ซย่าโหวฉิงเทียนจับมืออวี้เฟยเยียนมาวางที่อกซ้ายของตัวเอง
“เมื่อเจ้าอยู่ข้างกายพี่ ในนี้ก็จะสงบสุข!”
“คนโง่”
อวี้เฟยเยียนแยกไม่ออกเลยว่าตอนนี้ตนหวั่นไหว หรือเป็นเพราะไอน้ำพุร้อนที่ร้อนเกินไปจนทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของนางน้ำตารื้น สายตานางจึงพร่ามัว!
นางรู้จักนิสัยซย่าโหวฉิงเทียนดี และรู้ดีว่าเรื่องนี้จะต้องพูดให้ชัดเจน
ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงขยี้ตาเบาๆ จ้องมองชายหนุ่มที่มั่นคงในความรู้สึกตรงหน้าด้วยสายตาพร่าเลือน
“ซย่าโหวฉิงเทียนพวกเราไม่มีวันมีอนาคตด้วยกัน!”
“เพราะอะไร แมวน้อย เจ้ากังวลเรื่องอะไร”
“เพราะว่า เพราะว่า…”
อวี้เฟยเยียนกัดริมฝีปากแน่น ริมฝีปากแดงฉ่ำถูกนางกัดหลายต่อหลายครั้งจนเกิดเป็นรอยแผล
“เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของข้า!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวความในใจออกไป
นางมิใช่คนที่ชอบจะมาปิดบังยืดเยื้อ
ในเมื่อมิอาจตอบรับคืนด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกันกับที่ซย่าโหวฉิงเทียนมอบให้ได้ นางก็จะต้องบอกอีกฝ่ายให้ชัดเจนกระจ่างชัดตั้งแต่แรก
มิเช่นนั้นนางนั้นได้สุขสบายกับสิ่งดีๆ ที่ซย่าโหวฉิงเทียนมอบให้ เสียเวลาของเขาโดยเปล่าประโยชน์ พอเสร็จแล้วก็สะบัดก้นจากไป คนอย่างอวี้เฟยเยียนทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้
“พี่รู้ดี”
อวี้เฟยเยียนคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่นางบอกเรื่องนี้ออกไป คำตอบของซย่าโหวฉิงเทียนจะเป็นเช่นนี้
คราวนี้ ถึงตาอวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายตกตะลึงไปบ้าง
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“หลังจากที่พาเจ้ากลับมา ข้าก็รู้แล้วว่า เจ้าไม่ใช่อวี้เฟยเยียนคนเดิมอีกต่อไป”
ซย่าโหวฉิงเทียนสืบข้อมูลเกี่ยวกับอวี้เฟยเยียนทั้งหมดตั้งแต่เล็กจนโต และทำการเปรียบเทียบอย่างละเอียดกับนางในตอนนี้ ผลที่ออกมาคือคนละคน
หากจะบอกว่าคนคนหนึ่งได้รับการกระทบกระเทือน จนทำให้นิสัยเปลี่ยนไปมากยังสามารถเข้าใจได้
แต่นี่ไม่เพียงแต่นิสัยเปลี่ยนไป
ความรู้ความสามารถและสติปัญญาที่สมบูรณ์พร้อมที่อวี้เฟยเยียนมี มันมิใช่ว่าจะฝึกฝนกันได้ภายในเวลาไม่กี่วัน
“ท่านจะบอกว่าอวี้เฟยเยียนในอดีตไม่รู้หนังสือ ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นข้าจึงเป็นตัวปลอมอย่างนั้นสิ”
อวี้เฟยเยียนทำตาโต อย่างเหลือเชื่อ
“เช่นนั้น ท่านไม่รู้สึกว่าข้าเป็นตัวประหลาดหรอกหรือ”
เสียงอ่อนหวานของสาวน้อย ทำให้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกดี
หากอวี้เฟยเยียนเป็นตัวประหลาด แล้วเขาเป็นอะไร
เขามิเป็นตัวประหลาดในตัวประหลาดอย่างนั้นหรือ
ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกไป จับปอยผมเปียกชื้นที่ปรกหน้าของอวี้เฟยเยียนทัดที่ใบหู
“ไม่หรอก! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร มาจากไหน เจ้าก็คือแมวน้อยของพี่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเด็ดขาดของเขาแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกตนในยามนี้อย่างไรดี
ควรจะขอบคุณในความเชื่อใจที่ซย่าโหวฉิงเทียนมีให้ หรือถีบเขาสักที ด่าว่าเขาคิดเองเออเอง นางกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ท้ายที่สุด อวี้เฟยเยียนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น
เพราะซย่าโหวฉิงเทียนถามในสิ่งที่สำคัญที่สุดออกมา
“เจ้าปฏิเสธพี่ เป็นเพราะว่าเจ้ารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องไปจากที่นี่ใช่หรือไม่”
ในขณะที่กล่าวถามคำถามสำคัญนี้ ใจซย่าโหวฉิงเทียนกำลังบีบรัดอย่างหนัก มันเจ็บปวดแสนสาหัส
เขาและแมวน้อยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เขาขาดนางไม่ได้
หากต้องมีวันนั้นจริง วันที่อวี้เฟยเยียนหายไปโดยไร้ร่องรอย ข้าคงจะต้องเป็นบ้าคลั่งอย่างแน่นอน!
“ใช่!”
อวี้เฟยเยียนพยักหน้าเบาๆ อย่างไม่มีปิดบัง
“ถึงแม้ว่าข้ายังหาเครื่องเชื่อมต่อสัญญาณไม่เจอก็ตาม ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปอย่างไร…”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนรั้งอวี้เฟยเยียนเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดนางไว้แน่น ให้หัวใจนางแนบชิดกับหัวใจของเขา มีเพียงทำเช่นนี้ เขาจึงสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของอวี้เฟยเยียน
“อย่าไป!”
อกผายของซย่าโหวฉิงเทียนตั้งตรงหนักแน่นและอบอุ่น
แต่ใบไม้ต้องกลับคืนสู่ต้นไม้ คนพเนจรอย่างไรก็ต้องมีวันกลับสู่บ้านของตน!
“ซย่าโหวฉิงเทียน บ้านของข้ามีทั้งคุณปู่ พี่ชาย ญาติพี่น้องและเพื่อนของข้าล้วนแต่อยู่ที่นั่น! ที่นั่นต่างหากจึงเป็นบ้านที่แท้จริงของข้า…”
แม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาของอวี้เฟยเยียนจะไม่ดังเท่าไหร่นัก แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน
“บ้าน…”
จริงสินะ! เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงได้นะ!
แมวน้อยต้องมีครอบครัวของนาง มีชีวิตที่เป็นของนางเอง
การบังคับนางให้อยู่ที่นี่ ให้นางต้องห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ไกลห่างกับญาติมิตร สำหรับนางแล้วมันไม่ยุติธรรมอย่างมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจยิ่งนัก
เหตุใดเขาถึงได้…เห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้!
แต่จะให้ปล่อยแมวน้อยไป เขาก็ทำไม่ได้!
“พี่จะไปกับเจ้าเอง!”
น้ำเสียงซย่าโหวฉิงเทียนหนักแน่น ทำให้น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลของอวี้เฟยเยียนไหลออกมาในที่สุด
เขาจะไปกับนาง
เขายอมละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนที่ตนเองเติบโตมา ละทิ้งสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย ละทิ้งคนในครอบครัว ละทิ้งสถานะที่สูงส่งไปยังประเทศจีนกับนาง ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย
ในใจของอวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าการที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะปรับตัวให้เข้ากับประเทศจีนในปัจจุบันยากเสียยิ่งกว่านางปรับตัวตัวให้เข้ากับต้าโจวเสียอีก
อย่างน้อยที่สุด จากราชนิกุลสูงส่งกลายเป็นประชาชนคนธรรมดา ฐานะที่แตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ไม่ใช่จะคุ้นชินกันได้ง่ายๆ
ยิ่งกว่านั้น ประเทศจีนคือสังคมในยุคสมัยปัจจุบันซึ่งแตกต่างจากต้าโจวโดยสิ้นเชิง
จากสังคมที่ปิดกั้น กลายเป็นสังคมเปิดแบบปัจจุบัน การก้าวข้ามครั้งยิ่งใหญ่ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของโลก
“ท่านยินยอมหรือ ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมทั้งคนในครอบครัวของท่าน”
ในใจของอวี้เฟยเยียนยังมีคำถามอีกหนึ่งข้อ
“อีกอย่างท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ที่ข้าใช้ชีวิตอยู่นั้นมันเป็นอย่างไร…”
คำถามของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนตอบอย่างง่ายดายและชัดเจน
“เจ้าอยู่ พี่อยู่!”
คนในครอบครัว เขามีคนในครอบครัวที่ไหนกัน…นอกจากซย่าโหวจวินอวี่ที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา
หากว่า เขาต้องไปจากที่นี่จริง คนที่ซย่าซย่าโหวฉิงเทียนอาลัยอาวรณ์มากที่สุดนั่นก็คือซย่าโหวจวินอวี่ เพราะเขาคือผู้มอบความรักและความห่วงใยซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยได้รับมาก่อน
“คนโง่!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ อวี้เฟยเยียนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะใช้คำใดมาบรรยายความรู้สึกตนเองในตอนนี้ได้เลย
คนโง่คนหนึ่งจริงๆ ด้วย
ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับยินยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเลือกที่จะไปกับนาง นี่เรียกว่าว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่เกรงกลัว หรือวัวหนุ่มไม่รู้ความโหดร้ายของพญาเสือกันแน่
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนหลั่งน้ำตา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ร้อนรนเขารีบเช็ดน้ำตาให้กับนางทันที
“หากยอมโง่สักหน่อย แล้วเจ้าจะไม่จากพี่ไป พี่จะยอมเป็นไอ้โง่ก็ได้!”
มือใหญ่ของเขามีเรี่ยวแรงมาก เช็ดน้ำตาให้กับอวี้เฟยเยียนจนใบหน้านางแดงเถือก กระทั่งอวี้เฟยเยียนร้องบอกว่าเจ็บ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้รู้สึกตัวว่าผิวอีกฝ่ายอ่อนนุ่มนัก แล้วจะทานทนกับน้ำมืออันหนักหน่วงของเขาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“พี่เป่าให้เจ้านะ”
ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าไปเป่าให้กับนางด้วยความรักและสงสาร
ลมอบอุ่น พัดพาเอาธาตุหยางที่เร่าร้อนของชายหนุ่มเข้ามา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความหอมสดชื่นของกลิ่นดอกหยวนเหว่ยมาปะทะใบหน้า ยิ่งทำให้ใบหน้าอวี้เฟยเยียนแดงระเรื่อขึ้นไปอีก
“แมวน้อย…”
ดวงหน้างดงามของอวี้เฟยเยียน ทำให้ลำคอซย่าโหวฉิงเทียนแห้งผาก
ตาที่ทอดมองลงด้านล่าง อ่อนโยนแสนงอน ราวกับดอกบัวในลำธารที่กำลังจะผลิบานก็ไม่ปาน สวยงามเป็นที่สุด!
“พี่อยากจูบเจ้า!”
ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนตอบรับ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดูดกลืนริมฝีปากของนาง
ริมฝีปากบางนุ่มนิ่มของนางเผยอขึ้น กลิ่นหอมจากกลีบบุปผากำจาย ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกมีพลัง มือใหญ่เขาโอบรัดเอวบางของนางเข้าสู่อ้อมกอดตนอย่างแน่นหนา
ไม่มีความรีบร้อนบุ่มบ่ามเฉกเช่นที่ผ่านมา หลังผ่านประสบการณ์จริงหลายต่อหลายครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนก็มีทักษะที่เชี่ยวชาญช่ำชอง
ความเผด็จการที่อ่อนโยน ให้ความรักนำทางไป