ตอนที่ 485 เหตุการณ์ในโรงเตี๊ยม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังออกจากเรือนเฟิงเสวี่ย ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าตรงไปยังนิกายเพลิงแดงเดือด

เรือนเฟิงเสวี่ยอยู่ไม่ไกลจากที่ตั้งของนิกายเพลิงแดงเดือดมากนัก จากแผนที่เส้นทางที่ได้รับจากซวงเสวี่ย นางใช้เวลาเจ็ดวันในการเดินทางก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นมาภายในเขตอิทธิพลของนิกายเพลิงแดงเดือด

ฉินอวี้โม่มิได้มุ่งหน้าตรงไปที่นิกายเพลิงแดงเดือดโดยตรงทว่าไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดของนิกาย—เมืองเหยียนเฉิง

ซวงเสวี่ยไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับนิกายเพลิงแดงเดือดมากนัก ฉะนั้นนางจึงต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของนิกายนี้ รวมถึงลักษณะนิสัยและตัวตนของผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเสียก่อน

หลังจากเข้ามาในบริเวณของเมืองเหยียนเฉิง นางก็ถามหาเส้นทางและตรงไปยังภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซึ่งมีชื่อว่าหอกระเรียนอำพัน

ภายในเมืองเหยียนเฉิงมีผู้คนไม่พลุกพล่านนักและมันเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ในดินแดนทางเหนือ อย่างไรก็ตาม หอกระเรียนอำพันเต็มไปด้วยผู้คนและคึกคักอย่างยิ่ง เก้าอี้เกือบทุกตัวข้างในภัตตาคารมีเจ้าของจับจองอยู่แล้วโดยคนส่วนใหญ่นั่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มและสนทนาพาทีกันอย่างออกรส

เมื่อเห็นว่าไม่มีที่นั่งว่าง ฉินอวี้โม่ก็เริ่มรู้สึกจนปัญญา ทว่าเมื่อกวาดสายตามองไปทั่ว นางก็พบว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในโต๊ะข้างหน้าต่างติดกับทางถนน และโต๊ะที่เขานั่งอยู่นั้นกว้างพอที่จะรองรับคนกลุ่มหนึ่งได้

“พี่ชาย ไม่ทราบว่าข้าขอนั่งร่วมกับท่านจะได้รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปใกล้และเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสุภาพ

“เชิญตามสบาย”

บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินอวี้โม่เพียงแวบเดียวก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ และมิได้สนใจนางอีก สายตาของเขาเลื่อนมองกลับไปยังทิวทัศน์บนถนนหนทาง

ฉินอวี้โม่ยิ้มรับและไม่คิดอะไรมากนัก จากนั้นนางก็เรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามาเพื่อสั่งอาหารและค่อย ๆ ฟังบทสนทนาของผู้คนโดยรอบอย่างแนบเนียน

“เจ้าได้ยินเรื่องขุมกำลังใหม่ที่ชื่อว่าเรือนเฟิงเสวี่ยที่เพิ่งปรากฏในดินแดนทางเหนือเมื่อไม่นานมานี้รึไม่ ? กล่าวกันว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว และพวกเขายังถึงขั้นคุกคามอำนาจของทั้งสามขุมกำลังใหญ่อีกด้วย”

ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาและหัวข้อที่เขากล่าวถึงก็คือเรือนเฟิงเสวี่ยนั่นเอง

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะไม่ได้ยินเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน กล่าวกันว่าคนจากเรือนเฟิงเสวี่ยประจันหน้ากับนายน้อยหุบเขากรุ่นกำยานที่ทุ่งหิมะทางเหนือก่อนหน้านี้และฉกชิงหยกขาวพันปีไปจากเขา เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ ทั้งสามขุมกำลังก็ร่วมมือกันและส่งคนไปที่เรือนเฟิงเสวี่ย ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับอำนาจบารมีของผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยและแบกหน้ากลับพร้อมความล้มเหลว”

อีกคนกล่าวต่อโดยกล่าวถึงข่าวที่เขาได้ยินมา

“อย่างนั้นรึ ? กล่าวกันว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นปรมาจารย์ช่างหลอมที่มีเพลิงจักรพรรดิ และพลังของเขาก็น่าอัศจรรย์มาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนเถรตรงและเที่ยงธรรม หลังจากเขายึดอำนาจของเทือกเขาหิมะได้ คนของเทือกเขาหิมะก็ยอมจำนนต่อเขาอย่างเต็มใจ ตอนนี้ในดินแดนทางเหนือ ชื่อเสียงของเรือนเฟิงเสวี่ยถือว่าดีมากทีเดียว ข้าเองก็กำลังตัดสินใจว่าจะไปร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ยหรือไม่”

อีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมต่อเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างไม่ปิดบัง ด้วยการที่มีช่างหลอมระดับปรมาจารย์ ศักยภาพของเรือนเฟิงเสวี่ยนั้นมิอาจมองข้ามได้อย่างแน่นอน อีกไม่นานเรือนเฟิงเสวี่ยคงจะรุ่งเรืองและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลังจากนี้สามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนืออาจจะเปลี่ยนกลายเป็นสี่ขุมกำลังใหญ่

“ฮ่า ๆ ๆ ถือว่าเรือนเฟิงเสวี่ยมีอนาคตทีเดียว ข้าสงสัยยิ่งนักว่าผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นใครมาจากที่ใด”

จู่ ๆ บุรุษผู้ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับฉินอวี้โม่และนิ่งเงียบมาตลอดก็กล่าวขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความสงสัยใคร่รู้ต่อความเป็นมาเป็นไปของเรือนเฟิงเสวี่ยมาก

ทว่าฉินอวี้โม่ก็เพียงยิ้มบาง ๆ และมิได้เอ่ยสิ่งใด

“ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดของเราเป็นคนเที่ยงธรรมและนายน้อยของเราก็เป็นบุรุษที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก แม้ว่าเรือนเฟิงเสวี่ยจะกำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ผู้นำนิกายของเราก็จะไม่จงใจสร้างปัญหาหรือความวุ่นวายให้กับเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นแน่ สิ่งที่พวกเจ้ากล่าวออกมานี้ มันชักจะมากเกินไปแล้ว”

ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็ยืนขึ้นด้วยความฉุนเฉียวและคำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่ได้ในทันที

เมื่อมองออกไป นางก็มองเห็นชายร่างกำยำคนหนึ่งกำลังจ้องหน้ากลุ่มคนหลายคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก

“ฮ่า ๆ ๆ ตลกชะมัด หากไม่ต้องการกำราบเรือนเฟิงเสวี่ยให้อยู่หมัด เหตุใดจึงต้องส่งนายน้อยไปที่นั่นด้วย ?”

หลายคนตรงหน้าเขาก็ไม่ได้มีท่าทีหวั่นเกรงแม้แต่น้อยขณะกล่าวตอบโต้เบา ๆ และน้ำเสียงเจือด้วยความเยาะเย้ยถากถาง

“นายน้อยของเราไปที่เรือนเฟิงเสวี่ยเพื่อแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยและได้นำไข่มุกราตรีอายุนับร้อยปีของนิกายเพลิงแดงเดือดไปมอบให้เป็นของกำนัล หากกล่าวว่าต้องการหาเรื่องสร้างปัญหาความวุ่นวายให้กับเรือนเฟิงเสวี่ย นายน้อยจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร !?”

ชายร่างกำยำกล่าวต่อ แววตาของเขาในตอนนี้มองหลายคนตรงหน้าอย่างเกรี้ยวโกรธมากขึ้น

ผู้นำและนายน้อยของนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติอย่างมากภายในเขตอำนาจของนิกายเพลิงแดงเดือด แน่นอนว่าผู้คนในนิกายย่อมเคารพต่อพวกเขาอย่างที่สุด ทว่าตอนนี้มีใครบางคนกล่าวถึงพวกเขาในทางที่ไม่ดีส่งผลให้ผู้ที่ภักดีต่อนิกายทนฟังไม่ได้

บรรดาผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะกันตอนนี้ล้วนเป็นสหายที่ดีต่อกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงสนทนากันถึงเรื่องทั่วไปและบรรยากาศไม่ตึงเครียดอย่างในตอนนี้ ทว่าเป็นเพราะวาจาของคนหนึ่งที่กล่าวหาว่านิกายเพลิงแดงเดือดร่วมมือกับอีกสองขุมกำลังเพื่อกำราบเรือนเฟิงเสวี่ยให้อยู่หมัด บุรุษผู้ภักดีต่อนิกายเพลิงแดงเดือดจึงไม่พอใจอย่างที่สุด เขาไม่ลังเลที่จะกล่าวความคิดของตนออกไปและตอบโต้กับคนผู้นั้น

“ฮ่า ๆ ๆ ใครจะไปรู้ว่าการแสดงความยินดีที่ว่านั่นเป็นความจริงรึไม่ ทั้งสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือต่างก็ไม่น่าชื่นชมนัก ข้าหวังว่าเรือนเฟิงเสวี่ยจะเติบโตอย่างมั่นคงจนแกร่งกล้าและประจันหน้ากับสามขุมกำลังได้อย่างเท่าเทียม ยิ่งไปกว่านั้น มันจะเป็นการดีที่สุดหากว่าพวกเขากวาดล้างทั้งสามขุมกำลังใหญ่ไปได้และรวมดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน !”

อีกคนกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะยั่วยุ แม้ว่าชื่อเสียงของนิกายเพลิงแดงเดือดนั้นไม่ได้เลวร้าย ทว่าก็มีหลายคนที่ไม่ยอมรับพวกเขา ภายนอกนั้นสามขุมกำลังใหญ่อาจจะดูเหมือนปกติทั่วไปทว่าไม่มีขุมกำลังใดที่สมบูรณ์แบบ ทั้งสามขุมกำลังนี้ต่างก็ไม่ต้องการที่จะผนึกดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกันและพวกเขาต่างก็เผด็จการกันอย่างมาก โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือขุมกำลังเล็ก ๆ ของพวกเขาเหล่านี้

“เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”

ชายร่างกำยำจากนิกายเพลิงแดงเดือดมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีและมีดเล่มใหญ่ปรากฏในมือของเขาก่อนพุ่งตรงไปประจันหน้ากับอีกฝ่ายในทันที

“ใครกันที่จะกลัวเจ้า !?”

บุรุษคนหนึ่งกล่าวตอบโต้อย่างไม่หวาดหวั่น ร่างของเขาพุ่งตรงเข้าไปปะทะกับชายร่างกำยำอย่างซึ่ง ๆ หน้า

“ท่านลูกค้าผู้มีเกียรติทั้งสอง โปรดใจเย็นก่อนเถิด หากภัตตาคารเล็ก ๆ ของเราถูกทำลายไปเพราะการต่อสู้ของท่านทั้งสอง พวกเราจะทำธุรกิจต่อไปอย่างไร !”

สีหน้าของเถ้าแก่ภัตตาคารถอดสีและเหยเกทันทีเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แม้เขาทราบว่าคนทั้งสองไม่ธรรมดา ทว่าเพื่อผลประโยชน์ของภัตตาคาร เขาก็ต้องกัดฟันสู้เสือและกล่าวออกไป

ราวกับคนทั้งสองไม่ได้ยินคำพูดของเถ้าแก่แม้แต่น้อยและพวกเขาคว่ำโต๊ะหลายตัวที่กีดขวางอยู่รอบ ๆ อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าแขกหลายคนที่นั่งอยู่หลบเลี่ยงออกไปก่อน บรรยากาศรื่นรมย์ของพวกเขาก็ถูกทำลายโดยคนเหล่านี้และสีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีนัก

“หยุดเดี๋ยวนี้ !”

เสียงตะโกนกร้าวอย่างเคร่งขรึมดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้ก็ผละออกจากกันเมื่อเผชิญกับแรงกดดันแรงกล้า

เดิมทีฉินอวี้โม่ก็รับชมการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น ทว่าเมื่อเห็นบุรุษที่นั่งถัดจากตนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางก็ประหลาดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่แผ่มาจากร่างของเขา

ร่างของคนผู้นั้นพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็วและปรากฏตัวขวางระหว่างคนทั้งสอง สีหน้าของเขาเรียบเฉยและมิอาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“ท่านจอมยุทธ์ นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน หวังว่าท่านจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว !”

ชายร่างกำยำตวัดสายตามองบุรุษผู้นั้นด้วยความฉุนเฉียวและกล่าวออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม แม้ว่ากลิ่นอายและแรงกดดันจากชายผู้นั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก เขาก็ไม่หวาดหวั่นต่อผู้ใด

“ถูกต้อง ท่านจอมยุทธ์ โปรดรับชมการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นนี้จากด้านข้างเถอะ หากเราเผลอพลั้งทำร้ายท่านไป เราคงจะรู้สึกผิดกันไปเปล่า ๆ !”

อีกคนกล่าวเช่นกัน น้ำเสียงของเขาสุภาพอย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเจ้าจะรู้สึกผิดกับการที่ทำให้ข้าบาดเจ็บโดยบังเอิญ แล้วการทำลายบรรยากาศรื่นเริงของทั้งภัตตาคารและเกือบพังสถานที่ทำมาหากินของคนอื่นเช่นนี้ พวกเจ้ากลับไม่รู้สึกผิดเลยรึ !?”

บุรุษคนนั้นกล่าว แม้ว่าน้ำเสียงของเขาเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงความรู้สึก แรงกดดันอันแรงกล้าก็ยังแผ่มาจากเขาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้น ชายร่างกำยำและคู่ต่อสู้ของเขาก็มองหน้ากันและแสดงสีหน้าละอายใจทันที พวกเขาเพียงวู่วามเกินไป และเป็นเพราะความใจร้อนนั้นที่ทำให้เป็นการรบกวนมื้ออาหารของทุกคนและเกือบทำลายทั้งภัตตาคารแห่งนี้

“ต้องขออภัยทุกท่านด้วย พวกเราวู่วามเกินไปจริง ๆ”

ชายกำยำกวาดสายตามองทุกคนในภัตตาคารและกล่าวด้วยสีหน้าแววตาขอโทษขอโพย จากนั้นเขาก็หยิบแก่นมายาหลายชิ้นออกจากแหวนมิติและยื่นให้กับเถ้าแก่

“เถ้าแก่ ข้าไม่ได้มีเงินทองมากนัก ท่านรับแก่นมายาพวกนี้ไปเถอะ ถือว่าเป็นค่าชดเชยที่ข้าทำให้ภัตตาคารของท่านเกิดความเสียหายก็แล้วกัน”

เขากล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม ความโกรธเกรี้ยวและจิตวิญญาณนักสู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิง

“โอ้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย”

เถ้าแก่ภัตตาคารมองดูแก่นมายาระดับสูงหลายชิ้นและรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าทันที สีหน้าของเขาไม่มีความเศร้าใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

“ทุกคน เป็นความผิดของพวกเราเองที่รบกวนการดื่มชาของทุกท่าน พวกเราต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”

อีกคนกล่าวขึ้นเช่นกัน น้ำเสียงของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความละอายใจ

เมื่อเห็นทัศนคติของคนทั้งสอง ฝูงชนที่โมโหไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ สงบลงทันที

“เชิญทุกท่านดื่มชาต่อไปเถิด วันนี้เครื่องดื่มและอาหารฟรีทั้งหมด!”

เถ้าแก่ยิ้มพร้อมสั่งให้เสี่ยวเอ้อเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างรวดเร็วในขณะที่เขากล่าวกับทุกคนอย่างกระตือรือร้น

บุรุษลึกลับผู้ที่ระงับเหตุการณ์การปะทะของทั้งสองคนเมื่อครู่ก็กลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะเดียวกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง ในขณะที่ชายกำยำและคู่ต่อสู้ของเขาก็นั่งลงด้วยกันพร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราทำให้ท่านได้รับชมเรื่องที่น่าอายเสียแล้ว”

ชายร่างกำยำกล่าวพร้อมรอยยิ้มติดตลก “ข้าทนฟังคนอื่นกล่าวให้ร้ายท่านผู้นำนิกายไม่ได้จริง ๆ ข้าจึงพลั้งลงมือไป แท้ที่จริงแล้วเราทั้งสองเป็นมิตรที่สนิทสนมกันมาก”

“ข้าเพียงกล่าวในสิ่งที่ต้องการและสิ่งที่ได้ยินมา แท้จริงแล้วข้าไม่มีเจตนาไม่ดีต่อผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเลยสักนิด”

บุรุษอีกคนยิ้มบาง ๆ ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่เหมือนสหายคนสนิทและดูเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ สำหรับเรื่องบางเรื่อง พวกท่านจะฟังเพียงข่าวลือและดูแค่ภายนอกไม่ได้ สำหรับความจริงที่ว่าผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นอย่างไรนั้น เมื่อพวกท่านได้พบและพูดคุยกับเขา พวกท่านก็จะทราบได้เอง ส่วนจุดประสงค์ที่ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดส่งคนไปที่เรือนเฟิงเสวี่ยก่อนหน้านี้ก็มีเพียงแค่กลุ่มคนที่เดินทางไปเท่านั้นที่รู้ความจริง ท่านทั้งสองมีปากเสียงกันเพราะเรื่องนี้มีแต่จะทำให้คนหัวเราะกันเปล่า ๆ”

ฉินอวี้โม่อดกล่าวออกไปไม่ได้ การที่ลูกน้องของเขาปกป้องชื่อเสียงผู้เป็นนายสุดชีวิตเช่นนี้ ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดจะต้องไม่ธรรมดาแน่ อย่างน้อยที่สุดเขาก็น่าจะเป็นผู้นำที่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเป็นอย่างดี

ยิ่งไปกว่านั้น นางได้ยินมาก่อนแล้วว่าผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นคนดีและมีบุคลิกนิสัยที่ดี นางจึงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนแท้จริงของเขายิ่งนัก

เพียงแต่ในตอนนี้ ผู้ที่นางสงสัยใคร่รู้และสนใจมากที่สุดมิใช่ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด หากแต่เป็นบุรุษเงียบขรึมที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับนางนี่เอง เขาช่างลึกลับและยากเกินกว่าจะเข้าใจ

.