ตอนที่ 92-4 ความรักเบ่งบาน

จำนนรักชายาตัวร้าย

“อื้อ…”

 

 

อวี้เฟยเยียนโดนจูบเสียจนเวียนหัวตาลาย ท้องฟ้าสีครามในสายตานางกลับพร่ามัว กระทั่งต้นไม้ใบหน้าหญ้ารอบกายนางก็กลับกลายเป็นเงียบงัน ราวกับเกรงว่าจะรบกวนความรักของทั้งสองคน

 

 

เมื่อถึงเวลาที่ความรักเบ่งบานอบอวล อวี้เฟยเยียนยื่นมือไปโอบรอบคอซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าก็ชอบท่านมากเช่นกัน!”

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนรุ้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง จนลืมการกอดจูบเมื่อครู่ไปเสียสนิท เขามองอวี้เฟยเยียนด้วยอาการตกตะลึง

 

 

“แมวน้อย เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

 

 

ชายรูปงามท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เรียกรอยยิ้มจากอวี้เฟยเยียนได้ไม่น้อย

 

 

“ข้าบอกว่า ข้าก็ชอบท่านเช่นกัน!”

 

 

อวี้เฟยเยียนพูดขึ้นเสียงเบา

 

 

คราวนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนดีใจจนอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นมายกนางขึ้นกลางอากาศ

 

 

“ดีที่สุดเลย! แมวน้อย พี่ชอบเจ้า พี่ชอบเจ้ามาก พี่อยากอยู่กับเจ้า ไม่แยกจากกันตลอดไป!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้ไม่มีท่าทีโหดเ**้ยม เย็นชา เย่อหยิ่งใดๆ เฉกเช่นในเวลาปกติแม้แต่น้อย เขาในตอนนี้ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน

 

 

“พี่ดีใจ!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนที่กำลังดีใจอย่างหนัก ยกร่างอวี้เฟยเยียนขึ้นนั่งบนบ่าตน แล้วเหินฟ้าขึ้นไปราวกับยอดมนุษย์ ทำเอาอวี้เฟยเยียนตระหนกจนต้องกอดคอเขาไว้แน่น พร้อมกับกรีดร้องออกมา

 

 

“ปล่อยข้าลงนะ!”

 

 

“ไม่ปล่อย พี่จะไม่ปล่อยเจ้าตลอดชีวิต!”

 

 

“โอ้ย เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!”

 

 

หากมีใครที่นี่มาเห็นเข้าละก็ จะต้องคิดว่าสองคนนี้เป็นไอ้บ้าแน่ๆ

 

 

ชายกึ่งเปลือย สวมเพียงแค่กางเกงขายาวสีขาวหิมะเปียกชื้นแนบเนื้อ กับสตรีที่สวมเพียงเอี๊ยมตัวน้อยที่เปียกชื้นเช่นกัน มองดูแล้วชวนให้คิดลึกซึ้งว่ากำลังแอบพลอดรักกันอย่างไรอย่างนั้น!

 

 

เพราะอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มนางแล้วกระโดดลงในบ่อน้ำพุร้อน

 

 

ทว่าเขากลับมิได้ปล่อยนางเป็นอิสระ กลับกดนางเอาไว้ในอ้อมแขนบริเวณที่น้ำตื้น จรดศีรษะตนแนบกับศีรษะของนาง ทอดถอนใจแผ่วเบา

 

 

“วันนี้คือวันที่พี่มีความสุขที่สุดวันหนึ่งในชีวิต!”

 

 

“แมวน้อย เจ้าอยู่ในใจของพี่ อยู่มาโดยตลอด!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่คนที่พูดจาหวานหู ดังนั้นคำพูดทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนแต่ออกมาจากใจจริงของเขา

 

 

ส่วนลึกในใจนางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่ส่งมาจากเขา มันซื่อตรงจริงใจและซาบซึ้งตรึงใจมากที่สุด

 

 

มองดูเงาตนสะท้อนอยู่ในแววตาลึกซึ้งของชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า อวี้เฟยเยียนจึงยิ้มมีเลศนัยออกมาแล้วยื่นมือไปลูบไล้พวงแก้มของเขาแผ่วเบา

 

 

เป็นบุรุษ แต่ผิวพรรณกลับนุ่มนิ่มนวลเนียนเพียงนี้ น่าอิจฉาเสียจริงๆ เลย!

 

 

“บังอาจ!”

 

 

ถูกอวี้เฟยเยียนล้อเลียน ซย่าโหวฉิงเทียนไหนเลยจะยินยอม

 

 

เขาจับมือน้อยของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วกัดนิ้วของนาง

 

 

แรงกัดที่ไม่แรงไม่เบาเกินไป ให้ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะเดียวกันก็ชาราวถูกกระแสไฟ ความรู้สึกนี้ถูกส่งเข้าไปที่โสตประสาททำให้อวี้เฟยเยียนถึงกับขนลุก

 

 

“ร้ายกาจ!”

 

 

ปฏิกิริยาของร่างกายทำให้อวี้เฟยเยียนรีบชักมือกลับทันที

 

 

ไม่รู้ว่าไปเรียนสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้มาจากใคร!

 

 

“บอกมาว่าท่านเริ่มชอบข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

 

 

 หลังเปิดเผยความรู้สึกตนออกไปแล้ว อวี้เฟยเยียนก็กล้าหาญชาญชัยขึ้นมาก

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนพลิกกายนอนแช่ในบ่อน้ำอุ่น ดึงอวี้เฟยเยียนให้อิงแอบแนบกายตน

 

 

“ได้พบเจ้าที่นี่ ได้เห็นดวงตาปีศาจน้อยที่เปล่งประกายวาววับ พี่ก็ถูกตาต้องใจเจ้าในทันที รู้สึกว่าเจ้ากับพี่คือคนประเภทเดียวกัน พี่อยากเข้าใกล้เจ้าโดยไม่รู้ตัว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนอิงแอบแนบชิดอกผายของซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งกว่าเดิม

 

 

“ที่แท้ก็ถูกจับตาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือนี่! เนื้อเข้าปากเสื้อจริงๆ เชียว!”

 

 

ได้ยินคำบรรยายนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับหัวเราะออกมา

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ!”

 

 

ในวันนั้น เขาก็กัดนางเช่นนี้

 

 

แม้ว่าในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนจะสลบไปจึงไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

 

แต่ทว่า กลิ่นอายของนางก็จรดลึกอยู่ในหัวใจของเขานับตั้งแต่นั้น ทำให้เขาอยากพบนาง

 

 

“แมวน้อย หากวันนั้นมาถึง วันที่เจ้าพบวิธีกลับบ้าน เจ้าจะต้องบอกพี่ล่วงหน้า พี่จะไปกับเจ้าด้วย!”

 

 

“ได้…”

 

 

อวี้เฟยเยียนได้ยินคำของซย่าโหวฉิงเทียน หัวใจของนางก็เต้นระส่ำ

 

 

“ข้าไม่รู้ว่าจะพาท่านไปด้วยได้หรือไม่ แต่ข้าจะบอกกับท่านอย่างแน่นอน”

 

 

อวี้เฟยเยียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอุปกรณ์จับสัญญาณให้ซย่าโหวฉิงเทียนฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งยังบอกกับเขาอีกว่าวิญญาณของนางทะลุมิติมาที่นี่ ร่างแท้จริงของนางอยู่ที่ประเทศจีน

 

 

ยิ่งได้ฟัง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่านางหายากยิ่งนัก

 

 

พหุภพอย่างนั้นหรือ

 

 

นางกำลังจะบอกว่ามีอีกภพที่มีการคงอยู่เฉกเช่นเดียวกับที่นี่

 

 

อวี้เฟยเยียนกลับไปได้ โดยอาศัยอุปกรณ์จับสัญญาณนี้ แต่เขาที่ไม่มีอุปกรณ์นั่น แล้วจะไปกับอวี้เฟยเยียนได้อย่างไรกัน

 

 

ภายหลัง ซย่าโหวฉิงเทียนจงใจมองข้ามคำถามนี้ไป เขาเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง ถามอวี้เฟยเยียนเกี่ยวกับประเทศจีนแทน

 

 

เมื่อเขาได้ฟังนางเล่าว่า เจ้ารถยนต์สี่ล้อเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าจอมเทวาเสียอีก ยังมีเครื่องบินที่มีปีกใหญ่โตสามารถโบยบินในอากาศได้ไกลเป็นพันลี้ ผู้คนในโลกนั้นเท่าเทียมกันทุกคน ที่นั่นเป็นสังคมที่ใช้หลักนิติธรรม ฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าประชาชน ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

 

 

มองดูดวงหน้าน้อยแสนน่ารักของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งกุมมือนางแน่นขึ้น

 

 

เห็นที คงมีเพียงสถานที่แปลกประหลาดเช่นนั้นจึงจะสามารถปลูกฝังคนเช่นอวี้เฟยเยียนออกมาได้!

 

 

เขา และเหล่าสหายของนางช่างโชคดียิ่งนักที่ได้พานพบกับนาง!

 

 

ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็จะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ

 

 

สำหรับนาง เขาจะไม่มีวันปล่อยมือ!

 

 

เวลาผ่านไปนาน อวี้เฟยเยียนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ตอนนั้นซย่าโหวฉิงเทียนเองก็จิตใจสงบลงมาก ใจเขากำลังดื่มด่ำกับความสุขและความหอมหวานจากความรักที่ลึกซึ้ง

 

 

เพียงแต่ ในใจของเขารู้ดีว่า ภายใต้จิตใจที่สงบของตน ลึกๆ แล้วแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ

 

 

เห็นทีกลับไปจะต้องไปหาเจ้าไม้เท้าเทพเสียหน่อยแล้ว!

 

 

อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ด้วยกันที่บ่อน้ำพุร้อนสองวันสองคืนเต็มๆ

 

 

หลังจากเปิดเผยความในใจกันในครั้งนี้แล้ว หัวใจทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวใจสื่อถึงใจ เข้าอกเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น มีซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคู่ซ้อมให้ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่สามอวี้เฟยเยียนก็สามารถทะลุขั้นจอมเทวาจนสำเร็จขั้นปรมาจารย์ในที่สุด

 

 

หลังจากสำเร็จขั้นปรมาจารย์ ลักษณะของอวี้เฟยเยียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

 

ร่างนางเปล่งรัศมีอบอุ่นและอ่อนโยนออกมา ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอยากเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว

 

 

เห็นอวี้เฟยเยียนเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อย

 

 

ในปีนั้นเมื่อตอนที่เขาสำเร็จขั้นปรมาจารย์นั้น รัศมีการเข่นฆ่ายิ่งชัดเจนหนักหน่วง นึกไม่ถึงเลยว่าอวี้เฟยเยียนจะเป็นตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง น่าจะเพราะนางเป็นหญิงนั่นเอง!

 

 

ในตอนที่ปรมาจารย์อวี้เฟยเยียนก่อกำเนิดขึ้นนั้น ท้องฟ้ายามราตรีแปรเปลี่ยนเป็นฟ้าใสเฉกเช่นในตอนกลางวัน

 

 

ท้องฟ้าที่เดิมทีมืดสนิท ถูกแสงสว่างอันแรงกล้ามากระทบจนเกิดเป็นทางยาว ต่อมาแสงสว่างก็เข้าแทนที่ความมืดอย่างรวดเร็ว ปลุกให้คนที่หลับฝันให้ตกใจตื่นขึ้น

 

 

นั่นคือ…

 

 

เหลียนจิ่นที่มีผ้าคลุมพาดบ่า ยืนอยู่ที่หน้าประตูของเรือนอ้ายเหลียน เขานับนิ้วพยากรณ์

 

 

นางสำเร็จขั้นปรมาจารย์แล้ว!

 

 

รวดเร็วไม่เบา!

 

 

หากอิงตามความเร็วนี้ละก็ ไม่นานพวกเขาก็สามารถเดินทางไปที่เมืองอู๋โยวแล้ว

 

 

ไปที่อู๋โยว ก็จะใกล้กับที่นั่นมากขึ้น ถึงตอนนั้นมีทุกข์ต้องปลดทุกข์ มีแค้นต้องชำระ!

 

 

จู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดนี้ขึ้น ผู้คนบนแผ่นดินหลัวอวี่จึงลุกจากเตียง ใส่เสื้อผ้าคลุมแล้วพากันออกมานอกบ้าน มองดูปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่ร้อยปีจะเจอสักครั้งอย่างตั้งใจ

 

 

จอมยุทธ์ผู้หนึ่งที่มีความรู้ลึกซึ้งร้องขึ้น

 

 

“ปรมาจารย์ ปรมาจารย์ถือกำเนิดแล้ว!”

 

 

นั่นจึงทำให้ใจของทุกคนคลายความสงสัยไปได้

 

 

“ปรมาจารย์!”

 

 

ลำดับขั้นสูงสุดของจอมยุทธ์บนแผ่นดินหลัวอวี่มีเพียงจอมเทวา ซึ่งจอมเทวามีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก

 

 

มาวันนี้ กลับมีปรมาจารย์ถือกำเนิดขึ้น!

 

 

ปาฏิหาริย์โดยแท้!

 

 

ฮ่องเต้แห่งต้าโจวซย่าโหวจวินอวี่กำลังขยี้ตาไปมาแล้วมองดูบนท้องฟ้า ก่อนสบถคำหยาบคายออกมาหนึ่งประโยค

 

 

“โอ้! ใครกันนะ เก่งกาจถึงเพียงนี้ เร็ว รีบไปสืบมา ปรมาจารย์คือใคร ของแคว้นไหนกัน!”

 

 

ในฐานะฮ่องเต้ สิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่สนใจมากที่สุดนั่นก็คือ ปรมาจารย์เป็นคนของแคว้นใดกัน

 

 

“อามิตตาพุทธ พุทธองค์คุ้มครอง ท่านปรมาจารย์จะเป็นของเชียนลั่วเฉิงเจ้าคนเลวนั่นไม่ได้เด็ดขาด!”

 

 

ซย่าโจวจวินอวี่ภาวนา