ตอนที่ 231 แผนดักไทเฮาน้อยก้าวที่หนึ่ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

คำถามนี้ทำเอาจีเฉวียนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หนึ่งชาติ หนึ่งภพ หนึ่งคู่ครอง 

 

 

คำพูดนี้พอออกจากปากของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจเลยสักนิด 

 

 

ที่ด้านนอกหน้าต่างมีลมพัดโชย กิ่งของต้นเย่วกุ้ย [1] ทอดออกมากระทบบานหน้าต่าง ทำให้คืนที่เงียบสงบดูมืดมน 

 

 

ความเงียบงันของจีเฉวียนทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นอึดอัดขัดเขินขึ้นมาในทันที 

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนก็ตอบนางกลับไปว่า “ไม่ได้” 

 

 

วิญญาณทมิฬโวยวายขึ้นมาในทันที “เขาช่างพูดได้ไม่อายปากเลย” 

 

 

แต่คิดๆ ดูแล้วก็ใช่อยู่ ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งไหนเลยจะยอมละทิ้งสนมสามพันและหกตำหนักมาปรารถนาเพียงแต่นางแค่ผู้เดียว? 

 

 

ดอกโบตั๋นแม้จะงามอย่างไร ก็ย่อมมีวันเบื่อหน่ายได้เช่นกัน นานวันเข้าแม้แต่ดอกไม้ริมทางก็อาจเหนือกว่า 

 

 

บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้ ปากก็บอกว่าชอบ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงกว่า 

 

 

เมื่อได้คำตอบจากเขาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็มิได้ประหลาดใจ กลับเป็นความตรงไปตรงมาของจีเฉวียนที่ทำให้นางเกิดความประทับใจขึ้นมา 

 

 

โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าซูคนงามกำลังตั้งครรภ์หากนางทำให้จีเฉวียนสลายวังหลังไปจริงๆ มิเท่ากับว่าผลักไสซูเม่ยไปจนหมดหนทางหรอกหรือ? 

 

 

จีเฉวียนเองก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดกับนาง ไม่ใช่ว่าเขาละทิ้งความเย้ายวนของวังหลังไม่ได้ เพียงแต่พระองค์อยู่ในตำแหน่งสูง ย่อมต้องคำนึงถึงฐานะของเจ้าแผ่นดิน 

 

 

พระสนมแต่ละพระองค์ในวังหลัง ต่างก็มีขุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นในวันข้างหน้า วังหลังของเขาก็ยังจะต้องมีคนใหม่มาเพิ่มเติม เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เขาย่อมไม่มีทางให้คำสัญญากับนางง่ายๆ 

 

 

เพราะเรื่องที่เขารับปากไปแล้ว ย่อมต้องทำให้ได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพิงอยู่บนเบาะนุ่มยิ้มน้อยๆ ออกมา “ฝ่าบาท ดูสิเพคะ มุมมองความคิดเห็นของพวกเราไม่ตรงกันแบบนี้แน่นอนว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้” 

 

 

“หากว่าข้าอยู่กับท่าน ย่อมต้องไม่ยอมให้ท่านมีหญิงอื่น อ้อ บุรุษก็ไม่ได้” 

 

 

“ในทำนองเดียวกัน ท่านลองเปลี่ยนตำแหน่งดู หากว่าข้าอยู่กับท่าน แต่ข้างกายยังมีบุรุษอีกไม่น้อย ท่านยอมรับได้หรือไม่?” 

 

 

จีเฉวียนรับฟังคำพูดของนางอย่างตั้งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดถึงคำว่ามุมมองความคิดกับเขา 

 

 

พระหัตถ์ที่วางอยู่บนศีรษะของนางเบาๆ ก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ข้างแก้มของนาง สายพระเนตรยังคงเปี่ยมไปด้วยความเสน่หาล้ำลึกอยู่ไม่คลาย “ไม่ว่าในวังหลังจะมีสาวงามมากเพียงไร ก็ไม่มีผลต่อความโปรดปรานที่เรามีให้เจ้า” 

 

 

“ข้าไม่ยอม” ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความดื้อด้านนี้มาจากที่ใดกัน นางปัดหัตถ์ของจีเฉวียนที่ไล้อยู่บนขอบหน้าออกไป “ฝ่าบาท หม่อมฉันยิมยอมเป็นเพียงแม่ม่ายไปชั่วชีวิต แต่ไม่ขอเป็นหนึ่งในบรรดาพระสนมมากมายของท่าน เรื่องที่ฝ่าบาทโปรดข้า ต่อไปก็อย่าได้พูดถึงอีกเลยเพคะ” 

 

 

อย่าว่าแต่ ตอนนี้นางยังไม่ได้ชอบเขาด้วยซ้ำ 

 

 

หากให้ถอยมาอีกก้าว ต่อให้นางชอบเขาขึ้นมา ก็คงไม่มีทางยอมเรื่องพวกนี้อยู่ดี 

 

 

ทรวงอกของนางขยับขึ้นลง ผ้าโปร่งสีขาวมีรอยเลือดขึ้นมาจางๆ 

 

 

จีเฉวียนคาดเดาว่านางชักจะมีความรู้สึกร่วมขึ้นมาไม่น้อย 

 

 

มีความรู้สึกร่วมเช่นนี้ย่อมดี 

 

 

หากนางเริ่มกลัวใจตนเองก็แสดงว่าในนั้นจะต้องมีเขาอยู่บ้าง 

 

 

ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดถึงถ้อยคำของนางเมื่อครู่ ก็เริ่มหาหนทางว่าสมควรจะจัดการกับปัญหาของวังหลังอย่างไรดี 

 

 

ตลอดทั้งคืน เขามิได้ออกห่างจากนางเลยแม้ก้าวเดียว แต่กลับคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ตลอด 

 

 

ทุกคำที่นางกล่าวออกมาเขาล้วนนำมาไตร่ตรองอย่างละเอียด ตู๋กูซิงหลันเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ครึ่งคืนหลังจึงหลับไปแล้ว 

 

 

กระทั่งเมื่อนางตื่นขึ้นมาในยามฟ้าสาง จีเฉวียนก็ยังคงเฝ้าอยู่ที่ข้างกายนาง 

 

 

“ยังมีคำถามข้อที่ห้า เมื่อคืนลืมถามไปเลย ฝ่าบาททรงเป็นผู้ใดกันแน่?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ขุ่นเคืองเรื่องที่เขาไม่ยอมสลายวังหลังเลยสักนิด 

 

 

“ฝ่าบาททรงพบเห็นภูติผีปีศาจร้ายแต่กลับมิได้ประหลาดพระทัย ทรงมีไอหยินรุนแรง ทั้งยังสามารถสังหารงูยักษ์ลงได้ ศพคืนชีพผู้นั้น เกรงว่าฝ่าบาทคงทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วกระมัง?” ตู๋กูซิงหลันเอาข้อสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในสมองถามออกมาในคราเดียว 

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ เดิมทีพระวรกายสมควรเปี่ยมไปด้วยไอมังกรของโอรสสวรรค์ แต่แล้วไยจึงกลายเป็นเช่นนี้?” 

 

 

ดวงพระพักตร์ในยามเช้ามีเค้าความอ่อนล้าฉาบจางๆ ชั้นหนึ่ง พระองค์ประทับนั่งอยู่ข้างเตียงตู๋กูซิงหลัน พระหัตถ์ข้างหนึ่งหนุนพระเศียรเอาไว้ พระเกศายาวสลวยทอดตัวลงมา ทั่วทั้งองค์สะท้อนความเกียจคร้าน 

 

 

ดวงเนตรหงส์คู่นั้นหรี่ลงมาทำให้สามารถมองเห็นขนงที่งามงอนได้อย่างชัดเจน งามมากจริงๆ 

 

 

พระองค์มิได้ทรงตรัสตอบ เพียงแต่ใช่พระเนตรคู่นั้นเฝ้ามองนางอย่างเต็มตาเงียบๆ 

 

 

“ตั้งแต่ตอนเยาว์วัยเราก็สามารถมองเห็นจิตวิญญาณเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้ จึงไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้ตอบ “เพียงแต่ว่าภายหลังเมื่อโตขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้มารบกวนอีก จึงได้ไปฝึกเนตรหยิน [2] ที่วัดซิวหลัวเสิน เพื่อสกัดกั้นสิ่งเหล่านั้นออกไป” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นไปที่คำสำคัญสองคำ ‘เนตรหยิน’ 

 

 

คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นภูติผีเทพต่างๆ แต่ผู้ที่มีเนตรหยินนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีพรสวรรค์พิเศษที่เกิดมาก็สามารถมองเห็นสิ่งเหลานี้ 

 

 

ผู้ที่มีเนตรหยิน จะดึงดูดความสนใจของสิ่งเหล่านั้น ทำให้พวกมันเข้าใกล้เขาด้วยตนเอง 

 

 

มีแต่ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับไอหยินเข้มข้นถึงได้สามารถมีเนตรหยิน เขามีชาติกำเนิดเป็นพระราชโอรสสายตรง สูงส่งเกินใคร เดิมทีสมควรจะมีไอหยางบริบูรณ์จึงจะถูก แต่กลับมีไอหยินเข้นข้นนี่ก็ประหลาดเกินไปแล้ว 

 

 

ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็เขยิบเข้ามาใกล้นางอีกนิด “ยามที่เราเป็นเด็กได้รับความยากลำบากมาไม่น้อย ประสบเหตุลึกลับอันตรายมาก็มากพอควร สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นหล่อหลอมให้เกิดความสามารถที่ไม่อาจแพร่งพรายได้บางประการ จึงมิค่อยได้แสดงออกมา หากว่าเจ้าสนใจ เราสามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้” 

 

 

“เว้นแต่เรื่องไอหยินเข้มข้น นั่นเป็นโดยกำเนิด” 

 

 

จีเฉวียนไม่ได้ปิดบังนาง ตรัสจบแล้วเขาก็เชยคางนางขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ เขี่ยสิ่งสกปรกในดวงตาของนางออกไป 

 

 

“เจ้าอยากจะล้างหน้าเสียก่อนแล้วค่อยซักถามเราต่อไหม?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!!” เดิมทีนางกำลังตื่นตระหนกกับสภาพร่างกายที่มีความแปลกพิเศษของจีเฉวียนอยู่ พออยู่ๆ ก็ถูกเขาทักเช่นนี้ ทำเอานางเก้อเขินขึ้นมาในทันที 

 

 

อะไรเรียกว่ากรรมตามทัน! 

 

 

นางได้รู้แล้ว 

 

 

ก่อนหน้านี้เคยไปทักเขาเรื่องขี้ตามาก่อน แค่ไม่นานก็ถึงคราวย้อนมาเข้าตัวบ้างแล้ว 

 

 

มันเป็นเพราะไปต่อสู้ได้รับบาดเจ็บจนเกิดการอักเสบไม่เข้าใจหรือไง? 

 

 

ยามปกติดวงตาของนางสะอาดสะอ้านจะตายไป ต่อให้ไม่ล้างหน้าก็ไม่มีสิ่งสกปรก 

 

 

ยามนี้นางสามารถเข้าอกเข้าใจจิตใจของจีเฉวียนในตอนนั้นได้แล้ว 

 

 

“เรามิได้รังเกียจเจ้าสักหน่อย เจ้าจะต้องแอบซ่อนไปทำไม?” พอทรงเห็นว่านางทำท่าอยากจะมุดเข้าไปในผ้าห่ม จีเฉวียนก็ทรงคว้าปลายคางของนางขึ้นมา ใช้พระหัตถ์ปาดเช็ดสิ่งสกปรกออกไปจากมุมตาของนาง 

 

 

หืม ใช้มือเช็ด! 

 

 

คนที่เป็นโรคบ้าความสะอาด กลับใช้นิ้วมือมาเช็ดขี้ตาให้นาง??? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันที 

 

 

เมื่อครู่ดูเหมือนว่าพวกนางสามารถพูดคุยในเรื่องสำคัญได้รู้เรื่องอยู่บ้าง ตอนนี้กลับเหมือนตกจากแท่นบูชาลงไปในหลุมโคลนเข้าเสียแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะมุดรอยแยกแผ่นดินลงไปจริงๆ 

 

 

แต่กลับได้ยินจีเฉวียนตรัสอีกว่า “ต่อไปหากว่าเจ้ามีเรื่องใดอยากจะถามเรา พวกเรายังคงมีเวลาอีกถมไป ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” 

 

 

“เรายินดีจะให้เจ้าทำความเข้าใจ” 

 

 

และอยากจะเข้าใจนางให้มากขึ้นเช่นกัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ นางสามารถเลือกที่จะไม่เข้าใจได้ไหม? อยากเลือกแบบหนีไปไกลๆ เลย 

 

 

อย่างไรเสียรอบนี้คงต้องถือว่าการสารภาพรักของฮ่องเต้ถึงขั้นล้มเหลว แต่ว่าพระองค์กลับมิได้ทรงรู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว 

 

 

ตลอดทั้งวันประตูหน้าต่างในตำหนักตี้หัวถูกปิดจนแน่นสนิท มีแค่หลี่กงกงที่เข้ามาส่งน้ำและอาหารเพียงรอบเดียว 

 

 

เป็นขาหมูน้ำแดงจำนวนมากเลยทีเดียว ใครไม่รู้ก็คงจะนึกว่าฝ่าบาททรงเลี้ยงหมูอยู่ในตำหนักตี้หัวเสียแล้ว 

 

 

แผนดักไทเฮาน้อยก้าวที่หนึ่ง ขุนนางให้อิ่มก่อน 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ต้นลอเริล 

 

 

[2] 阴瞳 (yin tong) เนตรหยิน : หมายถึงผู้ที่มีความสามารถพิเศษมีสัมผัสที่หกสามารถมองเห็นสิ่งเล้นลับเหนือธรรมชาติได้