“หากผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยพัฒนากระบี่เล่มนี้ขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ ไม่ทราบว่าท่านจะให้ข้าได้ชื่นชมเป็นบุญตาได้รึไม่ ?”
แน่นอนว่าอู่ถงสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าฉินอวี้โม่จะปรับปรุงพัฒนากระบี่เล่มนี้จนเป็นอย่างไร หากฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์จริงและเป็นผู้ที่หลอมกระบี่ปีกจักจั่นที่มหัศจรรย์เช่นนี้ขึ้นมา บางทีนางอาจจะพัฒนากระบี่เล่มนี้จนทรงพลังขึ้นกว่าเดิมถึงนับร้อยเท่า
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม ในเมื่ออู่ถงอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับกระบี่เล่มนี้ นางก็ไม่ตระหนี่หรือใจแคบและจะให้เขาได้ชื่นชมมันอย่างแน่นอน แม้ว่าเรือนเฟิงเสวี่ยไม่คิดที่จะผูกมิตรกับนิกายอู่ซาน การรักษาความสัมพันธ์ที่ปรองดองกันไว้ก่อนถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็ถือเป็นเรื่องดี
ถึงอย่างไรแม้ว่าเรือนเฟิงเสวี่ยไม่อ่อนแอ มันก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะประจันหน้ากับขุมกำลังใหญ่ทั้งสาม สาเหตุที่ทั้งสามขุมกำลังได้เป็นขุมกำลังระดับหนึ่งในดินแดนทางเหนือและรักษาตำแหน่งนั้นมาได้อย่างเนิ่นนาน หากจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีไพ่ตายบางอย่างซ่อนไว้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณท่านผู้นำฉินเป็นการล่วงหน้า”
อู่ถงยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนหันหลังเดินกลับไปนั่งลง
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำฉินยังคงเยาว์วัยและดูมีอนาคตไกลยิ่งนัก พวกเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจจริง ๆ”
ฮั่วหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาตั้งใจที่จะผูกมิตรกับฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรแล้วลักษณะนิสัยและพลังของฉินอวี้โม่ก็ทำให้เขารู้สึกชื่นชมขึ้นมาได้ทั้งที่เพิ่งพบกันเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น อีกอย่าง นิกายเพลิงแดงเดือดของพวกเขาก็ไม่ค่อยชอบหน้าคนจากหุบเขากรุ่นกำยานเท่าไหร่นัก หากเรือนเฟิงเสวี่ยเลือกที่จะเป็นปฏิปักษ์กับหุบเขากรุ่นกำยาน พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
“ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยฮั่วหลินพูดเป็นเล่นไป ท่านเองก็เป็นถึงผู้เลื่องชื่อและมีอิทธิพลของดินแดนทางเหนือและพรสวรรค์ของท่านก็เป็นที่ชื่นชมของทุกคน เพราะฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตนเลยสักนิด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ นางรู้สึกได้ว่าฮั่วหลินมีเจตนาที่ดีและมิได้เอ่ยสิ่งใดผิดจากความจริงหรือไม่เข้าหู
เฝินชวี่ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของฮั่วหลินและอู่ถง เขาจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
“ฮั่วหลิน อู่ถง พวกเจ้าจงอย่าลืมว่าครานี้พวกเราเดินทางมาที่เรือนเฟิงเสวี่ยเพื่ออะไร !”
เสียงของเขาถ่ายทอดไปถึงฮั่วหลินและอู่ถงผ่านทางกระแสจิตเพื่อย้ำเตือนให้พวกเขารู้ตัว
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราไม่ลืมหรอก ครานี้ข้ามาที่เรือนเฟิงเสวี่ยตามคำสั่งของท่านพ่อเพื่อพบกับผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยด้วยตัวเองและส่งของกำนัลแสดงความยินดี”
ฮั่วหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้มและมิได้เก็บคำพูดของเฝินชวี่มาคิดอย่างจริงจัง
แม้ภายนอกจะดูเหมือนพวกเขามาที่เรือนเฟิงเสวี่ยเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของขุมกำลังใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม คนจากทั้งสามขุมกำลังก็ล้วนมีความคิดและจุดประสงค์ของตนเองอยู่
อย่างเช่นฮั่วหลิน เขามาเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของเรือนเฟิงเสวี่ย แท้จริงแล้วเขาต้องการดูว่าเรือนเฟิงเสวี่ยแห่งนี้มีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับนิกายเพลิงแดงเดือดของเขาหรือไม่ และขุมกำลังใหม่นี้จะกลายเป็นขุมกำลังใหญ่อันดับที่สี่ของดินแดนได้หรือไม่
ขุมกำลังใหญ่ทั้งสามของดินแดนทางเหนือดำรงอยู่มานานหลายร้อยปีแล้วและตอนนี้หากมีขุมกำลังระดับหนึ่งที่สี่ปรากฏขึ้นจริง มันจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของดินแดนทางเหนืออย่างแน่นอน นิกายเพลิงแดงเดือดของพวกเขาก็ต้องหาทางป้องกันตัวเองมิให้ได้รับผลกระทบที่มากจนเกินไป
“เจ้า…”
เมื่อได้ยินวาจาของฮั่วหลิน เฝินชวี่ก็ถึงกับพูดไม่ออก ฮั่วหลินผู้นี้ประกาศตัวอย่างชัดเจนแล้วว่ามิได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับเรือนเฟิงเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากลักษณะท่าทางของเขา เขาก็ไม่คิดที่จะมาที่นี่เพื่อทำอะไรตั้งแต่แรกแล้ว
“นิกายอู่ซานของพวกเราก็มาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือนผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยคนใหม่เช่นกัน ในเมื่อตอนนี้จุดประสงค์ของเราบรรลุแล้ว มันก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปเสียที”
อู่ถงยืนขึ้นก่อนบอกลาฉินอวี้โม่
ไม่มีความไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเป็นการลองเชิงแม้แต่น้อย อู่ถงทราบดีว่าเรือนเฟิงเสวี่ยมีทั้งพลังความแข็งแกร่งและศักยภาพพอที่จะทัดเทียมกับสามขุมกำลังของพวกเขาได้ เพียงแค่มีฉินอวี้โม่เป็นผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยและด้วยสถานะช่างหลอมระดับปรมาจารย์ของนาง มันก็เพียงพอแล้วที่จะเทียบชั้นกับทั้งสามขุมกำลังใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีบุรุษที่นั่งตรงข้ามกับเขาซึ่งไม่ได้เอ่ยปากขึ้นมาแม้แต่คราเดียวและมีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้าตลอดเวลา อู่ถงรู้สึกได้ว่าบุรุษผู้นี้รับมือได้ยากอย่างยิ่งและความแข็งแกร่งของเขาก็เหนือกว่าอู่ถงถึงหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าบุรุษผู้นี้อาจจะมีความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเดียวกับผู้นำนิกายของพวกเขา
“อู่ถง นี่เจ้า…”
สีหน้าของเฝินชวี่เปลี่ยนไปอีกคราเมื่ออู่ถงกล่าวร่ำลาและเตรียมตัวกลับนิกาย อย่างไรก็ตาม เขามิอาจกล่าวสิ่งใดมากเกินไปได้
สถานะของอู่ถงและฮั่วหลินเท่าเทียมกับตัวเขา เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางควบคุมความคิดหรือการกระทำของคนทั้งสองได้เลย การได้ร่วมเดินทางมาที่เรือนเฟิงเสวี่ยถือเป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าฮั่วหลินและอู่ถงจะเปลี่ยนแผนกลางคันเช่นนี้ การกระทำที่แสดงออกอย่างชัดเจนของพวกเขาทำให้เฝินชวี่ไม่สบายใจอย่างแท้จริง
“ฮ่า ๆ ๆ หากเช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้งท่าน เมื่อข้าปรับปรุงพัฒนากระบี่เล่มนี้จนเสร็จสมบูรณ์ ข้าจะนำมันไปที่งานชุมนุมดินแดนเหนือในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะให้ทุกคนจากนิกายอู่ซานได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของมัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเป็นมิตร นางมิได้ปิดบังสิ่งใดและกล่าวออกไปอย่างเปิดเผย
“เข้าใจแล้ว ตกลงตามนั้น”
อู่ถงยิ้มด้วยความยินดี จากนั้นเขาก็กล่าวลาซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ เพื่อขอตัวเดินทางกลับนิกายอู่ซานในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ เราก็กลับกันเถอะ ท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยอย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนที่นิกายเพลิงแดงเดือดของเราด้วยตัวเองล่ะ ข้าจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องและเราจะรอต้อนรับท่านผู้นำที่นิกายเพลิงแดงเดือดของเรา”
ฮั่วหลินยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มเช่นนั้น เขากล่าวขึ้นอย่างสบาย ๆ ก่อนหันหลังกลับไปพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตาม
เวลานี้ภายในห้องโถงเหลือเพียงฝ่ายฉินอวี้โม่และกลุ่มคนจากหุบเขากรุ่นกำยานเท่านั้น
“อะไรกัน ? เจ้าอยากอยู่ที่เรือนเฟิงเสวี่ยของเราต่ออีกสักสองสามวันรึ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเฝินชวี่ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจือความเย้ยหยัน
“เหอะ ครั้งก่อนที่ทุ่งหิมะทางเหนือ ข้ากล่าวไว้แล้วว่าจะมาคิดบัญชีกับพวกเจ้าในไม่ช้าก็เร็ว ที่ข้าเดินทางมาเรือนเฟิงเสวี่ยในครานี้ก็เพื่อบอกให้พวกเจ้าเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ มิฉะนั้น พวกเจ้าคงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองตายไปอย่างไร”
เฝินชวี่แค่นเสียงเย็นชาก่อนยืนขึ้นและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความอาฆาตมาดร้าย
“เฝินชวี่ เจ้าช่างอาจหาญนัก การที่เจ้ากล้ากล่าววาจาเช่นนี้ในเรือนเฟิงเสวี่ย เจ้าไม่กลัวรึว่าจะไม่ได้มีชีวิตกลับออกไป ?”
ซวงเสวี่ยยืนขึ้นเช่นกันและมองเฝินชวี่ด้วยแววตาแฝงด้วยความเป็นปฏิปักษ์ การที่ริอาจกล่าววาจาข่มขู่ผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยในถิ่นฐานอาณาเขตของพวกเขา เห็นทีเฝินชวี่ผู้นี้คงไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป
“เหอะ พวกเราสามขุมกำลังมาที่นี่ก็เพื่อแสดงความยินดีกับผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ย หากข้าตายอยู่ที่นี่และข่าวเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันคงไม่ดีต่อภาพลักษณ์ชื่อเสียงของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยนัก ข้าเชื่อว่าเรื่องเช่นนั้นจะเป็นการทำลายเกียรติของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างยิ่ง”
เฝินชวี่มิใช่คนโง่เขลาและเขาแค่นเสียงตอบกลับโดยไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
ครานี้พวกเขาทั้งหมดเดินทางมาที่เรือนเฟิงเสวี่ยด้วยเจตนาที่จะแสดงความยินดีกับผู้นำคนใหม่ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับใครสักคนที่นี่ มันจะเป็นผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงเชื่อว่าฉินอวี้โม่ไม่กล้าลงมือสังหารเขาที่นี่เป็นแน่
“ฮ่า ๆ ๆ ก็ไม่เสมอไปหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น แม้เฝินชวี่จะคิดไว้แล้ว นางก็มิใช่คนประเภทที่จะทำตามกฎเกณฑ์ หากมิใช่เพราะนางรังเกียจที่จะสังหารเฝินชวี่ในตอนนี้ เขาก็คงตายไปแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารแรงกล้าอย่างมิอาจปกปิดของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเฝินชวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและจู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองช่างโง่เขลายิ่งนัก
หากว่าเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป ฉินอวี้โม่ผู้นี้จะกลายเป็นผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยได้อย่างไร อีกทั้งยังกำราบซวงเสวี่ยผู้ที่ถือว่าเป็นวีรบุรุษผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งในดินแดนทางเหนือได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ฝีมือที่ฉินอวี้โม่แสดงให้เห็นที่ทุ่งหิมะทางเหนือก่อนหน้านี้ก็ต่างจากที่เขาคาดไว้อย่างสิ้นเชิง หากว่าการกล่าววาจายโสโอหังของเขาในตอนนี้ยั่วยุให้ฉินอวี้โม่ขุ่นเคืองใจขึ้นมา เกรงว่าชีวิตของเขาคงต้องจบลงที่นี่เป็นแน่
เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ เฝินชวี่ก็เริ่มผุดเหงื่อเย็นทั่วร่าง เขาไม่กล้ารอช้าอีกต่อไปและยืนขึ้นทันทีก่อนกล่าวกับคนของตนเอง “กลับกันเถอะ !”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เตรียมออกจากเรือนเฟิงเสวี่ยโดยเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ เฝินชวี่ ดูเจ้าจะลืมอะไรไปบางอย่างนะ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ยอมปล่อยให้กลุ่มคนจากหุบเขากรุ่นกำยานกลับไปง่าย ๆ นางยิ้มกริ่มพร้อมปรบมือเบา ๆ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวออกไปขวางหน้ากลุ่มคนจากหุบเขากรุ่นกำยานทันที
“ฉินอวี้โม่ เรือนเฟิงเสวี่ยของเจ้าคิดที่จะเปิดศึกกับพวกเราหุบเขากรุ่นกำยานจริง ๆ รึ ?!”
เฝินชวี่ตวัดสายตากลับไปประจันหน้ากับฉินอวี้โม่และแค่นเสียงกล่าวด้วยความฉุนเฉียว
“ฮ่า ๆ ๆ หากพวกเจ้าหุบเขากรุ่นกำยานไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอีกสองขุมกำลัง เราก็ไม่มีปัญหา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นและกล่าวต่อ “คราก่อนในทุ่งหิมะทางเหนือ ข้าจำได้ว่าข้ากล่าวไว้แล้ว หากว่ามีคราต่อไปและเจ้าเตรียมของชดใช้มาไม่มากพอ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็พูดไม่หยุดว่ามาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับข้า ทว่าอีกสองขุมกำลังก็มอบของกำนัลแสดงความยินดีให้กับข้าแล้ว ข้าคิดว่าหุบเขากรุ่นกำยานของเจ้าก็ไม่ควรที่จะตระหนี่ขี้เหนียวเช่นกัน”
เมื่อได้ยินวาจาเชิงข่มขู่ของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเฝินชวี่ก็โกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกผิดกับการกระทำของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ไม่กลับไปพร้อมนิกายอู่ซานและนิกายเพลิงแดงเดือดก่อนหน้านี้ ทว่ากลับเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อเยาะเย้ยถากถางฉินอวี้โม่ เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในตอนนี้ หากเขาไม่มอบของสิ่งใดไว้ เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยเขากลับไปอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าหุบเขากรุ่นกำยานของเรามิใช่ขุมกำลังที่ตระหนี่ขี้เหนียว”
เฝินชวี่กัดฟันแน่นพร้อมหยิบขวดบรรจุโอสถออกมา “ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยคงจะทราบถึงคุณค่าของโอสถนี้เป็นอย่างดี ข้าจะไม่อธิบายให้เสียเวลา นี่คือของกำนัลแสดงความยินดีจากพวกเราหุบเขากรุ่นกำยาน ข้าหวังว่าตำแหน่งผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยของเจ้าจะมั่นคงและยั่งยืนไปอีกนานแสนนาน !”
น้ำเสียงของเขายังคงเจือไปด้วยการข่มขู่ เรือนเฟิงเสวี่ยนี้น่าเกลียดชังเกินไปแถมยังข่มขู่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาจะกลับไปแจ้งให้ผู้เป็นบิดาทราบอย่างแน่นอน เมื่อบิดาของเขาทราบเรื่อง เขาเชื่อว่าบิดาจะไม่ปล่อยให้เรือนเฟิงเสวี่ยและฉินอวี้โม่อยู่อย่างสงบสุขอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกสองขุมกำลังก็น่าจะเข้าใจความแข็งแกร่งของเรือนเฟิงเสวี่ยและฉินอวี้โม่พอสมควร ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงนิกายเพลิงแดงเดือดด้วยซ้ำ เพียงแค่นิกายอู่ซานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขุมกำลังที่เที่ยงธรรมและเถรตรงนั้น เฝินชวี่ก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้เรือนเฟิงเสวี่ยได้โอกาสพัฒนาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าตำแหน่งผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยของข้าจะยั่งยืนยาวนานยิ่งกว่าหุบเขากรุ่นกำยานของเจ้าเสียอีก !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม นางส่งสัญญาณให้คนมารับขวดโอสถไปก่อนที่จะกล่าวต่อ “ในเมื่อหุบเขากรุ่นกำยานมีน้ำใจแสดงความยินดีกับพวกเราเช่นนี้ พวกเราก็ขอน้อมรับของกำนัลนี้ไว้ หลังจากนายน้อยเฝินชวี่กลับไป รบกวนช่วยบอกกับผู้นำหุบเขากรุ่นกำยานด้วยว่าขอบคุณที่มอบขวดโอสถที่ล้ำค่านี้ รวมถึงขอบคุณที่มอบอุปกรณ์มายาอย่างกรงขังเทวะให้กับพวกเราเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดชัดเจนไม่ไว้หน้าของฉินอวี้โม่ เฝินชวี่ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา นี่คือถ้อยคำเย้ยหยันที่เขามิอาจโต้เถียงได้เลย !