ตอนที่ 487 งานชุมนุมเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนทางเหนือ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่ตะลึงเล็กน้อยเมื่อฮั่วชิงซานตอบตกลงอย่างแน่วแน่และหน้าระรื่นเช่นนี้

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อโน้มน้าวใจฮั่วชิงซานและนิกายเพลิงแดงเดือด

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย เราเชื่อมั่นในตัวท่าน ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและเรือนเฟิงเสวี่ยของท่านก็มีจอมยุทธ์มากฝีมือหลายคน หากเป็นอย่างที่ท่านกล่าวจริง เราก็ยินดีร่วมมือกับเรือนเฟิงเสวี่ยเพื่อผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือและตั้งกองกำลังที่สามารถประจันหน้ากับขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาได้”

ฮั่วชิงซานตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เขายังคงสงสัยว่าแท้จริงแล้วผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นคนอย่างไร บัดนี้เมื่อเห็นความมั่นใจและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ เขาจึงไม่มีความคลางแคลงใจอีกต่อไป

เขาไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ภายใต้การปกครองของฉินอวี้โม่ ในไม่ช้าเรือนเฟิงเสวี่ยจะเหนือชั้นกว่าหลายขุมกำลังของพวกเขาและกลายเป็นขุมอำนาจที่แกร่งกล้าของดินแดนได้อย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย คราก่อนที่ข้าเดินทางไปที่เรือนเฟิงเสวี่ย ข้าเพียงต้องการทดสอบและหยั่งเชิงพวกท่านเท่านั้น นิกายเพลิงแดงเดือดของเรามีแนวคิดที่จะรวมดินแดนทางเหนือเป็นปึกแผ่นเดียวกันมาโดยตลอด ทว่าพวกเราก็ยังอ่อนแอเกินไป หากมีเรือนเฟิงเสวี่ยของท่านร่วมด้วย เราจะได้เติมเต็มความปรารถนาที่เฝ้ารอมานานแสนนานเสียที ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่เราสามารถรวมดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้สำเร็จ เราก็ยินดียอมจำนนต่อท่านและเคารพท่านเป็นผู้นำของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใด ข้าก็จะไม่มีข้อกังขาแม้แต่น้อย !”

ฮั่วหลินยิ้มอย่างเป็นมิตร ความประทับใจที่เขามีต่อฉินอวี้โม่ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หากมียอดฝีมือมากความสามารถเช่นนี้เป็นผู้นำ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายแต่อย่างใด

“ฮ่า ๆ ๆ เรือนเฟิงเสวี่ยของเราจะร่วมมือกับนิกายเพลิงแดงเดือดเพื่อทำให้ทั้งดินแดนทางเหนือผนึกกำลังรวมกันเป็นหนึ่งอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน เราจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของดินแดนทางเหนือเพื่อที่ดินแดนแห่งนี้ของเราจะได้ทัดเทียมกับขุมกำลังแกร่งกล้าของภูมิภาคกลางด้วย เชื่อข้าเถอะว่าตราบใดที่มีเรือนเฟิงเสวี่ยอยู่ ดินแดนทางเหนือจะไม่มีวันล่มสลาย !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ดูเหมือนว่าข่าวที่นางได้รับมาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดผู้นี้คู่ควรแก่ความร่วมมือและมิตรภาพอย่างแท้จริง

ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินมองหน้ากันพลางยิ้มออกมา สายตาของทั้งสองเลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และยิ้มให้กับนาง “ผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ข้าขอถือวิสาสะถามก็แล้วกัน…ไม่ทราบว่าเรือนเฟิงเสวี่ยมีแผนการอย่างไรต่อไปรึ ?”

ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด “ฮ่า ๆ ๆ อีกไม่นานก็จะถึงงานชุมนุมดินแดนเหนือแล้ว หุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งในดินแดนทางเหนือมาโดยตลอด การกำจัดพวกเขานั้นไม่ง่ายเลย เพราะเหตุนั้นแผนของเราคือเริ่มจากการสร้างชื่อเสียงภายในงานชุมนุมดินแดนเหนือเพื่อดึงดูดผู้คนให้มาเข้าร่วมกับขุมกำลังของเรามากขึ้น หลังจากนั้นเราก็จะพยายามเสริมสร้างพลังอำนาจเพื่อที่ขุมกำลังของเราจะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก และสุดท้ายพวกเราก็จะรวมดินแดนทางเหนือทั้งหมดให้กับปึกแผ่นเดียวกันเพื่อที่พวกเราจะได้มีพลังอำนาจที่จะประชันฝีมือกับขุมกำลังแกร่งกล้าจากภูมิภาคกลางได้”

หลังจากหยุดชั่วคราว นางก็กล่าวต่อ “แน่นอนว่าเราต้องการความร่วมมือจากนิกายเพลิงแดงเดือดของท่านเป็นอันดับแรก หากสามารถร่วมมือกันได้จริง ๆ เราก็หวังว่านิกายเพลิงแดงเดือดของพวกท่านจะยืนอยู่เคียงข้างและฝ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกับเรา ทว่าหากนิกายของพวกท่านต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา เราก็จะไม่ไว้หน้าพวกท่านอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ครานี้เมื่อมาพบท่านผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด ปัญหานั้นก็ถือว่าจบไปแล้ว พวกเราเรือนเฟิงเสวี่ยและนิกายเพลิงแดงเดือดจะได้เป็นสหายที่ดีที่สุดต่อกันในอนาคตต่อไป !”

ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินวาจาชัดเจนไม่อ้อมค้อมของฉินอวี้โม่

หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกเขายังรู้สึกว่าเรือนเฟิงเสวี่ยเป็นเพียงขุมกำลังระดับสองและไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม บทสนทนาที่พวกเขามีกับฉินอวี้โม่ในวันนี้ได้เปลี่ยนทัศนคติมุมมองที่พวกเขามีต่อเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างสิ้นเชิง ด้วยผู้นำขุมกำลังผู้นี้ หากจะกล่าวว่าเรือนเฟิงเสวี่ยไม่แข็งแกร่งก็คงเป็นไปไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินก็ถูกชะตากับลักษณะนิสัยของฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงพึงพอใจและยินดีที่จะร่วมมือกับเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างแท้จริง

“ฮ่า ๆ ๆ นิกายเพลิงแดงเดือดของเราจะต้องร่วมมือกับเรือนเฟิงเสวี่ยอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เรายินดีที่จะทำตามคำสั่งของผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ย ตราบใดที่เราผนึกกำลังดินแดนทางเหนือและบรรลุเป้าหมายที่ใฝ่ฝันมานาน สิ่งอื่นก็มิใช่เรื่องสำคัญ !”

ฮั่วชิงซานยิ้มพลางกล่าวออกไป การผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือเป็นทั้งจุดมุ่งหมายและความปรารถนาตั้งแต่รุ่นบรรพชนของพวกเขา ในอดีตพวกเขาไม่เคยมีโอกาสที่จะทำให้มันเป็นไปได้เลย ทว่าบัดนี้เมื่อฉินอวี้โม่และเรือนเฟิงเสวี่ยของนางปรากฏขึ้นมา พวกเขาก็เรียกคืนความมั่นใจเหล่านั้นกลับคืนมาอีกครา ทั้งฮั่วชิงซานและฮั่วหลินเชื่อมั่นใจว่าตราบใดที่พวกเขาติดตามฉินอวี้โม่ต่อไป พวกเขาจะนำพานิกายเพลิงแดงเดือดไปสู่ความรุ่งเรืองได้อย่างแน่นอนและจะกลายเป็นขุมกำลังที่ไม่ว่าผู้ใดในดินแดนทางเหนือก็มิอาจมองข้ามได้

เมื่อได้ยินวาจาของผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากพร้อมสีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตอนนี้ในเมื่อนิกายเพลิงแดงเดือดเต็มใจให้ความร่วมมือแล้ว นางก็ต้องการเห็นว่าหุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานจะทำอย่างไร ยิ่งไปว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มั่นใจนักว่านิกายอู่ซานจะเป็นมิตรหรือว่าศัตรู หากผู้นำนิกายอู่ซานฉลาดพอที่จะเข้าร่วมขุมกำลังของนาง ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก

“ท่านผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือด เรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้นำเรือนเฟิงเสวี่ยหรอก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวออกไป ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจที่จะร่วมมือกันแล้วและก็ถือว่าเป็นมิตรสหายต่อกัน ความห่างเหินห่างไกลที่ฉินอวี้โม่มีก่อนหน้านี้ก็จางหายไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้พูดคุยกันพักใหญ่ นางเองก็รู้สึกถูกชะตากับฮั่วชิงซานมาก ฮั่วชิงซานผู้นี้มิใช่เป็นเพียงคนอาจหาญขวัญกล้าเท่านั้น ทว่าก็เป็นบุคคลที่รอบคอบและฉลาดเฉลียวมากทีเดียว

เมื่อรู้สึกถึงความสนิทสนมจากฉินอวี้โม่ ฮั่วชิงซานก็ยิ้มบาง ๆ เขาเคยคิดว่าผู้นำขุมกำลังใหม่ตรงหน้าเป็นคนเฉยเมยไม่แยแสและห่างเหิน ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกแตกต่างไปในอีกแบบ

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็เรียกข้าว่าลุงฮั่วเถอะ”

ฮั่วชิงซานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกซึ่งทำให้ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินรู้สึกชื่นชมในความตรงไปตรงมาของนางมากยิ่งขึ้น

“ท่านลุงฮั่ว มีบางอย่างที่ข้าอยากจะถามท่าน…”

นางยังไม่เข้าใจข้อมูลบางอย่างนักและต้องการถามผู้รู้อย่างฮั่วชิงซานและฮั่วหลินเพื่อความกระจ่าง

“ฮ่า ๆ ๆ ว่ามาเถอะ ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้”

ผู้นำนิกายเพลิงแดงเดือดยิ้มและเอนตัวพิงบัลลังก์ของเขาขณะมอง ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“บอกตามตรง…ข้าไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานชุมนุมดินแดนเหนือมากนัก ไม่ทราบว่าท่านจะอธิบายให้ข้าทราบอย่างแน่ชัดได้รึไม่ว่างานนี้มีขึ้นเพื่ออะไร ?”

ฉินอวี้โม่เคยได้ยินเกี่ยวกับงานชุมนุมดินแดนเหนือมาก่อน ทว่านางได้ยินมาเพียงคร่าว ๆ เท่านั้นและไม่เข้าใจมันเท่าไหร่นัก ตอนที่อยู่ในเรือนเฟิงเสวี่ยก่อนหน้านี้ นางก็ยังไม่มีโอกาสสอบถามจากผู้อื่น ในเมื่อตอนนี้สนทนาอยู่กับนิกายเพลิงแดงเดือดแล้ว นางจึงเอ่ยถามออกไปโดยตรง

เมื่อได้ยินคำถามนั้น ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินก็ชะงักค้างไปเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ

ก่อนหน้านี้ที่ได้เห็นความมั่นใจของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็คิดว่านางรู้ทุกอย่างรอบตัวเสียอีก ตอนนี้เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองอาจคิดมากเกินไป ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากนัก

ฮั่วชิงซานไม่เอ่ยถามให้มากความทว่ากล่าวอธิบายออกไปโดยตรง

งานชุมนุมของดินแดนทางเหนือคืองานชุมนุมที่จัดขึ้นในทุก ๆ สิบปี จุดประสงค์ของการจัดงานชุมนุมนี้คือเพื่อประเมินว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของดินแดนทางเหนือพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ประการที่สองคือการแบ่งเขตอิทธิพลใหม่และแบ่งสรรขอบเขตอำนาจภายใต้ขุมกำลังใหญ่แต่ละแห่ง

แน่นอนว่าขุมกำลังทรงพลังทั้งหลายจะได้รับประโยชน์อย่างมากในงานชุมนุมเพื่อชิงความเป็นใหญ่ของดินแดนทางเหนือนี้ และขุมกำลังที่อ่อนแอกว่าจะถูกเอาเปรียบและกลายเป็นขุมกำลังที่อ่อนแอยิ่งกว่าเดิม

งานชุมนุมดินแดนเหนือครั้งที่ผ่าน ๆ มานั้นเป็นเพียงการแข่งขันประชันฝีมือระหว่างสามขุมกำลังใหญ่ ส่วนขุมกำลังเล็ก ๆ หรือแม้กระทั่งขุมกำลังที่ทรงพลังอย่างเทือกเขาหิมะก่อนหน้านี้ก็ทำได้เพียงถูกเอารัดเอาเปรียบจากสามขุมกำลังใหญ่เท่านั้นและความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เทือกเขาหิมะที่เสแสร้งแสดงท่าทียโสโอหังนั้น แน่นอนว่ามันก็ทำให้สามขุมกำลังระดับหนึ่งไม่พอใจนัก แม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสามขุมกำลังจะสนใจเทือกเขาหิมะพอสมควร ทว่าเพราะชื่อเสียงที่เสื่อมเสียของเทือกเขาหิมะในช่วงหลัง ๆ มานี้ ขุมกำลังเหล่านั้นจึงลบความคิดนั้นออกไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนคือผู้นำของเทือกเขาหิมะจะเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ขุมกำลังที่เดิมทีเรียกว่าเทือกเขาหิมะก็เปลี่ยนกลายเป็นขุมกำลังใหม่ที่แกร่งกล้ากว่าเดิมซึ่งมีชื่อว่า ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’

หลังจากฟังอธิบายทั่ว ๆ ไปจากฮั่วชิงซาน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ และเข้าใจมากขึ้นพอสมควร งานชุมนุมดินแดนเหนือนี้กล่าวได้ว่าเป็นงานชุมนุมที่มอบโอกาสให้ขุมกำลังใหญ่ ๆ แสดงอำนาจบารมีของตนเองออกมาและก็เรียกได้ว่าเป็นงานชุมนุมที่มีไว้เพื่อรังแกผู้อ่อนแอโดยแท้

งานชุมนุมดินแดนเหนือนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการปกครองขุมกำลังเล็ก ๆ และยึดอำนาจขุมกำลังที่พัฒนาแล้วให้เป็นของตนเอง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นโอกาสที่ขุมกำลังทรงพลังจะสร้างความหวาดหวั่นให้กับขุมกำลังเล็กเหล่านั้นเพื่อที่พวกเขาจะไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามหรือล่วงเกิน

“จะว่าไปแล้ว…เราก็ไม่เคยเห็นด้วยกับงานชุมนุมดินแดนเหนือนี้มาก่อน งานชุมนุมประเภทนี้มีแต่จะทำให้ความก้าวหน้าของดินแดนทางเหนือถดถอยลงและทำให้ขุมกำลังเล็ก ๆ เหล่านั้นไม่อยากอยู่ในดินแดนนี้อีกต่อไป เพียงแต่หุบเขากรุ่นกำยานและนิกายอู่ซานชอบงานชุมนุมเช่นนี้มาก ต่อให้พวกเราต่อต้านหรือคัดค้านเพียงใด มันก็ไม่เป็นผลและทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดงานต่อไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่านิกายเพลิงแดงเดือดของเราได้ครอบครองอาณาเขตบริเวณมาจากขุมกำลังเล็ก ๆ มากมาย ทว่าเราก็ใช้ไม้อ่อนกับขุมกำลังเหล่านั้นและไม่เคยข่มขู่พวกเขาเลย เพราะเหตุนั้น ภายใต้เขตอำนาจของนิกายเพลิงแดงเดือด ชื่อเสียงของท่านพ่อจึงอยู่ในทิศทางที่ดี”

ฮั่วหลินยิ้มและกล่าวเสริม เขาชื่นชมบิดาของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ภายในเขตอำนาจการปกครองของนิกายเพลิงแดงเดือด คนส่วนใหญ่ก็เคารพนิกายเพลิงแดงเดือดและผู้นำนิกายจากใจจริง

แม้เคยได้ยินความคิดของคนอื่น ๆ จากในภัตตาคารก่อนหน้านี้ ความประทับใจและความชื่นชมที่ฉินอวี้โม่มีต่อนิกายเพลิงแดงเดือดก็ถือว่าดีพอสมควร

“หากเป็นเช่นนั้น ในงานชุมนุมดินแดนเหนือครานี้ เรือนเฟิงเสวี่ยของเราจะไขว่คว้ารางวัลใหญ่มาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะดึงดูดขุมกำลังเล็ก ๆ เข้ามาได้มากขึ้น และหลังจากเวลาผ่านไปสักระยะ ขั้วอำนาจในดินแดนทางเหนือจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน !”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ความทะนงตนและมั่นใจในน้ำเสียงของนางทำให้ฮั่วชิงซานและฮั่วหลินเคารพและต้องการจำนนต่อผู้นำตรงหน้ามากขึ้น

ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่เป็นสตรีเพศ หากพวกเขาทราบเช่นนั้น ทั้งสองจะต้องประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ยังไม่คิดที่จะเปิดเผยความจริงออกไปและพวกเขาก็ไม่เอ่ยถามให้มากความเช่นกัน

.