ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 452 ตำแหน่งของกระจกอีกครึ่งบาน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยความงงงวยเล็กน้อย

เขาตั้งสติ ถามด้วยรอยยิ้ม ‘เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้ ทุกคนใช้สองไหล่ประคองศีรษะไว้หนึ่งข้างเหมือนกัน มีอะไรไม่เหมือนหรือ’

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้าเล็กน้อย ในเมื่อพูดถึงแล้ว ก็ไม่อมพะนำไว้อีก ‘ข้าเพียงแค่รู้สึกเช่นนี้เท่านั้น ความรู้สึกอาจจะไม่ถูกก็ได้’

‘ที่ข้าบอกว่าไม่เหมือนกัน เพราะตอนที่รู้สึก ในใจของศิษย์พี่เยี่ยนท่านคล้ายกับกำลังพิจารณาเรื่องที่ผู้อื่นไม่มีทางเข้าใจอยู่’

นางมองเยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ กระซิบว่า ‘และบางครั้ง ขณะที่ข้ามองศิษย์พี่เยี่ยนอยู่ในกลุ่มคน กลับมีความรู้สึกเหมือนท่านยืนอยู่เพียงลำพัง’

‘ท่านในตอนนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเดียวดายยิ่ง’

รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอมิได้จางลง ‘เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นหรือ’

เฟิงอวิ๋นเซิงตอบ ‘ความจริงในหลายปีมานี้ ความรู้สึกเช่นนี้ปรากฏขึ้นน้อยแล้ว เพียงแต่ตอนที่ท่านมองแม่นางเหอแห่งสำนักเมฆาโลหิตเมื่อครู่ ทำให้ข้ามีความรู้สึกเช่นนี้อีกครั้ง’

‘ก่อนหน้านี้ ตอนที่รุนแรงที่สุด คือตอนที่ท่านจัดการสายแร่เหล็กไหลที่ภูเขานิมิตเมฆในภูผาพิภพ’

เฟิงอวิ๋นเซิงเงยหน้าเล็กน้อย ดูเหม่ออยู่บ้าง ‘จะบรรยายอย่างไรดี? ท่านคล้ายกับมีความสุขมาก แต่ความสุขนี้มีเพียงแต่ท่านเท่านั้นที่เข้าใจว่าคืออะไร ตนเองเพียงรู้สึกเป็นสุข แต่ว่าในขณะที่มีความสุข ความรู้สึกโดดเดี่ยวกับความรู้สึกแตกต่างจากคนอื่น ก็รุนแรงเป็นพิเศษ’

‘ไม่มีคนเข้าใจความคิดของท่าน ท่านคล้ายไม่เหมือนกับผู้อื่น’

เยี่ยนจ้าวเกอยังคงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบทันที

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงค่อยตอบด้วยรอยยิ้ม ‘เป็นเพราะว่าในตอนนั้นข้าพูดคำพูดแปลกๆ เกี่ยวกับคนที่ชื่อจ้าวฮ่าวหรือ อย่าใส่ใจเลย ใครก็มีเวลาฟุ้งซ่านทั้งสิ้น เจ้าเองก็รู้ บางครั้งคนอย่างข้าก็มีเวลาที่ไม่จริงจังอยู่บ้าง’

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ ครู่ต่อมาค่อยยิ้มอย่างเฉิดฉัน ‘อืม จริงด้วย บางทีคนที่ฟุ้งซ่านน่าจะเป็นข้า’

ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับละสายตาไป

เขาใช้นิ้วเคาะกับผิวโตะเบาๆ ดวงตามองด้านหน้า แต่สายตาไม่ได้จับอยู่ที่สิ่งใด เหมือนรู้สึกนิ่งอึ้งอยู่บ้าง

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ พลันรู้ว่าในตอนนี้ ความรู้สึกเดียวดายและแปลกแยกบนตัวเยี่ยนจ้าวเกอรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

รุนแรงจนทำให้นางที่มองอยู่รู้สึกปวดใจ

หญิงสาวตกใจโดยพลัน

เยี่ยนจ้าวเกอรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากตัวเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้าง จึงหันหน้ามาอีกครั้ง

นางมองใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ อารมณ์ค่อยๆ สงบลง สัมผัสกับสายตาที่เคร่งขรึมของชายหนุ่ม เกิดความรู้สึกขึ้นในใจ

บุรุษตรงหน้ามิได้อ่อนแอ และไม่ได้ต้องการความสงสารจากคนอื่น

ความคิดฟุ้งซ่านที่ทำให้คนอื่นยากบรรยาย เหมือนกับเป็นวิธีการผ่อนคลายในการกำกับตัวเองวิธีหนึ่ง

คิดถึงตรงนี้ เฟิงอวิ๋นก็ยิมพลางมองเยี่ยนจ้าวเกอ นางไม่ได้พูดอะไร เพียงสบสายตาพิจารณาของอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้นหรือ รอบนี้เปลี่ยนเป็นหน้าข้ามีสิ่งใด”

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า จากนั้นก็หันกลับมาใหม่

ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่เหม่ออีก สายตากระจ่างใสและมุ่งมั่น เขาลุกขึ้นยืน พลางกล่าวว่า “พวกเราอยู่ในโลกลอยน้ำมานานพอแล้ว โชคดีที่มีเบาะแสของกระจกกลมอีกครึ่งบานที่เหลือแล้ว”

“รู้ว่ากระจกครึ่งอีกครึ่งบานอยู่ที่ไหนแล้วหรือ” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ถูกต้อง”

เมื่อครู่คนทั้งสองสนทนากันด้วยวิธีการกระซิบ สวีเฟย อาหู่ อิงหลงถู และซูอวิ๋นไม่ทราบว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันแน่

แต่ว่าจะมากจะน้อย ทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงแปลกไปบ้าง

ถึงแม้จะสงสัย แต่ทุกคนไม่คิดจะสืบเรื่องของเยี่ยนจ้าวเกอ

“ท่านน้าซู ท่านช่วยดูให้หน่อยว่าสถานที่นั้นเป็นที่ใด” เยี่ยนจ้าวเกอพูดจบ ก็มาถึงศาลบรรพบุรุษของสำนักกระเรียนหิมะพร้อมกับซูอวิ๋น แล้วเข้าไปในมิติต่างภพขนาดเล็ก

ครึ่งหนึ่งของรอยบุ๋มที่อยู่บนภูเขาในตอนนี้มีสายน้ำเติมเต็ม ปรากฏให้เห็นภาพที่ทั้งสมบูรณ์และเสถียรพร้อมกับกระจกครึ่งบาน

ในภาพนั้นมีน้ำตกลอยอยู่ระหว่างภูเขาเขียวขจีและน้ำใสสะอาด ทัศนียภาพวิจิตรงดงามยิ่ง

ซูอวิ๋นมองแวบหนึ่ง ก็บอกได้ทันที “น้ำตกใต้เขาอรุณมรกต บริเวณยอดเขาหลักทางเหนือ ของเทือกเขาเสียงฉินฉับพลันที่อยู่ทางตะวันออกของที่นี่”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปที่เขาอรุณมรกตก่อน”

เจ้าสำนักกระเรียนหิมะถอนใจ “นายน้อย พวกท่านจะไปจากโลกลอยน้ำแล้วหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอว่า “หากน้าซูไม่ติดอะไร ลองพิจารณาข้อเสนอก่อนหน้านี้ของข้าดู ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในโลกแปดพิภพจะไม่ค่อยสงบนัก แต่ถ้าสำนักกระเรียนหิมะจะย้ายไปที่แปดพิภพ ก็มิใช่ปัญหาใด”

“การไหลเวียนของชีพจรดินและการหมุนวนของปราณวิญญาณในโลกลอยน้ำ ไม่ได้เป็นมิตรกับจอมยุทธ์ที่ฝึกลมปราณอย่างพวกเราจริงๆ”

“ถึงแม้จะท่านกับหรงเอ๋อร์จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ลูกศิษย์คนอื่นในสำนักท่าน หากคิดจะประสบความสำเร็จในเส้นทางวรยุทธ์และการฝึกปราณ การอยู่ในโลกลอยน้ำต่อไม่เหมาะสมยิ่ง”

ซูอวิ๋นยิ้มเล็กน้อย “ที่ข้าสร้างสำนักกระเรียนหิมะขึ้น เดิมทีเป็นเพราะคิดรักษาวิชาของนายหญิงไว้ ถ้าหากลูกศิษย์ในสำนักมีการพัฒนาบนเส้นทางวรยุทธ์อันยาวไกล ข้าย่อมอยากเห็น ถึงอย่างไรคนที่เข้าสำนักข้าแล้วยังคงมีความตั้งใจ และจิตใจใฝ่หาวรยุทธ์ ต่างก็มีความแน่วแน่และจริงจัง”

“การอยู่ในโลกลอยน้ำต่อเป็นอุปสรรคต่อพวกเขาจริงๆ หากนายน้อยไม่ติดอะไร โปรดลองพิจารณาพาคนที่มีคุณสมบัติเข้าตาไป ข้าไม่ห้ามไม่ให้พวกเขาย้ายไปอยู่สำนักเดียวกับนายน้อย”

“ทว่าข้าไม่ไปแล้ว สามีข้าเป็นจอมยุทธ์เลือดปีศาจ โลกลอยน้ำเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกฝนของเขา สามีของหรงเอ๋อร์เองก็เป็นจอมยุทธ์เลือดปีศาจเช่นกัน ข้าเคยถามนางแล้ว นางเต็มใจจะอยู่ต่อ”

“หรงเอ๋อร์กับข้าเป็นร่างแห่งแหล่งชีวิตเหมือนกัน ไม่ควรฝึกฝนล่าช้า” พูดถึงตรงนี้ ซูอวิ๋นก็ถอนใจ “แต่เสียดายที่พวกฉางเอินมีคุณสมบัติไม่เลวจริงๆ”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเล็กน้อย “ระดับหลอมกายและระดับปรมาจารย์ โดยเฉพาะก่อนปรมาจารย์เคียงนภา ต้องให้ความสำคัญกับการฝึกฝนลมปราณ ถ้าหากเสียเวลา เริ่มต้นช้าไป ต่อให้คุณสมบัติดีอย่างไรก็ถือว่าเสียของ ถึงอย่างไรลมปราณของคนทั่วไปย่อมถดถอยลงเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของอายุ”

จอมยุทธ์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ไม่ควรมีอายุน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเหมือนการดึงต้นอ่อนเพื่อช่วยให้เติบโต รังแต่จะทำให้รากฐานของตัวเองเสียหาย

แต่รออายุมากไปค่อยเริ่มฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ได้การเช่นกัน คนที่ประสบความสำเร็จช้าใช่ว่าจะไม่มี แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จช้าที่คนอื่นพูดถึง ความจริงต่างก็ไม่ได้เริ่มต้นช้าไป

แม้จะมีคำพูดที่แพร่หลายก่อนมหาภัยพิบัติว่า ถ้าอายุสามสิบยังไม่เป็นปรมาจารย์ ก็อย่าหวังว่าจะกลายเป็นมหาปรมาจารย์อีก

ขนาดเป็นยุคที่วรยุทธ์รุ่งโรจน์สุดขีดก็ยังเป็นเช่นนี้

เยี่ยนจ้าวเกอกับคนในสำนักของตนล้วนไม่มีความกังวลถึงข้อนี้ สามารถเข้าสู่สำนักเขากว่างเฉิง ได้ เมื่ออกไปด้านนอกก็ล้วนเป็นอัจฉริยะทั้งสิ้น ผนวกกับวิชาอันสูงส่งและทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ของสำนัก ไม่ประสบความสำเร็จยังยากกว่าประสบความสำเร็จเสียอีก

แต่สำหรับขุมกำลังชั้นหนึ่งหรือขุมกำลังชั้นสอง แม้แต่สำนักเล็กๆ สำนักศิลปะป้องกันตัว และตระกูลเล็กๆ ที่มีระดับต่ำกว่า แต่กระจายไปทั่วใต้หล้านั้น การเลื่อนเป็นระดับปรมาจารย์ก่อนอายุสามสิบ เป็นเป้าหมายแห่งความพยายามอันสูงส่งเป้าหมายหนึ่ง

นอกจากซูอวิ๋นสองแม่ลูกที่มีร่างแห่งแหล่งชีวิตแล้ว จอมยุทธ์ที่เดินอยู่บนเส้นทางฝึกลมปราณในโลกลอยน้ำกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ท่านน้าซูวางใจเถอะ หากคนในสำนักกระเรียนหิมะติดตามข้าออกจากโลกลอยน้ำ ข้าจะจัดการให้พวกเขาอย่างเหมาะสม”

“ตอนนี้ ข้าต้องออกเดินทางไปที่ภูเขาอรุณมรกตแล้ว”