ณ ห้องโถงของนิกายเพลิงแดงเดือด
“หลินเอ๋อร์ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ รึ ?”
ฮั่วชิงซานมองไปที่ฮั่วหลินและเอ่ยถามเบา ๆ
ฮั่วชิงซาน—ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดมีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงและถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่เป็นที่รู้จักทั่วดินแดนทางเหนือ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา อารมณ์ร้อนและมิใช่คนแสร้งรับหน้าเอาใจ เป็นเพราะลักษณะนิสัยเหล่านี้ของเขานี่เองที่ทำให้ฮั่วชิงซานมีชื่อเสียงที่ดีไปทั่วดินแดนและได้รับความเคารพจากผู้คนมากมาย
“จริงแท้แน่นอน ข้าได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยไม่ธรรมดาเลย แม้ว่าเขาจะยังดูอ่อนเยาว์นัก ทว่าลักษณะนิสัย ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาก็เหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน หากให้เวลาเขาอีกไม่กี่ปี เขาจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เลื่องชื่อในดินแดนเทพมายาได้อย่างแน่นอน และจากที่ได้พบกันก่อนหน้านี้ ด้วยทัศนคติของเขาที่มีต่อข้า ข้าคิดว่าเขาคงอยากจะผูกมิตรกับนิกายเพลิงแดงเดือดของเรา”
ฮั่วหลินพยักศีรษะและกล่าวถึงข้อคาดเดา รวมถึงความรู้สึกของตนเอง
ฉินอวี้โม่ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริง ด้วยอายุที่ยังน้อย ทว่ากลับสงบนิ่งใจเย็นยิ่งนักทำให้ยากที่จะอ่านออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บุรุษผู้นั้นทั้งลึกลับและน่าค้นหาซึ่งทำให้ผู้คนอยากจะทำความรู้จักอย่างแท้จริง
“ก็เป็นไปได้ เห็นทีเรือนเฟิงเสวี่ยคงไม่ต้องการตกอยู่ใต้อำนาจใครอีกแล้ว พวกเขาคงคิดที่จะทำอะไรสักอย่างในดินแดนทางเหนือ”
ฮั่วชิงซานพยักศีรษะพร้อมกล่าว น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน เขาอยากรู้นักว่าคนแบบใดกันที่ทำให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตนแสดงท่าทีชื่นชมได้เช่นนี้
“หากเป็นเช่นนั้น เราควรตอบสนองอย่างไร ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฮั่วชิงซาน ฮั่วหลินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถาม
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยกล่าวว่าจะมาที่นิกายเพลิงแดงเดือดของเราด้วยตัวเองมิใช่รึ ? หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะรอการมาถึงของเขา เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะยืนยันคุณสมบัติของเขาด้วยตนเอง หากเขาเป็นคนมากพรสวรรค์จริง ๆ มันก็ไม่มีปัญหาที่เราจะร่วมมือด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างแท้จริงซึ่งทำให้ความฝันของพวกเรากลายเป็นจริงได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะยอมจำนนต่อเขา”
ฮั่วชิงซานกล่าวอย่างใจเย็น หากฉินอวี้โม่เป็นคนที่คู่ควรกับการยอมจำนนและการติดตาม เขาก็ไม่ขัดข้องที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของคนผู้นั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นิกายเพลิงแดงเดือดต้องการทำสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด ทว่าไม่เคยมีโอกาสทำได้สำเร็จเลยสักครา หากว่าฉินอวี้โม่สามารถบรรลุในสิ่งที่เขาไม่เคยบรรลุได้ เขาก็ยินดีที่จะเป็นผู้ติดตามของนาง
“รับทราบ ข้าจะดำเนินตามคำสั่งทุกอย่างของท่านพ่อ”
ฮั่วหลินพยักศีรษะและไม่กล่าวสิ่งใดอีก หากฉินอวี้โม่เป็นคนที่คู่ควรกับการติดตามจริง เขาก็ยินดีติดตามนางด้วยความจริงใจ ถึงอย่างไรแล้วพวกเขาก็มีเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากฉินอวี้โม่สามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายนั้นได้ พวกเขาก็จะพึงพอใจเป็นที่สุด
…….
ณ ห้องหนังสือของนิกายอู่ซาน
“ถงเอ๋อร์ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรือนเฟิงเสวี่ย ?”
อู่หลิวเฟิง—ผู้นำนิกายอู่ซานมีพลังอยู่ในระดับเดียวกับฮั่วชิงซานและทรงพลังอย่างถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นจอมกระบี่ที่มากฝีมือและหาตัวจับยาก หากเขาต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี แม้แต่ฮั่วชิงซานก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของเขา
“ท่านพ่อ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยนั่นเป็นบุคคลที่ยากเกินจะหยั่งถึงและทักษะการหลอมของเขาก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก กระบี่ปีกจักจั่นของเขาทรงพลังกว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์อู่ซานของเรายิ่งนัก”
อู่ถงไม่ปิดบังสิ่งใดและกล่าวถึงฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงที่ประทับใจ
ต้องยอมรับเลยว่าฉินอวี้โม่เป็นคนที่ลึกลับยากเกินหยั่งถึงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพลังความแข็งแกร่งหรือลักษณะเฉพาะตัว อู่ถงก็สัมผัสได้ถึงความล้ำลึกที่ยากจะเข้าถึงได้ เพราะเหตุนั้นเขาจึงชื่นชมฉินอวี้โม่อย่างมาก
“หากได้รับการประเมินเช่นนี้จากเจ้า ข้าก็ชักจะอยากพบผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยด้วยตัวเองเสียแล้ว เขาคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่เจ้าว่าไว้จริง ๆ”
อู่หลิวเฟิงพยักศีรษะเบา ๆ และดูเหมือนจะครุ่นคิดบางอย่างก่อนกล่าวออกมาอีกครั้ง “เขากล่าวไว้ว่าจะพัฒนาปรับปรุงกระบี่ที่เรามอบให้จริง ๆ รึ ?”
“ท่านพ่อ นั่นเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจว่าเขาจะปรับปรุงกระบี่เล่มนั้นได้จริง ๆ และจะทำให้พวกเราคนของนิกายอู่ซานทุกคนต้องทึ่งกับผลลัพธ์อย่างแน่นอน”
อู่ถงกล่าวออกไป หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและความเชื่อมั่นที่มิอาจทราบได้ว่ามาจากที่ใด เขาเพียงรู้สึกว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นจะปรับปรุงพัฒนากระบี่เล่มนั้นได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นแน่
“เข้าใจแล้ว”
อู่หลิวเฟิงพยักศีรษะ
“ท่านพ่อ เราควรทำอย่างไรกันต่อไป ?”
อู่ถงมองบิดาและเอ่ยถามเกี่ยวกับแผนการในลำดับถัดไป
“ฮ่า ๆ ๆ ยังไม่ต้องทำอะไรและรอให้ถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือเถอะ ข้ามีความรู้สึกว่างานชุมนุมครานี้จะต้องคึกคักมากแน่ ๆ”
อู่หลิวเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าแววตาของเขาก็บ่งบอกถึงความคาดหวังเช่นกัน เขาอยากทราบว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยจะสร้างความประหลาดใจอย่างไรขึ้นมา !
………
ณ หุบเขากรุ่นกำยาน ภายในห้องโถงหรูหรา เฝินชวี่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
บนบัลลังก์หลักคือบุรุษวัยกลางคนผู้มีสีหน้าหม่นหมองและใบหน้าดูคล้ายคลึงกับเฝินชวี่มาก กลิ่นอายทรงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาก็ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“บัดซบ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยนั่นไม่เห็นพวกเราหุบเขากรุ่นกำยานอยู่ในสายตาเลยจริง ๆ !”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นขณะแก้วในมือของเขาแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างกะทันหัน
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบิดาของเฝินชวี่และเป็นผู้นำคนปัจจุบันของหุบเขากรุ่นกำยาน—เฝินเมี่ยเทียน
“ท่านพ่อ ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า ! ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยนั่นไม่เพียงแต่ฉกฉวยเอาของของลูกไปเท่านั้น ทว่าเขายังกล่าววาจาหยามเกียรติลูกและหุบเขากรุ่นกำยานของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากมิใช่เพราะเรือนเฟิงเสวี่ยมีคนทรงพลังอยู่หลายคน ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็คงประจันหน้าสู้รบกับผู้นำนั่นสักหนึ่งร้อยยกเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราหุบเขากรุ่นกำยานไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ !”
คำพูดหลอกลวงและบิดเบือนความจริงของเฝินชวี่ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เฝินเมี่ยเทียนมองฉินอวี้โม่เป็นบุคคลที่เลวร้ายไปโดยปริยาย
“ไม่ต้องห่วง ผู้ที่ริอาจหยามเกียรติหุบเขากรุ่นกำยานของเราจะต้องชดใช้เป็นแน่ อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ยังไม่ได้รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเรือนเฟิงเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้น หากเราเริ่มเปิดศึกในตอนนี้ มันจะเป็นการมอบโอกาสให้กับอีกสองขุมกำลังเช่นกัน เพราะฉะนั้น หลังจากนี้เราจะอยู่เฉย ๆ ไปก่อนชั่วคราว เมื่องานชุมนุมดินแดนเหนือมาถึง เราจะทำให้พวกคนชั่วจากเรือนเฟิงเสวี่ยนั่นได้ชดใช้ !”
หลังจากสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง เฝินเมี่ยเทียนก็กล่าวออกไปโดยไม่ปิดบังจิตสังหารอันแรงกล้า
“ขอรับ ท่านพ่อ”
เฝินชวี่รับรู้ถึงความร้ายกาจของบิดาเป็นอย่างดี เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความและพยักศีรษะเห็นด้วยทันที
“ส่งคนไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของเรือนเฟิงเสวี่ยไว้และรายงานกลับมาทันทีที่มีความคืบหน้าใด ๆ อีกอย่าง…ข้าอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำขุมกำลังเฟิงเสวี่ยนั่นเช่นกัน เหตุใดเขาจึงปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้น เราก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเขามาก่อนเลย”
เฝินเมี่ยเทียนเตรียมการต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ในฐานะที่หุบเขากรุ่นกำยานเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ แน่นอนว่าการดำเนินการต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานและดำเนินไปอย่างราบรื่น
“ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจะส่งคนไปจัดการตามนั้น”
เฝินชวี่พยักศีรษะและรับคำสั่งมา ทว่าในหัวใจของเขาก็กำลังตั้งตารอว่าเมื่อถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือ เขาจะคิดบัญชีทั้งหมดและทำให้ฉินอวี้โม่เผชิญกับความอัปยศอดสูยิ่งกว่าที่เขาเคยรู้สึก !
…..
ภายในเรือนเฟิงเสวี่ย แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ทราบถึงแผนการของทั้งสามขุมกำลัง เวลานี้ทุกคนกำลังหารือกันอยู่ภายในห้องโถง
“ท่านผู้นำ ท่านจะไปที่นิกายเพลิงแดงเดือดจริง ๆ หรือ ?”
เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่จะเดินทางไปที่นิกายเพลิงแดงเดือดด้วยตัวเองและไม่คิดที่จะพาผู้ติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว หลายคนในเรือนเฟิงเสวี่ยจึงอดกังวลไม่ได้
“ใช่ ข้าต้องไปที่นิกายเพลิงแดงเดือด เท่าที่ดูจากทัศนคติของฮั่วหลิน เขาก็มีความคิดที่จะร่วมมือกับเราเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนกล่าวต่อ “ตอนนี้ข่าวเรื่องที่ข้าเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์ก็แพร่งพรายออกไปทั่วดินแดนทางเหนือแลัว ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องมีคนมากมายมาที่นี่ด้วยความชื่นชมและขอเข้าร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ยของเราแน่ ศิษย์พี่ ซวงเสวี่ย เหมาซานและทุกคนอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมการเรื่องต่าง ๆ เถอะ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็มีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ ต่อให้ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดคิดจะทำอะไร ข้าก็ไม่หวั่นใจเลยสักนิด พวกท่านไม่ต้องกังวลหรอก”
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าซวงเสวี่ยและทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง อย่างไรก็ตาม ด้วยคฤหาสน์เฟิงหัวโฉมใหม่ของนาง แม้แต่ยอดฝีมืออย่างผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดก็มิอาจมองทะลุถึงการล่องหนของมันได้
ยิ่งไปกว่านั้น คราก่อนที่ได้เห็นทัศนคติของฮั่วหลิน เขาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านิกายเพลิงแดงเดือดของพวกเขาก็ต้องการที่จะผูกมิตรด้วย เพราะฉะนั้นฉินอวี้โม่จึงต้องการไปที่นั่นด้วยตัวเอง
ถึงอย่างไรแล้วการพึ่งพาพลังของเรือนเฟิงเสวี่ยเพียงอย่างเดียวก็ยังยากที่จะรวมดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน
“เอาล่ะ พวกเราเข้าใจแล้ว ท่านผู้นำต้องระวังตัวด้วยล่ะ รีบไปที่นั่นและกลับมาโดยเร็ว”
ซวงเสวี่ย เหมาซานและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันก่อนกล่าว ยิ่งพวกเขาเข้าใจฉินอวี้โม่มากเพียงใด พวกเขาก็ไว้วางใจและเชื่อมั่นในวิธีการของนางมากขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่พยายามห้ามปรามฉินอวี้โม่อีกต่อไป
“นอกเหนือจากนิกายเพลิงแดงเดือด ข้าเชื่อว่าคนจากหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานคงจะไม่อยู่นิ่งแน่ ช่วงนี้คงจะมีคนปลอมตัวเป็นจอมยุทธ์อิสระและเข้าร่วมเรือนเฟิงเสวี่ยของเราเพื่อสืบข่าว เมื่อถึงตอนนั้นพวกท่านก็กระจายข่าวออกไปว่าข้ากำลังเก็บตัวหลอมอุปกรณ์อยู่”
หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “สำหรับตัวตนของข้าและศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้เราฝึกยุทธ์อยู่ในส่วนลึกของทุ่งหิมะทางเหนือและเราเป็นจอมยุทธ์อิสระ ยิ่งไปกว่านั้น เราสามารถเปิดเผยข้อมูลออกไปได้ว่าข้าเป็นผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ย เพียงแต่ไม่เคยออกหน้าเท่านั้น สำหรับเทือกเขาหิมะก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าเพื่อไม่ให้ผู้คนมองพวกเราอย่างทะลุปรุโปร่งได้”
ซวงเสวี่ย เหมาซานและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันพร้อมพยักศีรษะ ต้องยอมรับเลยว่าฉินอวี้โม่คาดการณ์ทุกอย่างไว้ก่อนแล้ว แม้ว่าฉินอวี้โม่มักปล่อยให้ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ จัดการสิ่งต่าง ๆ ทว่าตราบใดที่นางเอ่ยปากออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถละเลยคำพูดของนางได้เลย
“ท่านผู้นำ ไม่ต้องห่วง การที่เรือนเฟิงเสวี่ยของเรามีผู้นำอย่างท่านและมียอดฝีมือนักวางกลยุทธ์อย่างท่านฉินเฟิง เราจะต้องขึ้นเป็นใหญ่ในดินแดนทางเหนือได้อย่างแน่นอน”
ฮั่วอู่ยิ้มและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเทิดทูน
นางทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรี ทว่านางก็ไม่ได้ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อฉินอวี้โม่เลย นางมีความคิดอยู่ในใจว่าหากฉินอวี้โม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงต่อทุกคน ผู้นำคนใหม่ผู้นี้จะทำให้บุรุษทั้งใต้หล้าตกหลุมรักตั้งแต่แวบแรกที่เห็นได้อย่างแน่นอน และชื่อเสียงเกียรติยศของเรือนเฟิงเสวี่ยก็จะรุ่งเรืองยิ่งกว่าก่อน อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและมีเหตุผลของตนเองอยู่ ในฐานะผู้ติดตาม นางและคนอื่น ๆ ก็เพียงแค่ต้องสนับสนุนนางเท่านั้น แค่นั้นก็เพียงพอ
เมื่อเห็นถึงความสามัคคีปรองดองของทุกคน ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็มองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะสืบหาข่าวคราวของมิตรสหายคนอื่น ๆ พวกนางต้องสร้างขุมกำลังที่แกร่งกล้าพอที่จะต่อกรกับขุมกำลังที่แข็งแกร่งของดินแดนให้ได้เสียก่อน !
.