช่หรือไม่”
หมอในสงครามแตกต่างจากหมอทั่วไปอยู่มาก พวกเขามิจำเป็นต้องรอบรู้ในการรักษาโรคชนิดต่างๆ แต่ที่สำคัญคือต้องรู้วิธีจัดการกับแผลภายนอก
“ดีเหลือเกิน ไม่ได้แล้ว ข้าต้องไปพบจยาหมิงเซี่ยนจู่ด้วยตนเองสักหน่อย!” เหยาเยี่ยกุยยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น นางฟาดมือลงไปบนโต๊ะแล้วร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
คนทั้งหลายต่างหน้าเสียหน้าซีด “ท่านแม่ทัพ ใจเย็นก่อน เลือดออกอีกแล้ว!”
วันถัดมา
“ปลาพวกนี้…”
ทหารหญิงที่เคยมาเรียนก่อนหน้านี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยนจู่ ปลานี้ท่านแม่ทัพให้ข้าไปหว่านแหจับมาเมื่อคืน วันนี้จึงรีบเอามาให้ท่านแต่เช้า ท่านจะได้กินปลาสดใหม่เจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวลูบจมูกตนคราหนึ่ง รู้สึกไม่เข้าใจความคิดของเหยาเยี่ยกุยเลยจริงๆ
แต่ปลาพวกนี้ตัวไม่ใหญ่นัก ทั้งยังสดใหม่ หากนำมาทำปลาทอดกรอบน่าจะเหมาะที่สุด แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว
แค็กๆ คล้ายว่าจะคิดไกลเกินไปแล้ว
เจินเมี่ยวเก็บความคิดตนทันที นางลอบกลืนน้ำลายตนแล้วเอ่ยอย่างสงวนท่าทีว่า “ขอบคุณแม่ทัพเหยาแทนข้าด้วย”
ด้วยฐานะของเจินเมี่ยวย่อมมิสะดวกที่จะสอนหมอทั้งหลายด้วยตนเองในทุกๆ วัน นางจึงสอนไป๋เสาและชิงไต้ แล้วให้พวกนางทำหน้าที่แทนตน
เมื่อคนทั้งหลายกลับไปแล้ว ปลาทอดกรอบก็เสร็จพอดี เจินเมี่ยวเอ่ยกับทหารหญิงที่กำลังเบิกตาอ้าปากค้างผู้นั้นว่า “ยกอาหารพวกนี้ไปให้แม่ทัพเหยาชิมดูสักหน่อยเถิด”
ไป๋เสาขยับปากขมุบขมิบ แต่สุดท้ายก็มิเอ่ยอันใดออกมา เพียงมองทหารหญิงผู้นั้นยกจานปลาเดินออกไป
หลัวจากนั้นไป๋เสาก็พลันรู้สึกว่าเรื่องราวออกจะแปลกพิกลอยู่บ้าง
ทุกเช้าทหารหญิงที่มาเรียนจะนำวัตถุดิบสดใหม่มาด้วยเสมอ แต่ละวันไม่ซ้ำกัน ก่อนจากไปก็จะนำอาหารที่ต้าไหน่ไหน่กลับไปด้วย
เหตุการณ์เช่นข้าสุขเจ้าสันต์เราร่วมมือกันเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
วันนี้ทางนั้นส่งนกกระจอกมาให้หลายพวง เจินเมี่ยวรับมาคิดว่าจะย่างกิน และแล้วหลัวเทียนเฉิงก็กลับมาในที่สุด
เจินเมี่ยวดีใจยิ่ง นางคอยช่วยเขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง ทั้งยังเขย่งเท้าเพื่อจัดคอเสื้อให้เขาอีก “ในที่สุดท่านก็กลับมา กลางวันข้ายุ่งจึงมิได้คิดมาก แต่พอตกดึกข้าก็หวาดผวาอยู่ตลอด”
“ไม่มีอันใดหรอก ยามนี้ทหารชิงเป่ยกับข้ามีกำลังเสมอกัน การผลัดกันบุกผลัดกันรับนั้นเป็นเรื่องปกติยิ่ง แต่น่าเสียดายเสบียงที่ถูกชิงไปเหล่านั้น คนที่ถูกเผาไปก็คงมิอาจหวนกลับมาแล้ว” หลัวเทียนเฉิงกอดเจินเมี่ยวไว้ครู่หนึ่ง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสอนวิธีหยุดเลือดกับวิธีพันแผลให้หมอเหล่านั้นหรือ มันมีประโยชน์ยิ่ง เจี๋ยวเจี่ยวคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
“ข้าแค่โชคดีเท่านั้นที่บังเอิญได้อ่านตำราแพทย์เล่มหนึ่งเข้า ท่านหิวแล้วกระมัง กินอะไรรองท้องก่อนเถิด”
เจินเมี่ยวให้คนยกบะหมี่เข้ามา ส่วนตนก็ไปย่างนกกระจอก
กลิ่นหอมลอยคลุ้งมา หลัวเทียนเฉิงนั่งรออยู่ข้างๆ เจินเมี่ยวย่างเสร็จก็ส่งให้เขา เขารับมาก็กินทันที กระทั่งนางย่างหมดแล้วจึงพบว่า นอกจากที่อยู่มือนางสองไม้ก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย
หลัวเทียนเฉิงรีบยกมือขึ้นอย่างว่าง่าย “มันหอมเหลือเกินจริงๆ ข้าจึงอดไม่ได้ สองไม้นั้นเจ้ากินเถิด”
เจินเมี่ยวคิดว่าเขาเหนื่อยมาหลายวัน จึงถอนหายใจแล้วยื่นนกกระจอกที่ย่างจนเหลืองกรอบอันหอมกรุ่นนั้นให้เขาไป “ท่านกินเถิด”
“เรากินคนละไม้ดีหรือไม่”
“อืม”
คนทั้งสองสบตากัน แล้วกินด้วยกันอย่างหวานชื่น ยามนี้เองเจินเมี่ยวจึงเพิ่งนึกขึ้นได้
คล้ายว่า…ลืมส่งไปให้แม่ทัพเหยาด้วย!
บาดแผลของเหยาเยี่ยกุยหายดีไปเกือบเจ็ดแปดส่วนแล้ว นางเดินวนไปมาอยู่ภายในห้อง ทั้งยังคอยสอดส่ายสายตามองหน้าประตูตลอดเวลา
องครักษ์จึงอดเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าประคองท่านออกไปเดินเล่นดีหรือไม่ แม่ทัพหลัวกลับมาแล้ว บางทีอาจจะได้ข่าวคราวของศัตรูมาเล่าสู่ท่านฟังด้วย”
เหยาเยี่ยกุยส่ายหน้า “หากมีข่าวเร่งด่วยจริงๆ แม่ทัพหลัวคงส่งคนมาแจ้งข้านานแล้ว”
องครักษ์ถึงกับมึนงงไป ในใจก็กล่าวว่าท่านแม่ทัพเป็นอันใดไป มิได้ร้อนใจจะไปพบแม่ทัพหลัว แล้วเหตุใดพะว้าพะวังเช่นนี้เล่า
ในที่สุดเหยาเยี่ยกุยก็ทนไม่ได้ นางยกมือขึ้นปิดปากแล้วไอออกมา “ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเหตุใดจึงไม่มีคนจากเรือนเซี่ยนจู่มาเลย”
เมื่อทราบข่าวว่านกกระจอกเหล่านั้นถูกหลัวเทียนเฉิงกินจนหมดแล้ว เหยาเยี่ยกุยก็กุมหน้าอกตนไว้ พลันรู้สึกว่าภายในบาดเจ็บสาหัสขึ้นมาหลายส่วน