ส่วนที่ 5 ตอนที่ 21 เป้าหมายอันสูงส่งกับการกระทำที่ต่ำช้า

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลังออกจากตำหนักของหลี่หยวนแล้ว หลี่เฉิงเฉียนถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าต้องการแก้แค้นให้หญิงนางรำคนนั้นจริงๆ หรือ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยหยุดเดิน ลูบเสาต้นใหญ่ของตำหนักแล้วพูดกับเฉิงเฉียนว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นให้กับลวี่จู๋ แต่เพียงแค่อยากจะคืนความยุติธรรมให้กับดวงวิญญาณที่ตายอย่างอนาถในใต้หล้านี้ ลัทธิเต๋ามักจะสอนให้ใจกว้างและมีเมตตา คิดว่าผู้เฒ่าโต้วเองก็คงจะชอบเป็นคนใจกว้างและมีเมตตาเช่นกัน เพียงแต่เขาใช้คุณธรรมอันสูงส่งนี้เพื่อตัวเอง กับคนอื่นๆ แล้วมีแต่ความโหดร้ายเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านบทความที่ชื่อว่า ‘เพลงแห่งความชอบธรรม’ แต่อ่านอย่างไรก็มักจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ผู้ที่สูงส่งอยู่เหนือคนอื่นเหล่านั้นในตอนแรกที่ทำสิ่งเหล่านี้ ในใจจะมีความรู้สึกไม่ยอมสยบอยู่ ทำให้จิตใจเป็นทุกข์กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ขอเพียงได้ทำเช่นนี้แล้วก็จะสามารถกินได้นอนหลับ”

 

 

เขาทุบเสาของวังหลังหมัดแล้วหมัดเล่า ราวกับว่าจะปลดปล่อยความกลัดกลุ้มในใจเขาออกมาให้หมดสิ้น

 

 

หลี่เฉิงเฉียนตัดสินใจแล้วว่าต้องรู้ให้ได้ “อะไรคือ ‘เพลงแห่งความชอบธรรม’ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน บทกวีนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบทกวี ‘เรื่องเล่าวัยเยาว์’ ที่เจ้าเคยท่องก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่”

 

 

“ใช่ เป็นบทกวีเช่นเดียวกัน มีความฮึกเหิมเช่นเดียวกัน เฉิงเฉียน ภายหน้าเมื่อเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าอย่าได้ลืมประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานะเบื้องล่างสุดเหล่านั้น แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เจ้าก็ได้โปรดอย่าทำร้ายพวกเขา พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดในใต้หล้านี้ พวกเขาทนรับมรสุมไม่ไหว”

 

 

หลี่เฉิงเฉียนพยักหน้ารับปากอย่างจริงจัง ทั้งยังกระซิบอยู่ข้างหูอวิ๋นเยี่ยเสียยืดยาว หลังจากฟังคำพูดของหลี่เฉิงเฉียนจบ สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

 

อวิ๋นเยี่ยคิดถึงชีวิตของตัวเองในยุคปัจจุบัน เรียบง่าย มีความสุข เป็นปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเห็นโศกนาฏกรรมของโลกนี้ก็จะร้องไห้ เพียงแต่เหตุการณ์นั้นตนเองกล่าวอ้างได้ว่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง แต่ตอนนี้เขาเป็นโหวเหยียแล้ว หรือจะบอกว่าเรื่องนี้เหลือบ่ากว่าแรงอีก หรือจะบอกว่าต้องได้เป็นฮ่องเต้ก่อนจึงจะสามารถแก้ไขทุกสิ่งในโลกได้ หลี่หยวนเป็นไท่ซั่งหวง แต่ก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่านั้น จะเห็นได้ว่าฮ่องเต้นั้นไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีทางให้ถอยแล้ว หากต้องการความสบายใจก็ต้องทำด้วยตัวเอง

 

 

ฉันเป็นคนที่มีสติปัญญาที่สุดในโลกนี้ เรื่องที่ไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้ ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะทำ

 

 

อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบพู่กันและกระดาษ เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว ในไม่ช้าหนังสือร้องเรียนก็ถูกเขียนขึ้น ไม่มีการพูดเกินจริง ไม่มีการปกปิด แม้แต่ภาษาโบราณก็ไม่ได้ใช้ หนังสือร้องเรียนด้วยความเรียงร้อยแก้วหนึ่งฉบับได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าหลี่เฉิงเฉียน

 

 

“เสี่ยวเยี่ย ครั้งนี้ดูเหมือนเจ้าจะเอาจริง” หลี่เฉิงเฉียนพูดกับอวิ๋นเยี่ยหลังจากอ่านหนังสือร้องเรียนจบ

 

 

“ทราบได้อย่างไรกัน”

 

 

“เมื่อครู่เจ้าโกรธมากจนลืมหยิบทองคำออกมา นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของเจ้า ดังนั้นข้าจึงบอกว่าเจ้าจริงจังมาก อย่างน้อยเรื่องนี้ในความคิดเจ้า ก็มีความสำคัญมากกว่าทองคำกองนั้น”

 

 

“ข้าเห็นว่าเจ้าหยิบทองคำไปแล้ว เฉิงเฉียน ทองคำเหล่านั้นมีไว้เพื่อขอให้เจ้านำหนังสือร้องเรียนนี้แกะสลักในแผ่นหินและพิมพ์สักหนึ่งหรือแสนสองฉบับ ข้าอยากให้ทุกคนในฉางอันแห่งต้าถังได้รับรู้ถึงพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของตระกูลโต้ว แจกจ่ายในฉางอันก่อนจำนวนห้าหมื่นแผ่นแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

หลี่เฉิงเฉียนสีหน้าซีดเผือดแทบเป็นลมล้มลง ทองคำสามสิบตำลึงสามารถทำเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จได้งั้นหรือ เรื่องนี้อย่างน้อยต้องการทองคำหนึ่งร้อยตำลึง เขาเป็นผีที่ยากไร้ การทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เขาจนลง  นอกจากนี้เวลายังไม่พอ จะแกะสลักคำหลายพันคำให้เสร็จอย่างน้อยก็ใช้เวลาครึ่งเดือน

 

 

“ข้าต้องการตัวอักษรขนาดใหญ่ หนึ่งหน้าพิมพ์ไม่เกินหนึ่งร้อยตัวอักษร เจ้าหาช่างแกะสลักสักสิบกว่าคนเริ่มทำงานทันที ตัวอักษรไม่จำเป็นต้องดู มีตัวอักษรเป็นแถวก็พอ แล้วก็ไม่ต้องทำพิมพ์นูนสูง แกะสลักแบบนูนต่ำก็พอ ข้าคิดว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งคืนเจ้าก็คงทำสิ่งนี้ให้เรียบร้อยได้กระมัง ช่างฝีมือของตระกูลอวิ๋นก็จะทำเช่นกัน ข้าจะแปะกระดาษนี้ให้ทั่วเมืองฉางอันในวันพรุ่งนี้ “

 

 

หลี่เฉิงเฉียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ส่งคนไปเรียกคนที่สามารถเขียนหนังสือได้จากวังหลังมาทั้งหมดและคัดลอกหนังสือร้องเรียนของอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังมีผู้ดูแลอยู่ในเมืองซึ่งกำลังตามหาช่างแกะสลักเพื่อเตรียมการแกะสลักและพิมพ์

 

 

คนในตระกูลโต้วยังคงเดินทางเข้าออกตระกูลใหญ่อื่นๆ จากการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานมานานปี ผู้เฒ่าโต้วมีญาติอยู่มากมายนับไม่ถ้วนและศิษย์อีกนับไม่ถ้วน คิดว่าในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ ฎีกาที่ร้องเรียนอวิ๋นเยี่ยคงต้องกองเต็มโต๊ะทรงพระอักษรของหลี่ซื่อหมินเป็นแน่

 

 

ไม่มีการลอบสังหารในต้าถัง แม้ว่าตระกูลโต้วจะเคียดแค้นอวิ๋นเยี่ยจนเข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่กล้าลงมือตามใจชอบในฉางอัน เพราะหากลงมือ พวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหมดในฉางอัน การสังหารผู้คนบนท้องถนนสมัยราชวงศ์ฮั่นได้สร้างความทรงจำอันโหดร้ายให้เหล่าขุนนางจนฝังใจ ไม่มีใครอยากใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน

 

 

เพียงแต่การค้าของตระกูลอวิ๋นไม่สามารถดำเนินต่อไปได้แล้ว ท่านย่าส่งเหล่าจวงมาปกป้องอวิ๋นเยี่ยและมีทหารชราที่ปลดเกษียณแล้วติดตามมาอีกสามสิบคน ท่านย่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองฉางอัน นางรู้เพียงว่าตระกูลใหญ่ๆ ที่เดิมสั่งสินค้าของตระกูลอวิ๋นทุกคนยกเลิกหมดแล้ว แม้ว่าจะไม่ต้องวางเงินมัดจำแต่พวกเขาก็ต้องการตัดความสัมพันธ์กับตระกูลอวิ๋นให้ชัดเจน บางคนยังใช้โอกาสนี้มาคุกคามตระกูลอวิ๋นอีกด้วย ท่านย่าจึงสั่งหยุดการทำการค้าทุกอย่างของตระกูลอวิ๋นอย่างเด็ดขาด ตระกูลอวิ๋นจึงอยู่ในสภาวะตื่นตัวและเตรียมพร้อม

 

 

เหล่าจวงนำคำพูดมาเพียงประโยคเดียว “หากสถานการณ์ไม่ดี ก็จงล่าถอย” ท่านย่าไม่มีคำพูดอื่นใด ก็เพราะกลัวว่า หากพูดมากเกินไปจะทำให้หลานชายเป็นกังวล เป็นผลเสียต่อการล่าถอย ในความคิดอันคับแคบของท่านย่านั้น หลานชายตนสำคัญที่สุด ส่วนคนอื่นรวมถึงตัวนางเองนั้นไม่มีความสำคัญอะไร

 

 

   อวิ๋นเยี่ยไล่เหล่าจวงออกไปแล้วปิดประตู นั่งสองมือเท้าคางอยู่บนโต๊ะทำงาน จ้องมองเปลวไฟอย่างเหม่อลอย บนโต๊ะทำงานมีของที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลอวิ๋นวางกองอยู่เต็มไปหมด ท่านย่าตั้งใจแลกเป็นเหรียญไคหยวนทงเป่า[1]อันใหม่ตั้งหลายพวง และยังมีเศษเงินอีกจำนวนหนึ่ง ทองคำแผ่นหนักถึงหนึ่งกิโลกรัม แม้แต่ชุดเกราะของเขาก็ถูกท่านย่าส่งมาให้

 

 

อวิ๋นเยี่ยลูบไล้เชือกถักเส้นใหม่ที่ใช้ผูกกับชุดเกราะแล้วยิ้มเจื่อนๆ พูดกับตัวเองว่า “ท่านย่า หลานก็อยากหนีไป แต่พวกเราจะหนีไปไหนได้ ฮ่องเต้ได้วางกับดักไว้เรียบร้อยแล้ว หลานก็คือเหยื่อในกับดัก ฮ่องเต้ไม่ไว้ใจขุนนางในราชสำนัก พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหมด จึงมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่เป็นเหยื่อที่เหมาะสมที่สุด แต่เดิมนั้นก็ถูกคนริษยาอยู่แล้ว อีกทั้งฮ่องเต้ยังสาดน้ำมันอยู่ด้านบนด้วยน้ำเพียงสองสามถ้วย มีหรือจะดับไฟกองนี้ได้ หากไม่ได้เป็นเพราะรัชทายาทบอกข้าว่าเหล่าแม่ทัพผู้กล้าในเมืองหลวงอยู่ที่ไหนบ้าง หลานก็คงจะต้องคืนดีกับตระกูลโต้วซึ่งนี่จึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด เหล่าเฉิงและเหล่าหนิวจะต้องร้อนรนจนแทบคลั่งแน่ เพราะกลัวว่าข้าจะเลือกฝ่ายผิด ตอนนี้ที่กวนหล่งทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วกระมัง เฉิงเหย่าจินอยู่ที่หล่งโย่ว จั่งซุนอู๋จี้อยู่ในกวนจง เว่ยฉือจิ้งเต๋ออยู่ในเมืองหลวง จางเลี่ยงอยู่ในเหอเป่ย ต้วนจื้อเสวียนอยู่ในซานตง จางซื่อกุ้ยอยู่ในลั่วหยาง ฮ่องเต้ของฉัน เจ้ากำลังจะทำอะไร”

 

 

คฤหาสน์ของตระกูลอวิ๋นในเมืองหลวง เนื่องจากมีคนจำนวนน้อยจึงดูค่อนข้างรกร้าง มีต้นหญ้าพยายามจะงอกออกจากรอยแยกของหิน ในมุมมืดของมุมกำแพงมีองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น บางครั้งก็มีแสงดาบส่องประกายน่ากลัว บอกอวิ๋นเยี่ยว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้นั้นเลวร้ายเพียงไหน

 

 

“โหวเหยียกลับไปนอนพักสักครู่เถอะ ใกล้จะฟ้าสางแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปที่อำเภออีก” ไม่รู้ว่าเหล่าจวงโผล่ออกมาจากที่ไหน พูดเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ยเบาๆ

 

 

 “เหล่าจวง สองปีที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยห่างจากข้าเลย เจ้าว่า ข้าเป็นคนสารเลวจริงๆ ใช่หรือไม่ เพื่อนางรำที่ไม่รู้จักชื่อคนหนึ่ง ถึงกับเอาชีวิตทั้งผู้ใหญ่และเด็กของทั้งครอบครัวมาพัวพันด้วย คุ้มค่าหรือ”

 

 

“โหวเหยีย ข้าน้อยไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ข้ามีหัวใจ ตอนที่อยู่ในทุ่งหญ้า เมื่อท่านเห็นน่ารื่อมู่กำลังจะกลายเป็นจอกใส่เหล้า สีหน้าท่านในตอนนั้นน่ากลัวมาก ข้าน้อยรู้ว่าท่านไม่ได้สนใจว่าจะมีคนตายกี่คน ไม่ว่าจะตายเพราะสงครามหรือตายเพราะป่วย ที่จริงแล้วท่านไม่ได้สนใจ คนเราเกิดมาย่อมต้องตาย ตายช้าหรือตายเร็วก็เท่านั้นเอง ข้าน้อยคิดว่าสิ่งที่ท่านสนใจคือ เรื่องที่นางรำถูกจับทำเป็นเทียนไข นี่คือสาเหตุหลักที่ตระกูลโต้วทำให้ท่านขุ่นเคือง จุดชนวนระเบิดของท่าน แน่นอนว่าท่านจึงไม่ยอมปล่อยให้เขาอยู่เป็นสุข”

 

 

อวิ๋นเยี่ยตกใจสะดุ้ง และพบว่าชายหยาบกร้านคนนี้เป็นชายที่ละเอียดอ่อนอย่างหาได้ยากคนหนึ่ง เขาตบแขนของเหล่าจวงเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่ที่หล่งโย่ว มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกข้าว่า คนเราถูกฆ่าตาย ถูกตัดศีรษะ ถูกเผาได้ ถูกบีบคอตายได้ สรุปแล้วจะตายอย่างไรก็ได้ สิ่งเดียวที่ไม่ได้ก็คืออดตาย

 

 

แต่ข้าคิดว่าถึงจะอดตายก็ไม่เป็นไร ใต้หล้านี้ไม่เคยมีเสบียงอาหารเพียงพออยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อดตายก็จะต้องมีใครบางคนอดตาย ญาติของผู้อาวุโสท่านนั้นอดตายทั้งหมด ดังนั้นความเห็นของเขาจึงค่อนข้างรุนแรง

 

 

แต่บ้านโหวเหยียของเจ้านั้นต่างกัน เหตุผลที่บุคคลถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์นั้น เป็นเพราะเขาอยู่เหนือสัตว์ร้าย เคารพต่อชีวิตของผู้อื่นซึ่งก็คือการเคารพตัวเองด้วย สัตว์ป่ากินสัตว์ป่าด้วยกันเอง ก็เพราะมันหิวและจะกินจนไม่เหลือ จะไม่นำศพไปทำอย่างอื่นต่อ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด ถึงได้ฆ่าคนด้วยเหตุผลอื่นๆ ร้อยแปดพันเก้า มนุษย์บางคนก็ทำเกินไป ซึ่งก็คือพวกที่ไม่สามารถเรียกได้ว่ามนุษย์ ถึงได้ใช้กะโหลกมนุษย์ที่ยังมีชีวิตมาเป็นจอกเหล้า ถึงได้นำศพคนมาทำเป็นเทียนไข ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดสมควรตาย”

 

 

เหล่าจวงพยักหน้าด้วยท่าทีดูเหมือนจะเข้าใจ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ง่วงนอนเลยสักนิด เขาก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก เขาเองก็เข้าใจดีว่าคืนนี้โหวเหยียคงจะไม่สนใจเรื่องการนอนแน่

 

 

เมื่อเปิดประตูห้องของเรือนตะวันออก แสงไฟยังคงส่องสว่าง ผู้คนที่ตระกูลอวิ๋นเรียกมากำลังคัดสำเนาหนังสือร้องเรียนของอวิ๋นเยี่ยอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครเงยหน้าขึ้น พวกเขาจำตัวอักษรพันกว่าคำนี้ได้นานแล้ว บนโต๊ะทำงานที่อยู่ด้านหน้าประตูก็มีกระดาษกองใหญ่วางอยู่

 

 

ในฐานะคนในยุคปัจจุบัน อวิ๋นเยี่ยมีหรือจะไม่รู้ถึงความทรงพลังของประชาวิจารณ์ ไม่ได้สาดโคลนใส่ตระกูลโต้ว เพียงแค่บอกประชาชนชาวฉางอันว่าตระกูลโต้วชอบใช้คนทำเทียนไข ตอนนี้เทียนที่ยังสว่างไสวในบ้านของเขาเป็นเทียนไขที่ทำจากร่างของลวี่จู๋หญิงผู้น่าสงสาร ขอให้ชาวฉางอันต้องระมัดระวังด้วย อย่าได้เผลอขัดขืนตระกูลโต้ว ผลที่ตามมาจากการไม่เชื่อฟังตระกูลโต้วอาจจะถูกเขานำไปทำเป็นเทียนไข

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าประชาชนชาวฉางอันจะไม่สนใจ แม้แต่คนที่ช็อกขณะกำลังมีสัมพันธ์กันบนเตียงก็ยังแพร่กระจายข่าวกันเช่นนี้ หากเจอเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้ มีหรือจะไม่รู้สึกอะไร อวิ๋นเยี่ยหยิบผลงานชิ้นเอกของตนเองขึ้นมาแผ่นหนึ่ง อ่านหนึ่งรอบและพูดกับตัวเองด้วยความพึงพอใจ “ยอดนักประพันธ์”

 

 

ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนได้ มิได้เป็นเพราะใช้ชีวิตเป็นของเล่นเพื่อสั่งสมชื่อเสียงมาหรอกหรือ อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่ากับข้อหาที่บอกว่าตระกูลโต้วเป็นตระกูลที่จับคนทำเทียนไข ผู้เฒ่าโต้วจะไม่รู้สึกอะไรเลย ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานหลายพันปี ถุย ข้าจะให้ตระกูลโต้วของเจ้าได้เห็นถึงพลังความน่ากลัวของตัวอักษรเสียหน่อย และให้พวกเจ้าได้สัมผัสบ้างอะไรที่เรียกว่า พลังมติมหาชน สามวันให้หลัง ผู้คนทั่วทั้งฉางอันหากพบตระกูลโต้วแล้วไม่เดินอ้อมหลบ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่โต้วตามพวกเจ้าเลย

 

 

  คิดว่าพรุ่งนี้รัชทายาทคงจะหาคนจำนวนหนึ่งที่สูญเสียคนในครอบครัวไป เพียงแค่หาใครก็ได้และพูดต่างๆ นานา เช่น บอกพวกเขาว่าอาจจะมีคนหายไป ตระกูลโต้วซึ่งชอบเอาคนมาทำเทียนไข ลวี่จู๋คนเดียวจะพอได้อย่างไร ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจถูกตระกูลโต้วนำไปทำเทียนไขหมดแล้วก็ได้

 

 

วิธีการนั้นค่อนข้างไร้คุณธรรม หลี่เฉิงเฉียนมีสีหน้าหวาดกลัว แต่กลับไปดำเนินการเรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้น แม่ของเขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่แรกแล้วว่าหากมีเรื่องใดไม่สะดวก สามารถขอความช่วยเหลือจากรัชทายาทได้ แผนการที่ดีเช่นนี้จะไม่ใช้ให้เต็มที่ ไม่ใช้ให้ถึงที่สุดได้อย่างไรกัน

 

 

อวิ๋นเยี่ยมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามังกรร้ายที่มีอิทธิฤทธิ์ร้ายเหลือในวังหลวงตนนั้นกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างในเมืองฉางอันด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก กรงเล็บมังกรที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องนั้น คงจะกระตือรือร้นอยากจะลองของแล้วกระมัง

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เหรียญไคหยวนทงเป่า คือ เหรียญเงินตราที่นิยมใช้มากที่สุดและใช้อย่างยาวนานที่สุดในราชวงศ์ถัง โดยตัวเหรียญจะมีรูตรงกลางและสี่ด้านของรูเหรียญมีอักษรสี่คำ คือ ไค หยวน ทง เป่า