หลายคนเพลิดเพลินกับบรรยากาศต่อไปและสองคนที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นมิตรสหายกันดังเดิมขณะสนทนากันอย่างออกรส
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวกับบุรุษลึกลับตรงหน้า “เกรงว่าอย่างน้อยท่านจอมยุทธ์คงจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดใช่รึไม่ ?”
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ บุรุษผู้นั้นก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว “ฮ่า ๆ ๆ สายตาของท่านเฉียบคมทีเดียว ข้าบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดมาสักพักหนึ่งแล้ว ที่ข้าออกไปขัดขวางการต่อสู้เมื่อครู่ก็เพราะไม่อยากให้ใครมารบกวนบรรยากาศการจิบชาของข้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่ายและนางไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
“ดูเหมือนว่าท่านก็ไม่ได้อ่อนแอเลยเช่นกัน”
เขามองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าบรรลุเพียงแค่ขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้นและยังห่างชั้นจากท่านจอมยุทธ์อีกมาก”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังระดับพลังที่แท้จริงของตน
เมื่อเขาได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ บุรุษลึกลับก็ชะงักค้างไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดเลยว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าจะอ่อนแอถึงเพียงนี้
“ก็ถือว่ามีพรสวรรค์ทีเดียว ท่านจอมยุทธ์ยังมีอายุที่น้อยนัก ทว่าบรรลุขอบเขตเซียนขั้นเก้าได้แล้ว หากให้เวลาท่านต่อไป ท่านจะต้องกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนได้อย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มรับโดยไม่กล่าวต่อ นางมั่นใจว่าในไม่ช้า ตนเองจะกลายเป็นยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของทั่วใต้หล้าได้อย่างแน่นอน
ทั้งสองก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันมากนักก่อนที่บุรุษคนนั้นจะเหยียดกายลุกขึ้นและกล่าวอำลาก่อนเดินจากไป
นับตั้งแต่ต้นจนแยกกัน ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ทราบถึงชื่อเสียงเรียงนามของคนผู้นั้นด้วยซ้ำ แม้ว่านางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของเขามาก แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ นางเชื่อว่าอีกไม่นานนางจะได้พบกับเขาอีกครา
หลังจากนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศในภัตตาคารต่อไปเป็นพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นและออกจากภัตตาคารเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายปลายทางในครานี้—นิกายเพลิงแดงเดือด
นางขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวและไม่ออกมาอีกเลยจนกระทั่งอยู่ในอาณาบริเวณของนิกายเพลิงแดงเดือด
ตำแหน่งที่ตั้งของนิกายเพลิงแดงเดือดคือคฤหาสน์กว้างใหญ่บริเวณชานเมือง มันไม่เพียงแต่คึกคักและมีชีวิตชีวาเท่านั้น ทว่าสภาพแวดล้อมก็ดีมากเช่นกัน
หลังจากฉินอวี้โม่เข้าไป นางก็ทำการคาดเดาตำแหน่งของผู้นำนิกายอย่างคร่าว ๆ และมุ่งหน้าตรงไปทันที
และเมื่อมาถึงห้องโถงหลักของนิกายเพลิงแดงเดือด ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังพูดคุยหารือบางอย่างกับบุรุษหนุ่มอีกคน
บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นนายน้อยแห่งนิกายเพลิงแดงเดือด—ฮั่วหลิน—ผู้ที่เดินทางไปพบกับฉินอวี้โม่ในเรือนเฟิงเสวี่ยก่อนหน้านี้
สำหรับบุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลัก แน่นอนว่าเขาคือผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด—ฮั่วชิงซาน
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและก้าวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวพร้อมกับมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ในตอนแรกฮั่วชิงซานและฮั่วหลินกำลังสนทนากันถึงเรื่องบางอย่าง เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายประหลาดที่ปรากฏในห้องโถงอย่างกะทันหัน ทั้งสองก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานาน ครานี้ข้ารีบร้อนเดินทางมาโดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า หวังว่าท่านจะไม่ว่าอะไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงสบายและเรียบง่าย
“ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ที่แท้ก็เป็นท่านนี่เอง !”
เนื่องจากเคยพบกันมาก่อนแล้ว ฮั่วหลินจึงจำฉินอวี้โม่ได้ในทันที เขายิ้มอ่อนและเอ่ยทักทายนางอย่างไม่ลังเล
“ฮ่าๆๆ นายน้อยฮั่วหลิน ได้พบกันอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวทักทายฮั่วหลิน
ในตอนที่เห็นคนแปลกหน้าปรากฏตัวในห้องโถง ฮั่วชิงซานก็กำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง ทว่าเมื่อได้ยินคำทักทายของบุตรชาย เขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดทันที
เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว “ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าจะขัดข้องได้อย่างไร เชิญท่านตามสบายเถอะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านผู้นำนิกายกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ? ครานี้ข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญและเข้ามารบกวนท่านอย่างกะทันหัน หวังว่าท่านผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดจะไม่ว่าอะไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และมองฮั่วชิงซานตรง ๆ เป็นครั้งแรก นางรู้สึกถูกชะตากับเขาไม่น้อยเลย
ต้องกล่าวเลยว่าฮั่วชิงซานเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง เพียงฟังวาจาและดูจากท่าทางของเขา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกชื่นชมเขามาก
“เชิญนั่งก่อนเถอะ”
ฮั่วชิงซานยิ้มให้ฉินอวี้โม่และผายมือเชิญให้นั่งลงก่อน
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและหาที่นั่งลงทันที
ฮั่วชิงซานก็ยิ้มให้กับแขกผู้มาเยือนขณะรินน้ำชาและยื่นให้กับนาง
“ไม่ทราบว่าท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยมาถึงที่นี่มีเรื่องอะไรงั้นรึ ?”
ฮั่วชิงซานไม่เสียเวลาและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกมาทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อท่านผู้นำนิกายเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม ข้ามาที่นี่ครานี้ก็เพื่อหารือกับท่านผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเกี่ยวกับการร่วมมือกันระหว่างเรา”
ฉินอวี้โม่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไปตามตรง
“โอ้ ? การร่วมมือกันงั้นรึ ! ไม่ทราบว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยหมายความว่าอะไรรึ ?”
ฮั่วชิงซานไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวออกมา ทว่าเขาก็ยังเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เขามอง ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าและรอคำตอบอย่างตั้งใจ
“ข้าเชื่อว่าในเมื่อนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ การที่ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดจะไม่มีความคิดที่จะรวมดินแดนทางเหนือเป็นปึกแผ่นเดียวกันและพัฒนาความแข็งแกร่งให้มากขึ้น มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอย่างช้า ๆ “ตอนนี้ความแข็งแกร่งของหุบเขากรุ่นกำยานทรงพลังที่สุด ตามด้วยนิกายอู่ซานและนิกายเพลิงแดงเดือดก็อ่อนแอกว่าเล็กน้อย ส่วนเรือนเฟิงเสวี่ยของข้าเพิ่งก่อตั้งได้เพียงไม่นานและเรามีแนวคิดที่จะทำให้ขั้วอำนาจของดินแดนทางเหนือดำเนินไปในทิศทางใหม่ หากเราทั้งสองขุมกำลังร่วมมือกัน เราจะจัดการกับหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เราจะได้ผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือทั้งหมดเพื่อที่เราจะได้มีพลังความแข็งแกร่งพอจะต่อกรกับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาอย่างอารามโชติช่วงได้ ข้าเชื่อว่านี่คือภาพอนาคตที่ท่านผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดอยากเห็น เพราะฉะนั้นข้าจึงมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญเพื่อหารือเรื่องนี้กับท่านโดยตรง”
ก่อนหน้านี้ฮั่วชิงซานคิดว่าฉินอวี้โม่คงจะไม่ตรงไปตรงมามากนัก ทว่าไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกล่าวความคิดของตนเองออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เมื่อฟังคำพูดเหล่านั้น เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสี่ยช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่หลินเอ๋อร์ผู้ไม่เคยสนใจผู้ใดถึงได้แสดงความชื่นชมต่อท่านอย่างออกนอกหน้า”
เขาชำเลืองมองฮั่วหลินชั่วขณะและกล่าวต่อ “ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยพูดถูกแล้ว พวกเราเป็นสามขุมกำลังใหญ่ของดินแดนทางเหนือมานานเหลือเกิน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเราคงถูกรุกรานโดยขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนในสักวัน เมื่อถึงตอนนั้น เราคงทำได้เพียงตกอยู่ใต้อำนาจของผู้อื่นเท่านั้น นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “แม้ว่าดินแดนทางเหนือของเราจะเล็กกว่าภูมิภาคกลางมากนัก ทว่าพวกเราก็มีทรัพยากรอยู่มากมายและมีพลังที่ไม่ได้ถือว่าอ่อนแอเลย หากเรารวมกำลังกันจริง ๆ อย่าว่าแต่ขุมกำลังจากภูมิภาคกลางเลย แม้แต่ขุมกำลังเลื่องชื่อในดินแดนเทพมายาก็มีโอกาสสูงที่เราจะต่อกรได้ เพราะฉะนั้น การรวมดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกันเป็นสิ่งที่เราต้องการทำมาโดยตลอด…”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกัน พลังอำนาจของหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานก็เหนือกว่าพวกเรา ต่อให้เรามีความคิดเช่นนั้น การลงมือทำจริง ๆ ก็มิใช่เรื่องง่ายเลย เพราะฉะนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานิกายเพลิงแดงเดือดของเราจึงเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใดเพื่อจดจ่อกับการพัฒนาขุมกำลังและพลังของเราเองโดยหวังว่าจะยึดอำนาจดินแดนทางเหนือได้ในสักวัน ตอนนี้ในเมื่อท่านกล่าวออกมา หากจะบอกว่าเราไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องจริง อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซาน”
ฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายของฮั่วชิงซานดี เขากล่าวอย่างชัดเจนว่านิกายเพลิงแดงเดือดมีความคิดเช่นนั้นอยู่จริง เพียงแต่พลังในปัจจุบันของพวกเขายังอ่อนแอเกินไป นอกจากนี้ ทั้งหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานก็ทรงพลังมาก นิกายเพลิงแดงเดือดจึงไม่เคยได้ลงมือเคลื่อนไหวมาก่อน
การที่ต้องการให้นิกายเพลิงแดงเดือดร่วมมือกับเรือนเฟิงเสวี่ยไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินไป ตราบใดที่ฮั่วชิงซานสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเรือนเฟิงเสวี่ยและมองเห็นอนาคตของมันนั้น เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเข้าใจความหมายของท่านผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดเป็นอย่างดี พวกเราเรือนเฟิงเสวี่ยอาจจะยังไม่ได้ทรงพลังมากนัก เพียงแต่…”
ทันใดนั้น พร้อมกับรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้า มารยาและอสูรอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่ทันที
“หากเรือนเฟิงเสวี่ยของเรามีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ หากเรือนเฟิงเสวี่ยของเรามีกองทัพของอสูรมายาที่ทรงพลัง ไม่ทราบว่าพวกเราจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมมือกับนิกายเพลิงแดงเดือดรึไม่”
ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินตะลึงงันเมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอสูรทรงพลังจำนวนมาก
พวกเขาเคยคิดว่าเรือนเฟิงเสวี่ยมีเพียงช่างหลอมที่ทรงพลังหนึ่งคนเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าขุมกำลังใหม่นี้จะมีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะอยู่ด้วย
หากมีกองทัพอสูรมายาที่ทรงพลังเช่นนี้ หุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานก็จะต้องหวาดหวั่นอย่างแน่นอน และพวกเขาเหล่านั้นจะไม่กล้าทำสิ่งใดเป็นภัยต่อเรือนเฟิงเสวี่ยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ในงานชุมนุมดินแดนเหนือในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หากเผชิญหน้ากับขุมกำลังที่ทรงพลังเช่นนี้ ทั้งสองขุมกำลังก็คงไม่กล้าสร้างปัญหามากนัก
“สาเหตุที่ข้าขอความร่วมมือจากนิกายเพลิงแดงเดือดมิใช่เป็นเพราะเรามีแค่ตัวเลือกเดียวเท่านั้น ทว่าเป็นเพราะข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของท่านผู้นำนิกายมาก่อน ข้าหวังว่าเราจะได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนที่ขุมกำลังเหล่านั้นของดินแดนมีต่อกันและขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าสร้างปัญหาความบาดหมางให้กับเรา นิกายเพลิงแดงเดือดและท่านผู้นำนิกายเป็นที่ชื่นชมสรรเสริญจากผู้คนในดินแดนทางเหนือ คนเหล่านั้นกล่าวกันว่าท่านเป็นคนที่เถรตรงมากที่สุด เพราะเหตุนั้นข้าจึงเสนอเรื่องการร่วมมือกันต่อท่านผู้นำนิกาย มิฉะนั้นข้าก็สามารถเดินทางไปยังหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานได้ ในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะและช่างหลอมระดับปรมาจารย์ ข้าเชื่อว่าพวกเขาต้องอยากร่วมมือกับเราอย่างแน่นอน !”
ฉินอวี้โม่กล่าวทิ้งท้ายและไม่ปิดบังสิ่งใดแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะชื่อเสียงที่ดีของนิกายเพลิงแดงเดือด นางก็คงไม่เดินทางมาที่นี่เพื่อเชิญชวนให้ร่วมมือกัน ความแข็งแกร่งของอีกสองขุมกำลังเหนือกว่านิกายเพลิงแดงเดือดมากนัก หากนางร่วมมือกับพวกเขาเหล่านั้น โอกาสในการประสบความสำเร็จของนางก็จะสูงกว่านี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มักชอบและชื่นชมผู้ที่จงรักภักดีมากที่สุด นางเชื่อมั่นและไว้วางใจในลักษณะนิสัยของผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดและฮั่วหลิน เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะเลือกเข้าหาพวกเขาก่อน
ฮั่วชิงซานและบุตรชายมองหน้ากัน เมื่อฟังวาจาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็เหมือนจะได้ยินถึงเสียงของความมีอำนาจและเสียงของความหวัง
พวกเขาหวังว่าดินแดนทางเหนือจะผนึกกำลังร่วมกันได้และหวังว่าดินแดนทางเหนือของพวกเขาจะมีขุมกำลังที่สามารถประชันฝีมือกับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาได้อย่างไม่เสียเปรียบ สำหรับพรสวรรค์หรือความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ พวกเขาทั้งสองต่างก็ชื่นชมอย่างยิ่ง
ไม่เพียงแต่นางมีพลังที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น ทว่ายังเป็นถึงปรมาจารย์ช่างหลอมและผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ หากตัวตนของคนผู้นี้แพร่งพรายออกไป แม้แต่ขุมกำลังอันดับต้น ๆ อย่างอารามโชติช่วงก็คงสนใจในตัวนางเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวในดินแดนทางเหนือและหวังว่าจะทำให้ดินแดนทางเหนือแห่งนี้แกร่งกล้ามากขึ้น ทัศนคติเช่นนี้ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นและไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธ
“เอาล่ะ เราให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับเรือนเฟิงเสวี่ยและจะดำเนินการทุกอย่างตามคำสั่งของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย!”
ฮั่วชิงซานพยักศีรษะอย่างหนักแน่นและตกปากรับคำไปโดยตรง
.