อ๋องฉีพยักหน้า พระชายาฉีอ้าปากขึ้นยังไม่ทันได้พูดอะไรหวงฝู่อี้เซวียนก็จับแขนนางข้างหนึ่งราวกับกลัวว่านางจะวิ่งออกไป ลากนางเข้าประตูจวนแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ข้าพาโยวเอ๋อร์ไปที่เรือนของข้า”
เห็นอาการของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว พระชายาฉีก็รู้สึกทั้งยินดีทั้งเป็นห่วง หันหน้ามาพูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง พวกเขาทั้งสองเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่ทางที่ดี ท่านคิดว่าพวกเราทั้งสองไปที่จวนราชเลขาอีกครั้งดีไหมเพคะ แล้วก็จัดการยกเลิกการแต่งงานเสีย”
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับหลินหันเยียน ใต้เท้าราชเลขาเห็นอ๋องหลิงก็ไม่ได้ไมตรีเช่นแต่ก่อน แม้จะไม่ถึงขั้นแสดงออกต่อหน้าผู้คน แต่ถ้าสามารถหลบได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ณ ตอนนี้ก็ไม่ยอมที่จะมาแสดงตัวต่อหน้าเขา ถึงแม้อ๋องฉีต้องการจะคุยเรื่องหวงฝู่อี้เซวียนกับหลินหันเยียนก็หาโอกาสไม่ได้เสียที ในใจของอ๋องฉีทราบดี ว่าเขาจงใจหลบหน้าตัวเอง รอให้ฮ่องเต้ทรงจัดการค่อยว่ากันอีกที
อ๋องฉีได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “ได้ข่าวว่าคุณหนูหลินยังป่วยอยู่ ตอนนี้พวกเราไปเอ่ยถึงเรื่องนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก รออีกสักระยะเถิด รอดูก่อนว่าเสด็จพี่ฮ่องเต้กับเสด็จแม่จะตัดสินเช่นไร”
ขอแต่จวนราชเลขาไม่ยอมอ่อนข้อ การยกเลิกการแต่งงานนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พระชายาฉีถอนหายใจ ค่อยๆ เดินกลับไปอย่างแช่มช้า พลางคิดว่าตัวเองควรจะไปคุยกันกับฮูหยินราชเลขาเป็นการส่วนตัวดีไหม ให้พวกเขายอมยกเลิกการแต่งงานนี้ ไม่ว่าจะมีข้อแม้ใดตัวเองก็จะรับปากทั้งนั้น
อ๋องฉีเดินอยู่ข้างๆ ตามนางกลับเรือน
พระชายาฉีรู้สึกตัว ถามว่า “วันนี้ท่านอ๋องไม่จัดการงานราชการหรือเพคะ”
“วันนี้ข้าไม่มีธุระอะไร จะไปนั่งคุยกับเจ้า”
พระชายาฉีตอบอย่างไม่ค่อยกระตือรือร้นว่า “ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉันรับปากไว้ว่าจะทำชุดให้แม่นางเมิ่ง ตอนนี้ยังเช้านัก ไม่มีเวลาอยู่คุยกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องไปหาน้องสาวดีกว่าเพคะ” ว่าแล้ว ก็เดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป
อ๋องฉีเจอเข้ากับหนามที่ปักเข้าอย่างนิ่มๆ ชะงักฝีเท้าพลัน แล้วจึงเดินกลับไปยังห้องอักษรจัดการกับงานราชการ
หวงฝู่อี้เซวียนดึงเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้องของตัวเอง กอดนางแน่นๆ ไว้ในอ้อมแขน เอาหน้าผากชนกับหน้าผากของนาง ลมหายใจร้อนผ่าวหายใจรดใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ข้าคิดถึงจะแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจากแววอันอันสงบลึกล้ำของเขา สัญชาตญาณเครียดเขม็ง กลืนน้ำลายอึกโดยไม่รู้ตัว “อี้เซวียน เจ้า…”
“โยวเอ๋อร์ ข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยพูดขึ้นพร้อมกัน รู้สึกว่าปากค่อนข้างแห้งผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวผ่านชีวิตมาสองภพแล้ว ถึงแม้ภพที่แล้วจะยังไม่ทันได้มีประสบการณ์เรื่องชายหญิงก็ดันมาตายไปก่อน แต่ความระมัดระวังในภพที่แล้วทำให้นางรู้สึกได้ถึงความอันตรายของหลวงฝู่อี้เซวียน ผลักเขาเบาๆ คิดจะถอยออกห่างจากเขา
หวงฝู่อี้เซวียนกลับใช้กำลังมากขึ้น ลมหายใจอันร้อนผ่าวแผดเผาบนศีรษะของนาง ส่งเสียงแหบพร่า “โยวเอ๋อร์ อย่าขยับ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าขยับ
หวงฝู่อี้เซวียนจึงหายใจได้อย่างราบรื่น
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดทว่าสวยงาม
รับรู้ได้ว่าหัวใจที่เต้นแรงของนางค่อยๆ สงบลง เมิ่งจึงเอ่ยพูดขึ้นเบาๆ เบี่ยงเบนความสนใจของเขา “ตอนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว สิ่งที่พระชายาเป็นห่วงในที่สุดก็ปล่อยวางได้แล้ว”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ”
ศีรษะของหวงฝู่อี้เซวียนแนบอยู่บนศีรษะของนาง ทุกครั้งที่ขยับริมฝีปากก็จะสะเทือนถึงสติสัมปชัญญะของเมิ่งเชี่ยนโยว “ตลอดหลายปีมานี้ เสด็จแม่นอกจากจะเป็นห่วงข้าแล้ว อีกคนที่เป็นห่วงก็คือท่านน้า หลายปีผ่านมาตัวข้าสาบสูญไร้ร่องรอย ท่านน้าเป็นญาติเพียงคนเดียวที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเสด็จแม่ ยิ่งไปกว่านั้น ในใจของท่านน้าก็รู้สึกผิดมาตลอด หลายปีนี้เพื่อตามหาตัวข้า จึงไม่ได้แต่งงานเลย ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา ตระกูลฉู่ก็จะไร้เชื้อสายสืบสกุล”
“ใช่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นด้วย “เลือดข้นกว่าน้ำ หลายปีมานี้พระชายาอ๋องมีเรื่องกังวลมากมาย นี่เป็นสาเหตุที่ร่างกายของนางทรุดโทรม”
“ต่อไปก็จะไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว รอหลังจากพวกเราแต่งงานกัน อยู่เคียงข้างนางทุกวัน มีลูกหลายคน บรรยากาศครึกครื้น เสด็จแม่ก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเพ้อฝัน จินตนาการถึงลูกๆ ที่เจี๊ยวจ๊าวอยู่เต็มเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง
หวงฝู่อี้กับชิงหลวนรวมถึงจู๋หลีต่างก็เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือน เห็นทั้งสองคนออกมาเร็ว จึงเกิดความแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะมองพวกเขาทั้งสองคนอีกสองสามครั้ง นั่นจึงพบว่าริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงเจ่อ รีบถามขึ้นอย่างตกใจว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านเป็นอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นฉับพลัน
ชิงหลวนกับจู๋หลีหันไปมองทันที
หวงฝู่อี้เซวียนโมโหเตะหวงฝู่อี้ไปหนึ่งที “ไสหัวไปทางนั้นเลย เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม”
ถึงอย่างไรหวงฝู่อี้ก็อายุยังน้อย อีกทั้งยังติดตามหวงฝู่อี้เซวียนตลอด ไม่เคยรู้เรื่องระหว่างชายหญิง โดนเตะไปทีหนึ่งโดยไร้เหตุผล ทำหน้ามุ่ย เดินไปยืนอีกด้านอย่างอยุติธรรม
มีเรื่องในครั้งที่แล้วที่เมิ่งฉีไล่ตีหวงฝู่อี้เซวียน ดูเหมือนว่าชิงหลวนกับจู๋หลีจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก้มหน้าลงโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่มองหน้าของทั้งสองคน
เดินออกจากจวน หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นหลังม้า ตัวเองก็กระโดดขึ้นตามไป นั่งบนม้าตัวเดียวกัน เดินออกไปยังทิศใต้ของเมิงอย่างแช่มช้า
สองคนออกจากจวน ก็มีคนเอาเรื่องของพวกเขามาบอกพระชายาฉี
พระชายาฉีชะงักมือที่กำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าเสียใจดี
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ผู้คนที่สัญจรตามท้องถนนก็มีไม่มาก หวงฝู่อี้เซวียนกอดเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่บนหลังม้า เดินอย่างเชื่องช้าไปจนถึงหน้าประตูจวนของเมิ่งเชี่ยนโยว
กระโดดลงแล้วก็อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวลง พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าไม่เข้าไปล่ะ พี่รองเห็นข้าเข้าจะโมโหเอา”
—————————-