ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 451 คนที่แตกต่างจากคนอื่น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหออิ่ง ความคิดในใจกระจัดกระจาย พริบตานั้นไม่รู้ว่าความสนใจลอยไปยังที่ใด

ภาพมากมายปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับเป็นอนาคตที่อยู่ไม่ไกลออกไป

ราชาปีศาจเยี่ยนจ้าวเกอหรือจอมมารเยี่ยนจำเป็น กดดันใต้หล้า มัวเมาในสุรานารี ก่อกรรมทำเข็ญ ทำทุกอย่างตามใจชอบ

เขาช่วงชิงลูกศิษย์หญิงเหออิ่งที่อ่อนเยาว์และงดงามมาจากสำนักเมฆาโลหิต ชายหนุ่มที่พบรักกับเหออิ่งสาบานว่าจะจัดการจอมมารเยี่ยนให้ได้ เพื่อช่วยเหลือคนรักที่ถูกรักพาตัวไป

ในอดีตชายหนุ่มเคยไม่เอาอ่าว แต่ปัจจุบันเป็นเพราะมีวาสนา จึงได้เปิดเส้นทางแห่งโชคชะตาของตัวเอง พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังอ่อนแอมาก แต่ว่าก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ข้างซ้ายมีคัมภีร์ลับ ข้าขวามีอาวุธเทพ ตรงเอวมีลูกกลอนเซียน มีบรรพบุรุษซ่อนอยู่ในอก

ชายหนุ่มประสบความสำเร็จ สุดท้ายคว่ำจอมมารเยี่ยนลงได้ ช่วยเหลือหญิงงามได้ตามต้องการ

เยี่ยนจ้าวเกอที่เหม่อลอยอยู่ชั่วขณะได้สติกลับมา สายตาพิจารณาเหออิ่งพิจารณาเหออิ่งด้วยความประหลสดใจอยู่บ้าง

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ ถึงแม้จะไม่มีแววหยาบโลน แต่เหออิ่งยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี

พวกหลัวจิ่งฮ่าวเห็นดังนั้น ก็มีสีหน้าก็ประหลาดใจขึ้นมา

การมองสตรีเช่นนี้ มิอาจไม่ทำให้คนรู้สึกว่า ท่านไม่มีความคิดเป็นพิเศษกับนาง

เขามองเหออิ่ง ความจริงอยากจะถามว่า ‘แม่นาง เจ้าคงไม่ได้มีเหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1]ที่รักกันมานานปี ซึ่งในอดีตไม่เอาอ่าว แต่ตอนนี้กำลังเดินอยู่บนบนเส้นทางแห่งการผุดขึ้นใช่หรือไม่’

แต่เขาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้

เรื่องบางเรื่องและคนบางคนในอดีต ตอนนี้พอนึกถึง เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่สนใจอีกแล้ว

ต่อให้มีเรื่องที่คล้ายกัน เยี่ยนจ้าวเกอสมควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด

ความคิดเมื่อครู่นี้เป็นเพราะเขาอยากจะสัพยอกเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางโบกมือ “เจ้าไปพักผ่อนก่อน ตอนนี้ยังไม่มีธุระของเจ้า”

เหออิ่งประหลาดใจสุดบรรยาย แต่ว่าตอนนี้นางไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้แต่ยอมทำตาม

ชายหนุ่มมองเจ้าสำนักเขาเขามังกรเขียวและเจ้าสำนักอัสนีคำรน แล้วกล่าวอย่างราบเรียบ “ท่านทั้งสองทำงานได้ไม่เลว”

พวกหลัวจิ่งฮ่าวโค้งคับนับ “ท่านเกรงใจไปแล้ว”

บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอทำให้พวกเขารู้สึกคาดเดาไม่ถูกมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสองไม่กล้าพูดมากความ แต่ในใจกลับร้อนเร่า

หลังจากพญาปักษามาที่ภูเขาหิมะสพานหยก ก็รั้งอยู่ทันที ขณะที่ทำให้คนของสำนักเมฆาโลหิตยอมตัดใจ ก็ทำให้พวกหลัวจิ่งฮ่าวแน่ใจว่า เยี่ยนจ้าวเกอมีความสามารถกรองสายเลือดสัตว์ปีศาจได้จริงๆ

ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น มาตรว่าพญาปักษาชิงเหนี่ยวจะมิได้มองเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศัตรู แต่จะยอมรั้งอยู่อย่างเชื่อฟังเช่นนี้หรือ?

สายเลือดมังกรไร้เขาชิงชือของสำนักเขามังกรเขียวเป็นทายาทเลือดผสมของมังกรแท้ สายเลือดราชสีห์วิเศษซวนหนีของสำนักอัสนีคำรนก็ไม่บริสุทธ์เช่นเดียวกัน

ถ้าหากรองสายเลือดสัตว์ปีศาจที่ใช้ฝึกฝนได้ จะส่งผลสำคัญต่อวิชาของสำนักของพวกเขาทั้งสำนัก

ไม่เพียงแต่พลังในปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เป็นผลดีต่อคนรุ่นหลัง

โดยเฉพาะจอมยุทธ์สำนักเขามังกรเขียวเช่นพวกหลัวจิ่งฮ่าวที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเขาแน่ใจแล้วว่า ต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจเพิ่มระดับสายเลือดของมังกรไร้เขาชิงชือ แต่ตัวเขาก็ครอบครองพลังแห่งสายเลือดมังกรแท้อยู่

เยี่ยนจ้าวเกอทราบความในใจของพวกเขาดี แต่ไม่ถือสา

ในหลายวันมานี้ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจการฝึกฝนของจอมยุทธ์เลือดปีศาจมากขึ้น

“มิใช่มีแค่คนในยุคนี้เท่านั้น ที่มีความคิดและความต้องการในการกรองสายเลือด” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างราบเรียบ “ก่อนมหาภัยพิบัติมีคนเคยคิดมาก่อนแล้ว”

“ถึงอย่างไร สัตว์ปีศาจเลือดบริสุทธิ์หลายตัวมีการขยายพันธุ์ค่อนข้างจำกัดอยู่บ้าง”

ชายหนุ่มอธิบายอย่างเรียบง่าย แต่พวกหลัวจิ่งฮ่าวเหมือนได้ยินเสียงราชโองการ

ดวงตาของพวกเขาพลันมีความคาดหวัง ไม่กล้าระบายลมหายใจรุนแรง เพียงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกังวล

เขากล่าวต่อ “ก่อนมหาภัยพิบัติ มีวิชาโบราณชื่อว่าวิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์ สามารถกรองสายเลือดของสัตว์ปีศาจเพื่อเพิ่มระดับได้”

เขากวาดมองพวกหลัวจิ่งฮ่าว “ข้าได้วิชานี้มาโดยบังเอิญ…”

หลัวจิ่งฮ่าวกับเจ้าสำนักอัสนีคำรนกลั้นลมหายใจพร้อมกัน

เมื่อได้ยินคำว่า ‘วิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์’ ในใจของพวกเขาก็มีความมั่นใจขึ้นจริงๆ

ในกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หลังจากมหาภัยพิบัติ พวกจอมยุทธ์เลือดปีศาจที่อยู่ในโลกลอยน้ำกำลังคลำทางอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่ามรดกก่อนมหาภัยพิบัติจะเหลือน้อยมาก ทว่าสิ่งที่เหมาะสมกับจอมยุทธ์เลือดปีศาจยิ่งมีน้อยกว่า กระนั้นจอมยุทธ์เลือดปีศาจก็กำลังพยายามขุดค้นมรดกทุกอย่าง เพื่อตามหาสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในจำนวนนี้ ชื่อของวิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์และตำนานของมัน ย่อมดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์โลกลอยน้ำ

เนื่องจากประสิทธิผลที่อยู่ในข่าวลือ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝนของจอมยุทธ์เลือดปีศาจ

น่าเสียดาย มหาภัยพิบัติทำให้วิธีใช้วิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์สาปสูญ เหลือเพียงแต่เรื่องเล่า จอมยุทธ์โลกลอยน้ำต่างรู้สึกเสียดาย

วิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์ ไม่อาจยืนยันว่าจะมีผลเพิ่มระดับได้สำเร็จแน่นอน ต้องดูสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมดาด้วย

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ทำให้พวกหลัวจิ่งฮ่าวอยากได้จนน้ำลายสอแล้ว

“สำหรับจอมยุทธ์เลือดปีศาจ คิดจะเพิ่มระดับเลือดปีศาจที่หลอมเข้าไปในร่าง ก่อนอื่นต้องเตรียมเลือดปีศาจดั้งเดิมให้มากพอ จากนั้นก็เหนี่ยวนำโดยใช้วิชาลับ ทำให้เลือดปีศาจเกิดการเปลี่ยนแปลง ผสมเลือดใหม่และเลือดเก่า”

“ถ้าหากเป็นสัตว์ปีศาจ ก็ลองเพิ่มระดับได้โดยตรง”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดถึงตรงนี้ ก็เปลี่ยนหัวข้อ “เลือดใหม่และเลือดเก่าผสมกันอย่างไร พวกท่านศึกษาวิธีการเองเถอะ”

พวกหลัวจิ่งฮ่าวรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ ได้แต่ต้องถอยก่อน

หลังจากพวกเขาจากไป สวีเฟยก็กล่าวว่า “สุดท้ายพวกเราต้องกลับโลกแปดพิภพ ดูจากความต้องการก่อนหน้าของจ้าวเกอแล้ว คล้ายกับคิดสนับสนุนสำนักกระเรียนหิมะ ถ้าหากมอบวิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์ให้กับจอมยุทธ์เลือดปีศาจของที่นี่ เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อสถานการณ์ของสำนักกระเรียนหิมะ”

“ถึงแม้ว่าจะมีโซ่กระดูกมังกรอยู่ในมือ แต่สำนักกระเรียนหิมะก็เสี่ยงสู้พวกเขาที่มีจำนวนคนมากกว่าไม่ได้ สำนักเขามังกรเขียวอาจจะต้องการให้สำนักกระเรียนหิมะประสบคราเคราะห์มากที่สุดก็เป็นได้”

สวีเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคิดจะนำวิชาชำระวิญญาณขึ้นสวรรค์มอบให้พวกเจ้าสำนักซูเก็บรักษา เพื่อควบคุมจอมยุทธ์เลือดปีศาจใช่หรือไม่ แต่ต้องระวังไว้ด้วยว่าจะกลายเป็นต้องโทษเพราะครอบครองหยก [2]ทำให้จอมยุทธ์เลือดปีศาจรุมจู่โจม”

“วิชาชำราวิญญาณขึ้นสวรรค์มีประโยชน์มากมายจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนยอมเสี่ยง ศัตรูในตอนแรกอาจวางความแค้นลงชั่วคราว แล้วร่วมมือกัน”

สวีเฟยวิตกเล็กน้อย “สิบปีต่อจากนี้ ไม่แน่ว่าทางเชื่อมระหว่างสองโลก อันเกิดจากสายรุ้งกางเขนจะเปิดอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “การวิเคราะห์ของศิษย์พี่สวีท่านใช่ว่าจะไร้เหตุผล แต่ว่าอย่าดูถูกท่านน้าซูไป นางมีความสามารถในการควบคุมจอมยุทธ์เลือดปีศาจดียิ่ง”

“ถึงแม้พวกเราต้องจัดการพวกที่มารุกราน แต่ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้แก่ท่านน้าซูแน่”

สวีเฟยพยักหน้า “เจ้ามั่นใจย่อมประเสริฐ”

ชายหนุ่มหันมา พลันเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงเหม่อมองตนอยู่

เมื่อเห็นตนมองมา เฟิงอวิ๋นเซิงก็ละสายตาไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย

เขาถามด้วยรอยยิ้ม “เกิดอะไรขึ้น มีดอกไม้ขึ้นบนหน้าข้าหรือ”

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยอันใด เพียงใช้ปราณจิตรากระซิบ

เสียงของนางดังขึ้นข้างหูเยี่ยนจ้าวเกอ ‘ศิษย์พี่เยี่ยน กล่าวเช่นนี้อาจจะเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่ขณะที่ข้ามองท่าน บางครั้งมีความรู้สึกพิเศษอยู่’

‘ข้ารู้สึกว่าท่านเหมือนไม่เข้ากันกับคนรอบๆ ถึงแม้รอบข้างจะเสียงดังวุ่นวาย ท่านก็ยังพูดจาด้วยความกระตือรือร้น ทว่ากลับมีความรู้สึกแปลกหน้าและห่างเหิน คล้ายกับพวกเราอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ท่านไม่เหมือนกับพวกข้า ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ทุกคน’

……………………………………….

[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ สำนวนจีน หมายถึง เพื่อนในวัยเด็ก

[2] ต้องโทษเพราะครอบครองหยก สำนวนจีน หมายถึง เป็นอันตราย เพราะมีความสามารถ