ตอนที่ 230 ในอกมีแผ่นดิน ในใจมีเจ้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าทำไมหม่อมฉันถึงได้แต่งให้กับพระบิดาของพระองค์” นางกุมหน้าอก สอบถามกลับไปอย่างจริงจัง 

 

 

คำถามนี้ หากว่าเป็นเมื่อก่อน จีเฉวียนก็มั่นพระทัยมากว่าที่นางยอมแต่งให้กับอดีตฮ่องเต้ก็เพื่อจีเย่ว์ 

 

 

แต่ว่าถึงตอนนี้จีเย่ว์ก็ถูกขับออกไปถึงแดนกันดารรกร้างอย่างซีเหลียงแล้ว ระหว่างนางและเขาไม่มีทางเป็นไปได้อีก 

 

 

พระองค์มิได้ตอบ เพียงเห็นตู๋กูซิงหลันกุมมือข้างหนึ่งไว้ที่หัวใจ และมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปบนฟ้า “ก็เพราะ…..ความรักไงเพคะ!” 

 

 

“พระองค์ไม่ทรงเข้าพระทัย ความรักที่ข้ามีให้กับอดีตฮ่องเต้ ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปรวมกับทะเล ดวงดาวใต้แสงจันทรา แม้ว่าน้ำในมหาสมุทรจะผันแปรแต่ก็ไม่มีวันเหือดหายไป” 

 

 

จีเฉวียน “…..” ถ้าเขาเชื่อนางก็ผีหลอกแล้ว 

 

 

พอเห็นสีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงเย็นชา ตู๋กูซิงหลันก็เริ่มจะอึกอักขึ้นมา “ขอทรงวางพระทัย หม่อมฉันขอสาบาน ชั่วชีวิตนี้จะเห็นท่านเป็นดั่งลูกแท้ๆ ของตนเอง จะดีกับท่านตลอดไป” 

 

 

จีเฉวียนตรัสกับนางอย่างตรงไปตรงมา “ตู๋กูซิงหลัน ยอมรับเรา มันยากนักหรือไร?” 

 

 

ข้อแก้ตัวที่เหลวไหลถึงเพียงนี้นางก็ยังหามาได้ เพราะว่าไม่ได้ชอบ จึงทำเช่นนี้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงว่าเขาจะออกปากขัดนางตรงๆ เช่นนี้ 

 

 

นางชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นประกายตาที่แวววับเกินสิ่งใดเทียบของเขา ในที่สุดก็ต้องยอมว่าเรื่องนี้หนีไม่ได้อีกต่อไป 

 

 

นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นั่งพิงลงไปบนเบาะนุ่มอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา 

 

 

นางมองดูเขา “ฝ่าบาท พระองค์ชอบข้าจริงๆ?” 

 

 

จีเฉวียนตอบนางกลับไปอย่างไม่ต้องคิด “แน่นอน” 

 

 

“เราตรัสคำไหนคำนั้น ไม่เคยมุสา” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูท่าทางที่จริงจังของเขา ก็ถามอีกว่า 

 

 

“ไม่ใช่เป็นเพราะสนใจสิ่งอื่น เพียงชื่นชอบอย่างบริสุทธ์ใจใช่หรือไม่?” 

 

 

จีเฉวียนพยักพระพักตร์ อย่างตรงใจ “ใช่” 

 

 

“ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท นับว่าเป็นบุญของข้า” ตู๋กูซิงหลันก็มิได้เล่นลวดลายกับเขาอีก เปรียบเทียบกับคำโกหกเมื่อครู่ ตอนนี้นางกลับสงบนิ่งลงมากกว่าเดิม 

 

 

“เพียงแต่ว่าข้ามีคำถามอยู่หลายข้อ ไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงยอมตอบหรือไม่?” 

 

 

ฝ่าบาทประทับนั่งที่ข้างแท่นบรรทม ทอดพระเนตรเข้าไปในดวงตาดอกท้อของนาง “เจ้าว่ามา” 

 

 

“ข้อแรก ไยฝ่าบาทจึงชอบข้า?” 

 

 

จีเฉวียน “เจ้าล่อลวงเราก่อน เราติดกับแล้ว ก็ย่อมชอบเจ้า” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยายามคิดย้อนกลับไป นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองไปล่อลวงเขาตอนไหน 

 

 

เอาเถอะ ถ้านับว่าเหยียบเท้าคือใช่ละก็…… 

 

 

“ไม่ใช่ว่าชอบตั้งแต่ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นองค์ชายสี่ใช่ไหม?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสอบถามอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

“ไม่ใช่” จีเฉวียนส่ายพระพักตร์ “นับตั้งแต่ที่เจ้าเลือกไข่มุกของอาปู้ไซสำเร็จ เราก็ถูกเจ้าดึงดูดเข้าแล้ว” 

 

 

วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ด้านข้าง พอฟังจีเฉวียนแล้วก็คิดดูอย่างละเอียด “อ้ายย่าห์ เฮอะ เฮอะ เฮอะ ที่เขาชอบก็คือเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับไทเฮาน้อยคนเดิมเลยสักนิด” 

 

 

ที่จริง…….ตอนแรกนั้น ฮ่องเต้สุนัขทรงรังเกียจเจ้าของร่างเดิมด้วยซ้ำ 

 

 

นางสูดลมหายใจลึกๆ ถามอีกว่า “ข้อสอง หากว่าข้าไม่ยอมรับฝ่าบาท เช่นนั้นฝ่าบาทจะประหารชีวิตสุนัขของข้าหรือไม่?” 

 

 

นี่จึงเป็นสิ่งที่ตู๋กูซิงหลันกังวลสนใจมากที่สุด 

 

 

นางใช้ดวงตาดอกท้อเบิ่งมองออกมา เมื่อถามคำถามนี้ออกไปนางก็เสี่ยงที่ตนเองจะถูกตัดหัวเข้าจริงๆ 

 

 

เพราะแม้ว่าความโปรดปรานของฮ่องเต้ คือบุญที่ผู้คนมากมายสวดอ้อนวอนก็ยังไม่อาจได้รับ แต่นางก็ไม่รู้ว่า หากกล้าปฎิเสธเขา ใช่เป็นการหาเรื่องตายหรือเปล่า? 

 

 

จีเฉวียนทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมา ยื่นไปลูบศีรษะของนางเบาๆ “เราเป็นประมุขแคว้นที่เช้ายันค่ำก็เอาแต่จะประหารตัดหัวคนหรืออย่างไร?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ใช่! ใช่แน่นอน! ไม่เพียงแต่ตัดหัว แต่ประหารหมดทั้งวงศ์ตระกูลเสียด้วยซ้ำ 

 

 

จีเฉวียนลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ตรัสขณะมองดูนางที่ทำสายตาหงิงๆ อย่างน่าสงสารว่า “เราชอบเจ้า ก็เป็นเรื่องของเรา เจ้าสามารถไม่ยอมรับเรา แต่เราเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องยินดียอมรับ” 

 

 

“เราจะไม่บังคับเจ้าหรอก” 

 

 

ผลแตงที่ฝืนหักมาย่อมไม่หวาน พระองค์ชอบนาง ไม่ได้จะลักพาตัวนาง ไยจึงจะต้องตัดศีรษะนางเพราะยังไม่ยอมรับพระองค์ด้วย? 

 

 

ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวสมองเล็กๆ นี้วันๆ คิดอะไรอยู่บ้าง 

 

 

อุ้งพระหัตถ์ใหญ่โตลูบอยู่บนศีรษะ ไล้ลงไปอย่างแผ่วเบา ถึงแม้ว่าจะเย็นมาก แต่ว่าในชั่วขณะนั้นอยู่ตู๋กูซิงหลันพลันเกิดความประทับใจขึ้นมา 

 

 

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของฮ่องเต้สุนัขได้! 

 

 

พอเขาพูดจาภาษารักขึ้นมาที ก็ทำเอาคนจมน้ำตายไปเลย 

 

 

ที่จริงหากคิดดูอย่างละเอียดแล้ว แค่เพียงใบหน้าที่งดงามดุจเทพเซียนของเขา ก็เพียงพอจะให้นางตอบรับได้แล้วมิใช่หรือ? 

 

 

แต่พอคิดถึงความร้ายกาจอย่างที่สุดของเขา แล้วยังแผนชั่วที่มีอยู่เต็มท้อง วังหลังรึก็คึกคักไปด้วยผู้คน ต่อให้นางอยากจะยอมรับก็คงไม่ไหวอยู่ดี 

 

 

“ข้อที่สาม ข้าเป็นไทเฮา ท่านเป็นฮ่องเต้ หากว่าข้ายอมรับท่าน ความสัมพันธ์นี้จะบอกกับคนทั้งโลกยังไง?” 

 

 

พอได้ยินคำถามนี้ จีเฉวียนก็ถือว่านางเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว ในเมื่อนางเป็นฝ่ายเสนอข้อสมมติขึ้นมา นั่นก็แสดงว่านางอาจจะยอมรับเขาก็เป็นได้ 

 

 

“เราจะไม่ให้เจ้าต้องมาแบกรับเรื่องนี้” พระหัตถ์ของจีเฉวียนยังคงลูบอยู่บนศีรษะของนาง ยากนักที่ดวงเนตรหงส์ที่เย็นชาคู่นั้นจะมีประกายผ่อนคลาย “ขอเพียงเจ้าเต็มใจ จะไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว” 

 

 

ดูเอาเถอะผยองเสียขนาดนี้ ราวกับว่าเป็นประมุขที่ หากได้สาวงามก็ไม่ต้องการแผ่นดิน [1] อีกแล้วอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“ฝ่าบาทปรารถนาจะครองแผ่นดิน หากฝืนจะอยู่กับข้า ก็จะสูญเสียจิตใจของปวงประชา เส้นทางบนบัลลังก์ของพระองค์ก็จะยิ่งยากลำบาก” 

 

 

สมองของตู๋กูซิงหลันแจ่มใสชัดเจน บุรุษหนุ่มในวัยของจีเฉวียนล้วนแล้วแต่หุนหันพลันแล่น 

 

 

ความหุนหันนี้ย่อมส่งผลกระทบในภายหลัง นางเกรงว่าเขาจะรับมันไม่ไหว 

 

 

“เจ้ากำลังเป็นห่วงเรา?” ดวงเนตรของจีเฉวียนอ่อนโยนโค้งมน จนยิ้มออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเงียบไป นางรู้สึกว่าสมองส่วนความเข้าใจในเหตุและผลของจีเฉวียนนั้นมีปัญหาหนัก นางแสดงออกว่าเป็นห่วงเขาตรงไหนกัน? 

 

 

“ในอกของเรามีแผ่นดิน ในใจมีเจ้า สามารถรองรับได้ทั้งสองส่วน” 

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนาง เก็บครึ่งประโยคหลังที่ไม่ได้ตรัสออกไปเอาไว้ในใจ หากว่าพระองค์ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ทั้งสองอย่าง นั่นก็ชัดเจนเลยว่าพระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ 

 

 

แน่นอนว่า เขาไม่มีทางเป็นเช่นนั้น 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินหรือหญิงงามเขาล้วนต้องการ ตู๋กูซิงหลันมิใช่ภาระ ในอนาคตนางจะเป็นฮองเฮาที่ครองแผ่นดินร่วมกับเขา 

 

 

ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าจีเฉวียนเป็นบุรุษที่สนใจแต่ความคิดเห็นของบุรุษด้วยกัน กระทั่งวันนี้นางถึงได้รู้จักเขาในแง่มุมใหม่ 

 

 

ที่จริงแล้วเขา…….เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเลยต่างหาก 

 

 

ดูคำหวานที่เขาหยอดออกมาแต่ละชุดๆ สิ นี่มันระดับผู้มีฝีมือสูงส่งในเรื่องความรักเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้ถามขึ้นมาอีก “ข้อสี่ ที่ข้าต้องการก็คือหนึ่งชาติ หนึ่งภพ หนึ่งคู่ครอง ฝ่าบาทมีสนมสามพัน จะทรงปล่อยพวกนางไปหรือ?” 

 

 

คำถามนี้ หากว่าเป็นหญิงสาวในต้าโจวเอ่ยปากถามออกมา ย่อมถือว่าพวกนางเป็นพวกอาละวาดอย่างไร้เหตุผลอย่างแน่นอน 

 

 

เนื่องเพราะแม้แต่ในบ้านของครอบครัวทั่วไปที่มีฐานะดีก็ยังมีสามภรรยาสี่นางบำเรอ นางต้องการให้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งมีแต่นางเพียงผู้เดียว นี่มิเท่ากับว่ากำลังท้าทายอำนาจของเขาอยู่หรอกหรือ? 

 

 

เขาพึ่งจะครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องการขุมกำลังจากฝ่ายต่างๆ มาเกื้อหนุนมากที่สุด ย่อมไม่มีทางสละวังหลังเพื่อนางเป็นแน่ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น…..ในใจของเขามิใช่ว่ามีซูเม่ยที่กำลังตั้งครรภ์อยู่หรอกหรือ แล้วก็ยังมีท่านราชครูที่อยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอดอีก 

 

 

อดีตที่ผ่านมาของเขานางไม่ทันได้มีส่วนร่วม แต่ว่าหากในอนาคตเขาอยากจะมีนาง นางย่อมไม่อาจยอมให้ใจหรือกายของเขาเป็นของผู้อื่นได้อย่างเด็ดขาด 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] 要美人不要江山

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง:

 

 

พี่เต้: ผยองได้ใจไรท์จริงๆ จะแผ่นดินหรือหญิงงามก็ต้องเป็นของพี่เท่านั้น!

 

 

ที่ผ่านมาพี่เต้มโนเก่งมาก ตอนนี้นับว่าเริ่มมโนอย่างมีหลักการ รู้จะตะล่อมหลันหลันบ้างแล้ว

 

 

อาหลัน: ไรท์หมั่นไส้ในความซื่อ (บื้อ) แต่ก็รักในความตรงไปตรงมาของนางนะ ถ้าจะได้ก็ต้องได้ทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ขอแม้เศษเสี้ยว

 

 

แต่เอาจริงนะในฐานะที่เป็นผู้หญิงและแม่ที่มีลูกสาว ไรท์ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องความรักสำหรับผู้หญิงแล้ว ‘ช้าหน่อยดีกว่าเร็ว’ จริงอยู่รักแท้ต้องใช้ใจแลกมา แต่ว่าผ่อนชำระเป็นงวดๆ ได้ค่ะ ไม่จำเป็นจะต้องทุ่มทีเต็มร้อย!

 

 

ตอนนี้ประโยคเด็ดของพี่เต้มีหลายประโยค ว่าแต่ประโยคไหนที่โดนใจรีดที่สุดคะ?