ส่วนที่ 5 ตอนที่ 22 ถ่มน้ำลาย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

นับตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งต้าถัง เมืองฉางอันไม่ได้เปลี่ยนบรรยากาศดั้งเดิมที่มันเคยมีไปเลย ตลาดตามท้องถนนหนึ่งร้อยแปดแห่งได้ถูกเปิดขึ้นตามลำดับ ดูเหมือนว่าผู้คนจะลืมความเร่งรีบและคึกคักของเมื่อวานนี้ไป ยังคงเริ่มทำงานประจำวันของตน หากจะเป็นกังวลเรื่องตระกูลใหญ่อยู่เหนือผู้คน ไม่สู้กังวลเรื่องราคาข้าวสารจะดีกว่า ต้องบอกไว้ก่อนว่าราคาข้าวสารในฤดูหนาวปีนี้ได้เพิ่มขึ้นถึงสามส่วน ไม่รู้ว่าผู้ประสบภัยที่กินข้าวของฉางอันเหล่านั้นจากไปหมดแล้วหรือยัง

 

 

เด็กน้อยที่ตะกละกำลังขยี้ตาปรือสะลึมสะลืออยู่ แล้วมองไปที่ต้นเอล์มที่มุมถนน มันแปลกที่ต้นไซบีเรียนเอล์มเหล่านั้นมักจะปลูกไม่โต เห็นเมื่อวานนี้ก็เห็นดอกตูมงอกอยู่ที่กิ่งอ่อนๆ แล้ว ทำไมวันนี้ยังคงเหมือเดิมอีก จึงปัสสาวะรดบนรากของต้นอย่างเต็มที่ ต้นเอล์มแก่ๆ นี่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว

 

 

จากนั้นมองดูต้นหวยซู่ที่อยู่ทั้งสองข้างถนน กลืนน้ำลายหนึ่งอึก เมื่อเทียบกับต้นเอล์ม ดอกหวยซู่จึงจะเป็นความงดงามของจริง รูดดอกหวยซู่สีขาวแล้วนำไปนึ่งรวมกับข้าวกล้อง กลิ่นหอมนี้สามารถโชยไปถึงถนนได้ น่าเสียดายที่ดอกหวยซู่ต้องถึงเดือนสี่จึงจะออกดอก ตอนนี้ยังเป็นกิ่งที่เ**้ยนเตียนที่บนกิ่งไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

 

 

ฝุ่นละอองที่ถูกม้าเร็วทำให้คละคลุ้งขึ้นก็ยังคงน่ารำคาญอยู่เสมอ เมืองฉางอันในฤดูใบไม้ผลิ หากฝนไม่ตกก็มักจะเป็นสีเทาอึมครึม

 

 

ทหารม้ากระโดดจากม้า ในมือถือถังแป้งเปียกอยู่หนึ่งถัง ใช้แปรงจุ่มแป้งเปียกแล้วป้ายบนกำแพงสองครั้ง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระบอกไม้ไผ่บนหลังของม้าก่อนจะติดมันไว้บนผนัง มองขึ้นมองลงเห็นว่าแปะได้เรียบร้อยแล้ว จึงขึ้นม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายต่อไป

 

 

ทหารม้าที่ทำเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองคน แต่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและทำเช่นเดียวกัน นั่นก็คือทาแป้งเปียกและแปะกระดาษ

 

 

นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ ที่เมืองฉางอันนอกเหนือจากทางการติดประกาศที่ประตูเมืองแล้ว ก็มีรูปวาดภาพเหมือนประกาศจับโจรเพียงสองแผ่น มีใครเคยเจอคนเอากระดาษที่มีราคาแพงแปะไปทั่วเมือง ทั้งด้านบนก็ยังเขียนหนังสือไว้อีก แต่ก็อ่านไม่ออกสักคำ นี่ไม่เท่ากับทำให้คนกระวนกระวายหรือ

 

 

หากมีเรื่องอะไรเจ้าของร้านขายของชำก็ถูกเรียกออกมาทันที เพราะในถนนละแวกนี้ถือว่าเขามีความรู้ดีที่สุด ไม่ว่าบ้านไหนก็ตาม จะเป็นเรื่องมงคลหรือเรื่องร้าย มีครั้งไหนที่ขาดเขากันบ้าง

 

 

เจ้าของร้านขายของชำกระแอมสองครั้ง เพื่อปรับหลอดเสียงเตรียมจะอ่านเสียงดัง หมายจะโอ้อวดแสดงความรู้ของตน ใครจะรู้ ทันทีที่เห็นอย่างชัดเจนว่าบนนั้นเขียนอะไรไว้ ก็รีบปิดปากทันที ส่งเสียงจุ๊ๆ แล้วก็รีบกลับไปที่ร้านขายของชำ ลงกลอนปิดประตู แม้แต่การค้าก็ไม่ทำแล้ว

 

 

เมื่อเห็นเจ้าของร้านขายของชำดูเหมือนลาตื่นตระหนก ชาวบ้านจึงยิ่งกังวลมากขึ้น ไม่รู้ว่าในกระดาษเขียนอะไรไว้ หรือว่าทางการต้องการจะเก็บภาษีในเมืองรายบุคคลอีกแล้วหรือ ความคิดเห็นแตกต่างกันไป ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีข้อมูลอะไรเลย ในตอนนี้ขุนนางท้องที่ผู้ดูแลตรอกและอู่โหวต่างก็กำลังไปรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่จินอู๋เว่ย[1]ที่มาตรวจสอบ ในเวลานี้จึงหาคนที่รู้หนังสือไม่ได้เลย

 

 

บัณฑิตสวมเสื้อคลุมคอกลมคนหนึ่งเดินผ่านมา เห็นในแวบแรกก็รู้ว่าเขาเป็นคุณชายผู้มีความรู้ ชายชราคนหนึ่งจึงก้าวเข้าประสานมือทักทาย บัณฑิตหนุ่มก็เป็นคนที่คุยด้วยง่าย จึงเดินมาที่ด้านหน้าป้ายประกาศโดยไม่พูดอะไรสักคำ อ่านกวาดตาแล้วพูดกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงว่า “มีโจรร้ายในเมืองฉางอัน ชอบนำคนมาทำเทียนไข โดยนำกรวยใส่ในปากคนแล้วกรอกเทียนไขเหลวที่ต้มจนเดือดเข้าไปในท้องคน ปล่อยให้ถูกลวกตายทั้งเป็น แล้วจึงเสียบไส้ตะเกียงและนำมาใช้เป็นเทียนไข ก่อนหน้านี้เมืองฉางอันมักจะมีเด็กๆ หายตัวไปไม่ใช่หรือ อาจเป็นโจรเลวคนนี้ที่จับเด็กไปทำเป็นเทียนไขและจุดใช้ในเวลากลางคืน

 

 

บัณฑิตยังไม่ทันได้พูดจบก็มีคนคว้าตัวบัณฑิตมาถามว่าโจรร้ายคนนั้นเป็นใคร ลูกของเขาหายไปสองปีแล้ว บัณฑิตบอกเขาว่าเรื่องนี้น่ะหรือ เดิมไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน แต่สุดท้ายถูกหลานเถียนโหวพบเข้าหนึ่งคนในตระกูลโต้วที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง เมื่องมองดูเทียนไขอย่างละเอียดเขาจึงรู้ว่าที่แท้เป็นนางรำคนหนึ่งที่ตรอกผิงคังฟางซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกนามว่าลวี่จู๋ เมื่อสองวันก่อนยังได้ดูการเต้นรำของนางอยู่เลย ใครจะรู้ว่าพริบตาเดียวนางจะกลายเป็นเทียนไข แน่นอนว่าโหวเหยียต้องไม่พอใจ ดังนั้นติดประกาศเตือนพ่อแม่พี่น้องในตรอกแห่งนี้ขอให้ระวังดูแลลูกๆ ของตนเองให้ดี อย่าได้ให้ถูกหลอกไปทำเทียนไข โดยตัวเขาเองจะไปร้องทุกข์ที่ที่ว่าการเขตฉางอัน เพื่อทวงความยุติธรรมคืนให้หญิงที่น่าสงสารคนนั้น

 

 

เมื่อบัณฑิตพูดจบก็ประสานมือเตรียมจะจากไป ขณะที่เดินจากไปก็เตือนชาวบ้านในตรอกให้ระวังลูกๆ ของพวกเขา มองดูชาวบ้านในตรอกที่คร่ำครวญร่ำไห้ที่สูญเสียลูกไป ได้แต่ถอนหายใจแล้วจากไป

 

 

เมื่อเดินเลยมุมถนนก็หยิบหนวดปลอมออกจากอกเสื้อและติดไว้เหนือริมฝีปาก จากนั้นเดินไปที่อีกมุมถนนหนึ่งและอธิบายให้ชาวบ้านที่ไม่รู้ความจริงฟังต่อไป…

 

 

เด็กๆ ที่เมื่อครู่ยังน้ำลายไหลกับต้นกล้าเอล์มอยู่จึงถูกมารดาของเขานำตัวกลับบ้านทันที ถูกตีก้นหลายทีก่อนจะได้ยินมารดาบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องโหดร้ายที่ตระกูลโต้วนำเด็กไปทำเทียนไข เด็กตกใจกลัวจนไม่กล้าร้องไห้ มุดเข้าอ้อมกอดมารดาอย่างสุดแรง

 

 

ในเมืองฉางอัน เด็กที่วิ่งเที่ยวเตร็ดเตร่ก็หายไปหมดและเด็กสาวที่ชอบเดินเที่ยวตลาดก็หายไป มีเพียงบางคนที่จำเป็นต้องออกมา ก็รีบเดินเหมือนโดนหมาป่าไล่ล่า เหลียวซ้ายแลขวาราวกับเป็นขโมย

 

 

เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะพ้นขอบฟ้า ผู้คนจึงค่อยโล่งใจขึ้นบ้าง มีบางคนที่ค่อนข้างฉลาด ก็คิดว่านี่เป็นคุณชายเสเพลคนไหนกำลังกุเรื่องเล่นอยู่ เตรียมจะกลับไปบ้านแล้วปล่อยลูกที่ถูกขังอยู่ในบ้านมาหนึ่งวันให้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย ใครจะรู้ว่าโหวเหยียตระกูลอวิ๋นจะนำหนังสือคำร้องไปร้องเรียนที่ที่ว่าการฉางอันแล้ว จากตะวันออกไปยังตะวันตก คนกว่าค่อนเมืองในเมืองฉางอันได้เห็นโหวเหยียท่านนี้ผู้ซึ่งมีคุณธรรมสูงส่ง องอาจกล้าหาญไปที่ที่ว่าการอำเภอฉางอันด้วยสีหน้าขุ่นเคือง

 

 

 เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายอำเภอยืนต้อนรับเขาที่ประตูทางเข้าของที่ว่าการ แต่เขากลับไปตีกลองร้องทุกข์ทั้งสองด้านของที่ว่าการข้างละครั้ง ก่อนที่ชาวบ้านจะร้องเรียนจะต้องตีกลองเพื่อกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่จอมขี้เกียจลุกขึ้นเปิดศาล ซึ่งกฎนี้มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น อวิ๋นเยี่ยไม่มีโอกาสที่จะได้ตีสิ่งนี้ ถ้าเขามีความคับข้องใจก็จะไปหาฮ่องเต้เพื่อแก้ไขปัญหา แต่วันนี้เขาสวมชุดธรรมดา ก็ถูกกำหนดให้ใช้วิธีการเดียวกันกับชาวบ้านเพื่อนำเรื่องของตนเองเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

 

 

ชาวบ้านนั้นไม่สามารถฟ้องร้องขุนนางได้ หากฟ้องร้องขุนนางในฐานะประชาชน ก่อนอื่นเลยก็คือถือว่ามีความผิด และถ้าฝ่ายขุนนางเป็นผู้ชนะ ก็ต้องโดยโบยหลังอย่างน้อยแปดสิบที เนรเทศไม่น้อยไปกว่าสามพันลี้อย่างแน่นอน เมื่อหันกลับไปมองกลุ่มประชาชนชาวฉางอันจำนวนมาก อวิ๋นเยี่ยมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก ตระกูลโต้ว ตระกูลโต้วจะต้องจมลงในคลื่นระลอกนี้

 

 

จั่วขุยนายอำเภอฉางอันไม่เคยเกลียดตัวเองเช่นวันนี้มาก่อนเลยว่า ทำไมเขาต้องรับราชการด้วย เขายืนอยู่ที่ประตูทางเข้าที่ว่าการ มองดูโหวเยี่ยคนนั้นตีกลองตาปริบๆ นั่นไม่ใช่การตีกลอง แต่เป็นการเร่งจะเอาชีวิต

 

 

   รองนายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอต่างก็หน้าซีดเหมือนกัน เย็นวานนี้ตระกูลโต้วได้บอกพวกเขาว่า ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยมาฟ้องร้องและพวกเขากล้ารับคำร้องละก็ ทุกคนในครอบครัวพวกเขาจะมีชะตาชีวิตที่ดีที่สุดด้วยการถูกเนรเทศไปที่หลิ่งหนาน

 

 

อวิ๋นเยี่ยกำลังนั่งดื่มนมเปรี้ยวอยู่ในห้องโถงของที่ว่าการ มองดูเจ้าหน้าที่ทั้งสามซึ่งกำลังอ่านหนังสือร้องเรียนของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ พวกเขาจำเป็นต้องอ่านและก็จำเป็นต้องรับด้วย อวิ๋นเยี่ยเห็นหงเฉิงสวมชุดเจ้าหน้าที่ศาล ในมือถือพลองไม้ไผ่ ยืนสัปหงกพิงป้ายใหญ่อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

 

 

การฆ่านางรำที่มีฐานะต่ำต้อยตายไปหนึ่งคนนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กฎหมายอาญากำหนดเพียงแค่การลงโทษด้วยการปรับเงินหรือการโบย โทษที่หนักที่สุดก็คือการเนรเทศหนึ่งปีเท่านั้น ในเมืองฉางอันมีคนคนรับใช้และสาวใช้ที่ถูกฆ่าตายอย่างประหลาดในแต่ละปีไม่รู้ว่ามีจำนวนมากมายเท่าไร แต่ก็ไม่มีใครมาฟ้องร้องสักคน ส่วนใหญ่ก็ชดใช้เงินและเสบียงเล็กน้อยเพื่อให้จบเรื่อง เรื่องของคนฐานะดียังดูแลแทบไม่ทัน ใครจะมีเวลามาดูแลคนที่มีฐานะต่ำต้อยกัน ดังนั้นทางการจึงมักจะปิดตาข้างหนึ่งต่อเรื่องเหล่านี้เสมอ

 

 

ใครจะรู้ว่าอยู่ในวงการนานๆ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องได้พบกับผีบ้าง บางทีอาจเป็นวิญญาณผู้บริสุทธิ์ของคนฐานะต่ำต้อยสั่งสมความแค้นในฉางอันมากเกินไป ในที่สุดก็ให้เกิดคดีใหญ่ที่ว่าโหวเหยียท่านหนึ่งมาฟ้องร้องกั๋วกงว่าฆ่าคนอย่างทรมาน ข้อกล่าวหานั้นแปลกยิ่งนัก “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” พลิกหากฎหมายทุกข้อของต้าถังก็หาข้อหาประหลาดเช่นนี้ไม่เจอ

 

 

หลินกุ้ยกัดฟันพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหว นับตั้งแต่ต้าถังเราประกาศกฎ ‘อู่เต๋อลวี่’ ในรัชศกอู่เต๋อปีที่เจ็ดเป็นต้นมา ไม่เคยมีความผิดข้อที่ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ข้าน้อยในฐานะขุนนางที่ใกล้ชิดประชาชน กฎหมายของแต่ละราชวงศ์ก่อนหน้าก็เคยศึกษามาคร่าวๆ ด้วย แต่ก็ไม่เคยได้ยินกฎหมายข้อนี้มาก่อนเลย หวังว่าอวิ๋นโหวจะช่วยอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย”

 

 

“ตั้งแต่สมัยโบราณมาได้มีการบัญญัติกฎหมายเพื่อแก้ไขบรรทัดฐานพฤติกรรมของผู้คนในใต้หล้า กฎหมายอาญาที่เข้มงวดถูกนำมาใช้ เพื่อบอกเราว่าสิ่งใดสามารถทำได้และสิ่งใดไม่สามารถทำได้ นับตั้งแต่ราชวงศ์ฉินเป็นต้นมา หลักการแห่งการสอนให้ใจกว้างและมีเมตตาก็ได้ปรากฏให้เห็นมาโดยตลอด บทลงโทษที่โหดร้ายเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร์ การลงโทษทางร่างกายที่โหดร้ายเหล่านั้นตอนนี้ในต้าถังเราก็เหลือเพียงการเฆี่ยนตีและการโบยเท่านั้น การลงโทษประเภทห้าม้าแยกร่าง การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ การควักตาตัดลิ้นหายไปหมดแล้ว แม้แต่โทษกบฏที่หนักสุดในสิบโทษร้ายแรง ก็เพียงแค่ตัดศีรษะของผู้เป็นหัวหน้า บิดาของเขาและลูกหลานลดโทษลงหนึ่งระดับโดยตัดสินให้แขวนคอเพื่อเก็บศพที่สมบูรณ์ทั้งร่างไว้

 

 

จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ของราชสำนักในการบัญญัติกฎหมายก็คือ เพื่อสั่งสอนไม่ให้ประชาชนฝ่าฝืนกฎหมาย จุดประสงค์เพื่อใช้สั่งสอนและช่วยคน โดยให้ความผิดเป็นครูต่อไปไม่ให้กระทำอีก ไม่ใช่เพื่อตั้งใจจะจับคนดีๆ คนหนึ่งเนรเทศไปให้ไกลหรือจะตัดศีรษะให้ได้ มีใครชอบทำเรื่องต่างๆ ให้เป็นการนองเลือดกันบ้าง แม้แต่เมื่อปีที่แล้วซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยพิบัติ ก็มีอาชญากรเพียงยี่สิบคนในต้าถังที่ถูกประหารด้วยการตัดศีรษะไม่ใช่หรือ

 

 

เพราะอะไรน่ะหรือ นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุครุ่งเรืองกำลังจะมาถึง ที่ชายแดน พวกเราได้กวาดล้างชนเผ่าทูเจวี๋ยและจับเป็นข่านเจี๋ยลี่ได้ ขุนนางผู้ใกล้ชิดประชาชนที่อยู่ในราชสำนักเองก็มีคุณงามความชอบ ด้านหนึ่งต้องจัดหาเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับกองทัพที่อยู่แนวหน้า อีกด้านหนึ่งก็ต้องจัดหาเสบียงอาหารไปมอบให้กับชาวบ้านผู้ประสบภัยเหล่านั้นเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องหนาวจนอดตาย

 

 

ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ต้าถังของเรากำลังจะต้อนรับปีใหม่ที่แปลกใหม่ พวกเราทุกคนต่างก็หมายมั่นปั้นมือเตรียมพร้อมที่จะพยายามอย่างหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรืองที่จะมาถึง เพื่อให้เราทุกคนสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พวกเรามีกษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง เหล่าทหารที่กล้าหาญ ขุนนางที่เฉลียวฉลาด ประชาชนที่ขยันขันแข็ง แล้วพวกเราจะไม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไรกัน”

 

 

ผู้คนในราชวงศ์ถังไม่เคยได้เห็นการกล่าวปาฐกถา แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะรังเกียจคำพูดของตัวเอง แต่เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณประตูที่ว่าการได้ยินคำประกาศเรื่องการมาถึงของยุครุ่งเรืองเป็นครั้งแรก ต่างก็พากันแสดงออกถึงความโกรธแค้น แม้แต่หงเฉิงซึ่งกำลังยืนสัปหงกอยู่ตรงนั้นก็เบิกตากว้างราวกับว่าเพิ่งจะรู้จักอวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งแรก

 

 

ทันทีที่คำพูดของอวิ๋นเยี่ยหยุดลง ชาวบ้านพากันตะโกนโห่ร้องว่าเยี่ยม วันนี้พวกเขาคือแกนหลัก อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาเผชิญหน้ากับฝูงชนและตะโกนเสียงดังว่า “ในวันที่มีทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้ แต่ก็กลับเกิดเรื่องน่าขยะแขยงที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้เกิดขึ้น ซึ่งก็คือตระกูลโต้วทายาทแห่งผู้มีการศึกษาที่อาศัยอยู่ในตรอกซิ่งฮว่าฟาง เพื่อระบายความโกรธแค้น พวกเขาได้จับหญิงสาวอายุสิบห้าปีทำเทียนไขทั้งเป็น

 

 

เด็กน้อยคนหนึ่งที่ลืมตาดูโลกจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเท่าไร บิดามารดาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใด พวกเราต่างก็มีความรักที่ลึกซึ้งที่สุดในการจินตนาการว่า หลังจากลูกของตนเองที่เติบโตขึ้น ผู้ชายสามารถสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลได้ ผู้หญิงสามารถแต่งงานไปในครอบครัวที่ดี มีความสุขชั่วชีวิต มีใครอยากให้ลูกเป็นเทียนไข บอกข้าซิว่ามีใครต้องการให้ลูกเป็นเทียนไขบ้าง ต้าถังเรามีประชากรน้อย บนผืนดินอันกว้างใหญ่มีคนเพียงไม่กี่ล้านคน ทุกครั้งที่ฝ่าบาทประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ทรงอธิษฐานอย่างจริงใจเพื่อให้ไพร่ฟ้าใต้หล้าเจริญรุ่งเรือง สัตว์ต่างๆ ในคอกปศุสัตว์เพิ่มทวีคูณ แล้วตระกูลโต้วกำลังทำอะไรอยู่ เจ้ากำลังฆ่าคนเป็นผักปลา!

 

 

ตระกูลโต้ว เจ้าทำได้ลงคอได้อย่างไร เมื่อพวกเราเห็นลูกสุนัขที่ได้รับบาดเจ็บ เราจะเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมาก แล้วทำไมพวกเจ้าถึงเพิกเฉยต่อคำวิงวอนของหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้น ไม่ใส่ใจต่อคำร่ำร้องขอความเมตตาของนาง ทำไมจึงโหดร้ายกรอกขี้ผึ้งเหลวร้อนๆ ใส่ท้องของผู้หญิงคนนั้น ยังมีความเป็นธรรมอยู่อีกหรือ ตระกูลโต้วยังมีความเป็นคนอยู่อีกหรือไม่ ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมายาวนาน ทายาทแห่งผู้มีการศึกษารึ ถุย! “

 

 

ต่อจากการถ่มน้ำลายของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ชาวเมืองฉางอันที่โกรธแค้นก็หันไปถ่มน้ำลายตรงทิศทางของตรอกซิงฮั่วฟาง

 

 

 

 

——

 

 

[1] จินอู๋เว่ย เป็นตำแหน่งขุนนาง ทำหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยทั้งในวังและในเมืองหลวง