ภายในห้องโถงของเทือกเขาหิมะ ฉินเฟิง ซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ นั่งเรียงรายอยู่ทางขวามือ ส่วนฝั่งตรงข้ามของพวกเขาคือกลุ่มคนจากทั้งสามขุมกำลัง
ตำแหน่งที่นั่งแรกคือเฝินชวี่—นายน้อยแห่งหุบเขากรุ่นกำยานผู้ที่ได้พบกับทุกคนก่อนหน้านี้ในทุ่งหิมะทางเหนือ ถัดจากเขาคือยอดฝีมือที่เก่งกาจและมีโอกาสสูงที่สุดที่จะได้เป็นผู้นำของนิกายอู่ซานคนต่อไป—อู่ถง ส่วนตำแหน่งที่นั่งคนที่สามคือนายน้อยแห่งนิกายเพลิงแดงเดือด—ฮั่วหลิน
อู่ถงดูเป็นสุภาพบุรุษวางตัวดี เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำเงินและมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้า เขาดูเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายอย่างยิ่ง
ส่วนฮั่วหลินสวมอาภรณ์สีม่วงดูหรูหราโอ่อ่าอย่างยิ่ง รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าของเขา ผิวพรรณของเขาขาวผ่องและมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาชวนมอง แววตาของเขาชัดเจนทว่ายากที่จะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ในเวลานี้ บัลลังก์หลักตรงหน้าก็ถูกเว้นว่างไว้และเชื่อว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่สงวนไว้สำหรับฉินอวี้โม่
“ซวงเสวี่ย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสละตำแหน่งผู้นำของเทือกเขาหิมะ เห็นทีผู้นำคนใหม่ของเทือกเขาหิมะคงจะมีฝีมือมากสินะ”
เฝินชวี่เคยพบฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมาก่อนหน้านี้แล้ว และเขาทราบข้อมูลมากกว่าอู่ถงและฮั่วหลิน เขากล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความเหยียดหยาม
ซวงเสวี่ยถือเป็นคนมีหน้ามีตาในดินแดนทางเหนือและเทือกเขาหิมะเคยเป็นขุมกำลังที่ไร้กฎระเบียบ การที่ฉินอวี้โม่ผู้นำคนใหม่สามารถทำให้ซวงเสวี่ยยอมหลีกทางและยอมจำนนอย่างง่ายดายเช่นนี้ นับว่ามีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว
“เฝินชวี่ ข้าบอกแล้วว่าพวกเรามิใช่เทือกเขาหิมะอีกต่อไป หากแต่เป็นเรือนเฟิงเสวี่ย เจ้าควรที่จะเข้าใจได้แล้ว”
ซวงเสวี่ยไม่ไว้หน้าเฝินชวี่แม้แต่น้อยและกล่าวต่อ “ผู้นำของเรากำลังติดธุระสำคัญบางอย่างและจะมาที่นี่ในอีกไม่นาน โปรดรอสักประเดี๋ยว”
ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าครานี้พวกเขาต้องการแสดงให้ทั้งสามขุมกำลังได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา แน่นอนว่าจะไม่มีการปิดบังสิ่งใด
“เรือนเฟิงเสวี่ยเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาเท่านั้นและการที่ผู้นำจะยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ พวกเราก็เข้าใจเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ข้าสงสัยใคร่รู้นักว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยผู้นี้ได้รับการยอมรับจากผู้นำซวงเสวี่ยได้อย่างไร ?”
อู่ถงพยักศีรษะก่อนเอ่ยถามด้วยวาจาและสีหน้าท่าทางสุภาพ
นิกายอู่ซานถือเป็นขุมกำลังที่เถรตรงและเป็นกลางที่สุดในดินแดนทางเหนือ ไม่ว่าพวกเขาจะมีลักษณะนิสัยเช่นนั้นจริง ๆ หรือว่าเพียงเสแสร้งทำ คนจากนิกายอู่ซานทั้งหมดก็มีลักษณะท่าทางที่เหมือน ๆ กันเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็สงสัยเช่นกัน ตามที่เฝินชวี่กล่าวมา ผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยยังเยาว์วัยนัก ทว่ากลับมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลย ข้าอยากรู้นักว่าผู้นำที่ว่านี้จะเป็นคนอย่างไร”
ฮั่วหลินยิ้มบาง ๆ สีหน้าของเขาแสดงถึงความคาดหวังอย่างชัดเจน สำหรับผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยที่กล่าวกันว่าทรงพลังนัก เขาอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าจะเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับข่าวจากหุบเขากรุ่นกำยานเกี่ยวกับเทือกเขาหิมะ แม้ว่านิกายเพลิงแดงเดือดของพวกเขาจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองของผู้ใดนัก แต่แน่นอนว่าเขาก็อยากจะเห็นว่าบุรุษที่ทำให้หุบเขากรุ่นกำยานมีทัศนคติเช่นนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อเฝินชวี่ได้ยินวาจาของฮั่วหลินและอู่ถง เขาก็กวาดสายตามองพวกเขาอย่างดูหมิ่น เขารู้จักคนทั้งสองเป็นอย่างดี แม้กล่าวว่าต้องการมาเพียงเพื่อเห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็กังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นภัยคุกคามที่ทำให้สถานะของตนเองสั่นคลอน ดังนั้นจึงต้องการมาที่นี่เพื่อทดสอบให้แน่ชัด
“ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนาน”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด นางเพียงยิ้มบาง ๆ และเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างไม่รีบร้อน
รูปลักษณ์ของนางยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ซึ่งสวมอาภรณ์สีเทาแบบบุรุษและมีรูปลักษณ์ที่ดูธรรมดาอย่างยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความอบอุ่นทว่าห่างเหิน
หลังจากกวาดสายตามองทุกคน นางก็เดินตรงไปนั่งลงบนบัลลังก์หลักอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“ไม่ทราบว่าที่พวกท่านจากสามขุมกำลังมาเยือนเรือนเฟิงเสวี่ยครานี้มีจุดประสงค์ใดรึ ?”
เมื่อกล่าวและกวาดสายตามองไปที่ฮั่วหลินและอู่ถง ทั้งสองก็สบสายตาของฉินอวี้โม่พอดิบพอดี พวกเขายิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมพยักศีรษะเบา ๆ โดยไม่แสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราได้ยินว่าเรือนเฟิงเสวี่ยเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่และพวกเราไม่เคยพบหน้าผู้นำของมันมาก่อน เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงมาเยี่ยมเยือนเรือนเฟิงเสวี่ยเพื่อแสดงความยินดีและทำความรู้จักกัน”
ฮั่วหลินยิ้มอ่อนและความคิดของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว
แม้ภายนอกแล้วฉินอวี้โม่ดูธรรมดา สภาวะพลังที่แผ่มาจากนางก็ยากที่จะเข้าใจได้ กลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนยอมจำนนตั้งแต่แรกเห็นราวกับมีไว้เพื่อมิให้ผู้คนคิดเป็นอื่นใดได้เลย
จากนั้นกล่องใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของฮั่วหลิน เขายืนขึ้นและเดินตรงเข้าไปตรงหน้าฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและยื่นมันให้กับนาง
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และรับกล่องใบนั้นแต่โดยดี หลังจากเปิดออกโดยไม่ลังเล นางก็พบไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่อยู่ภายในกล่อง
แม้ว่ามันไม่มีพลังพิเศษใด ทว่าไข่มุกราตรีขนาดใหญ่ก็ถือเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าอย่างมาก
“ฮ่า ๆ ๆ ต้องขอบคุณนิกายเพลิงแดงเดือดสำหรับความกรุณา หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าจะไปเยี่ยมเยือนพวกท่านด้วยตัวเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และพยักศีรษะให้กับฮั่วหลิน
“ฮ่า ๆ ๆ หากผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยไปที่นิกาย มันจะเป็นเกียรติของนิกายพวกเราอย่างยิ่ง ท่านพ่อของข้าจะต้องพาทุกคนในนิกายแดงเดือดออกมาเพื่อต้อนรับท่านอย่างแน่นอน”
ฮั่วหลินยิ้มตอบก่อนนั่งลงอีกครั้ง
ปฏิกิริยาของฉินอวี้โม่ราบเรียบและเรียบเฉยจนฮั่วหลินไม่สามารถตรวจจับสิ่งใดจากนางได้เลย อย่างไรก็ตาม ฮั่วหลินทราบดีว่าการที่สามารถวางตัวสงบนิ่งใจเย็นอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่ยังเยาว์วัยเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเรานิกายอู่ซานก็มีของมาให้เช่นกัน”
อู่ถงลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มก่อนที่กล่องใบหนึ่งจะปรากฏในมือของเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กล่องของอู่ถงเป็นกล่องยาวมาก ตั้งแต่แรกเห็นก็เดาได้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในจะต้องเป็นกระบี่ขนาดใหญ่หรือเป็นเล่มยาวอย่างแน่นอน
และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่เปิดกล่อง กระบี่ยาวส่องประกายสีทองอร่ามดูน่าเกรงขามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
“นิกายอู่ซานของพวกเราชำนาญและขึ้นชื่อในด้านทักษะกระบี่ กระบี่ยาวเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในนิกายอู่ซานของพวกเรา กระบี่ยาวคือของกำนัลสำหรับจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้า ข้าหวังว่าท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยจะชื่นชอบอาวุธชิ้นนี้”
อู่ถงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าตอนนี้เขาก็ยังไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นถึงช่างหลอมระดับสูง
“ฮ่า ๆ ๆ กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธที่ดีทีเดียว ทว่ามันยังขาดจิตวิญญาณไปสักหน่อย และก็มีน้ำหนักที่มากเกินไปเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมกล่าวออกไป นางเห็นถึงปัญหาข้อบกพร่องของกระบี่เล่มนี้ได้ในแวบแรก วัสดุที่ใช้และกระบวนการหลอมของกระบี่เล่มนี้ล้วนดีเลิศ เพียงแต่ ระหว่างการหลอมมัน ช่างหลอมอาจวอกแวกไปชั่วขณะจึงส่งผลให้กระบี่ขาดจิตวิญญาณไปและมันดูมีน้ำหนักมากเกินไป อย่างไรก็ตาม มันมิใช่อุปสรรคแม้แต่น้อย กระบี่ยาวเล่มนี้ยังถือว่าเป็นกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง
“เหอะ กระบี่ของนิกายอู่ซานเป็นสมบัติที่ทุกคนในดินแดนนี้ล้วนหมายตาต้องการครอบครอง หากเจ้ากล่าวว่ามันแย่ ในดินแดนนี้ก็คงไม่มีกระบี่ใดที่เป็นกระบี่ที่ดี การที่ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ดูจะเป็นการสงสัยและกังขาในทักษะการหลอมกระบี่ของนิกายอู่ซาน”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เฝินชวี่ก็อดกล่าวเหน็บแนมไม่ได้ ทุกคนในดินแดนทางเหนือล้วนทราบดีว่ากระบี่จากนิกายอู่ซานถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก จอมยุทธ์หลายคนล้วนภาคภูมิใจที่ได้รับกระบี่จากนิกายอู่ซาน ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะวิจารณ์ถึงข้อบกพร่องของมันออกมาโดยตรง เป็นธรรมดาที่ผู้ฟังจะคิดนางกำลังกล่าวยั่วยุอู่ถงอยู่
คำพูดของเฝินชวี่ทำให้คนจากนิกายอู่ซานที่มีสีหน้าราบเรียบมาตลอดเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีนัก
บรรดาผู้คนจากนิกายอู่ซานรักและเชิดชูกระบี่ดั่งชีวิตของพวกเขา หากตำหนิต่อว่าพวกเขา พวกเขาก็อาจจะไม่สนใจนัก ทว่าหากผู้ใดตำหนิหรือดูถูกกระบี่ของพวกเขาล่ะก็ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขามิอาจอดทนอดกลั้นได้
“ฮ่า ๆ ๆ การที่ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ แสดงว่าท่านจะต้องมีกระบี่ที่ดีกว่านี้แน่ เหตุใดท่านไม่นำกระบี่ของท่านออกมาให้ข้าได้รับชมเป็นขวัญตาสักหน่อยล่ะ”
สีหน้าของอู่ถงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงก็หนักแน่นพอสมควร
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อท่านอยากเห็น ข้าก็จะจัดให้ตามความปรารถนา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบก่อนที่กระบี่ปีกจักจั่นจะลอยออกมาจากช่วงเอวของนาง
ดุจดั่งมีจิตวิญญาณอยู่ภายใน กระบี่ปีกจักจั่นก็พุ่งตรงไปกลางอากาศอย่างสวยงามก่อนพุ่งลงไปที่ตรงหน้ากระบี่เล่มยาวที่นิกายอู่ซานมอบให้ราวกับกำลังมองมันอย่างดูถูกดูแคลน
เมื่ออู่ถงเห็นกระบี่ปีกจักจั่น สีหน้าของเขาก็แสดงถึงความตกตะลึงอย่างชัดเจน
เขาไม่เคยพบเห็นกระบี่เล่มงามที่บางและเบาเช่นนี้มาก่อน มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทักษะของช่างที่หลอมอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาทรงพลังอย่างที่สุด กระบี่ปีกจักจั่นเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่จริง หากได้กระบี่ทรงพลังเช่นนี้มาในครอบครอง เขาจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้เป็นอย่างมาก
“มันเป็นกระบี่ที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง ข้าขอถามท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยได้รึไม่ว่าใครเป็นคนหลอมอาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้ขึ้นมา ?”
สมาชิกของนิกายอู่ซานต่างก็รักและให้ความสำคัญกับกระบี่เป็นที่สุด แววตาที่อู่ถงมองฉินอวี้โม่ในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความเคารพอย่างชัดเจน เขาต้องการทราบให้ได้ว่าผู้ที่หลอมอาวุธทรงพลังได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้คือผู้ใด
เมื่อพิจารณาจากลักษณะที่กระบี่ปีกจักจั่นแสดงให้เห็น มันมีโอกาสสูงที่จะวิวัฒนาการไปสู่ระดับสูงสุดและมีความเป็นไปได้ที่จะสั่งสมพลังจนจำแลงเป็นร่างมนุษย์ได้
“ฮ่า ๆ ๆ อันที่จริง…ข้าหลอมกระบี่เล่มนี้ด้วยตัวเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ สิ่งที่นางวางแผนไว้ได้บรรลุแล้ว นางรอจังหวะเหมาะสมที่จะเปิดเผยว่าตนเองเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์
“ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยของเราเป็นถึงช่างหลอมระดับปรมาจารย์ การแสดงความเห็นต่อคุณภาพของอาวุธต่อหน้านางไม่ต่างไปจากการสอนจระเข้ว่ายน้ำเลยสักนิด”
เหมาซานยิ้มกริ่ม แน่นอนว่าเขาเข้าใจจุดประสงค์ของฉินอวี้โม่ได้อย่างดี เขาจึงกล่าวแทรกขึ้นมาเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมสรรเสริญต่อผู้นำของตน
“ใช่แล้ว แม้ว่ากระบี่ของนิกายอู่ซานจะมีคุณสมบัติที่ดี มันก็อาจจะไม่ได้เข้าตาผู้นำของเรา วาจาของนายน้อยหุบเขากรุ่นกำยานเมื่อครู่ถือเป็นการตั้งข้อสงสัยในทักษะการหลอมกระบี่ของท่านผู้นำของเราซึ่งเป็นการไม่ให้เกียรติกันแม้แต่น้อย !”
สมาชิกคนอื่น ๆ ของเรือนเฟิงเสวี่ยก็กล่าวแสดงความเห็นด้วยและไม่ปิดบังความเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อเฝินชวี่แม้แต่น้อย
สีหน้าของเฝินชวี่ในตอนนี้เหยเกบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด เขาจ้องหน้าคนเหล่านั้นด้วยแววตาดุดันและกล่าว “เหอะ ดินแดนนี้มีช่างหลอมระดับปรมาจารย์เพียงหยิบมือ หากผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยของพวกเจ้าเป็นปรมาจารย์ช่างหลอมจริง เขาจะไม่มีชื่อเสียงเลยได้ยังไงกัน ? อาวุธนี้พิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก เราไม่มีทางรู้ได้ว่าใครเป็นคนหลอมมัน และข้าไม่เชื่อว่าผู้นำของพวกเจ้าจะเป็นปรมาจารย์ช่างหลอมจริง ๆ”
เฝินชวี่ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทว่าอู่ถงเชื่อแล้วอย่างสนิทใจ หากมิใช่ช่างหลอมระดับปรมาจารย์ก็คงไม่มีทางบอกข้อดีข้อเสียของอาวุธที่เขานำมาได้ตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าขอยอมรับของกำนัลจากนิกายอู่ซาน มันเป็นกระบี่ที่ดีจริง ๆ เพียงแต่ข้าจะทำการพัฒนาปรับปรุงมันสักหน่อยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า มันน่าจะกลายเป็นกระบี่ที่สมบูรณ์แบบกว่านี้ได้”
ฉินอวี้โม่มิได้สนใจเฝินชวี่แม้แต่น้อยขณะรับกระบี่จากอู่ถงและกล่าวออกไป
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ดวงตาของอู่ถงก็ถึงกับเป็นประกายด้วยความคาดหวังทันที
.