ในฐานะผู้นำตระกูลของตระกูลที่สืบทอดมานาน ผู้เฒ่าโต้วนั้นมีคุณสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย เขาได้เตรียมตาข่ายขนาดใหญ่ที่ไม่คาดฝันเพื่ออวิ๋นเยี่ยเอาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งใจที่จะจับตระกูลอวิ๋นเล็กๆ มัดไว้ในตาข่ายแล้วบีบคอจนตาย เขาได้ศึกษาฎีกาที่เตรียมฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยของญาติและสหายทั้งหมดของเขาอย่างละเอียดหมดแล้ว ชี้นำคำต่อคำประโยคต่อประโยคที่อาจจะเป็นช่องโหว่ได้
คำพูดที่ออกนอกลู่นอกทางของอวิ๋นเยี่ย ความโอหังอวดดีของอวิ๋นเยี่ย ยกหางตนเองว่าเป็นผู้สืบทอดของผู้สูงส่งแต่ตัวเองนั้นกลับไม่มีอะไรเลย ต้นกำเนิดของเขา ชาติกำเนิดของเขา เขารับสินบนที่หล่งโย่ว ทำการค้าในแดนกวนจง พยายามนำพูดของตระกูลตนเองปลูกฝังให้กับเหล่านักเรียน ชักนำศิษย์เหล่านี้ไปในทางที่ผิด…
ยิ่งมีคนเล่าลือกันไปเป็นจำนวนมาก พูดปากต่อปากโดยไม่มีหลักฐาน คำเล่าลือเหล่านั้นก็จะทำให้กลายเป็นเรื่องจริง ซึ่งนี่เป็นความรับผิดชอบของขุนนางฝ่ายทัดทานคำพูด คราวก่อนใช้คนเหล่านี้เป็นเครื่องมือในช่วงรัชศกอู่เต๋อ หลิวเหวินจิ้งในฐานะขุนนางเปิดราชวงศ์ก็ต้องล้มลงภายใต้คำโจมตีของคนเหล่านี้ทั้งทางวาจาและฎีกาไม่ใช่หรือ ฎีกาหลายสิบฉบับนี้คงจะสามารถดึงอวิ๋นเยี่ยให้ลงจากตำแหน่งได้กระมัง ขอเพียงแค่ไม่มีฐานันดรศักดิ์หลานเถียนโหว ตระกูลอวิ๋นก็จะเป็นเนื้อบนเขียงให้ตนเองได้บดขยี้ตามใจชอบ เขายังคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบรับของตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและตระกูลของหลี่จิ้งเพื่อวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบสำหรับเรื่องนี้อีกด้วย เมื่อดูรายการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์มากมายก่ายกองบนโต๊ะทำงานแล้ว ทั้งสามตระกูลน่าจะพึงพอใจได้กระมัง เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็ใช้ผลประโยชน์เพื่อสร้างความเกี่ยวดองกัน เพื่อผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้จะให้ละทิ้งตระกูลอวิ๋นเล็กๆ ก็ไม่ได้ยากอะไรเลย
ไม่ประมาณกำลังตนเอง ทำตัวเป็นก้างขวางคอ เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หลงงมงายอยู่ในความยุติธรรมมากเกินไปเท่านั้นเอง จึงได้ถูกกำหนดให้ต้องสูญสลายไปในวันนี้ ความรุ่งโรจน์ของหลานเถียนโหวก็สว่างไสวเพียงชั่วครู่เหมือนกับดาวตกในท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ตระกูลโต้วคือดวงจันทร์ที่สุกสกาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน และจะยังคงรุ่งโรจน์ต่อไปเหมือนที่ผ่านมา
เขาได้ยินข่าวที่ว่าตระกูลอวิ๋นส่งทหารม้าไปติดประกาศไปทั่วทุกแห่งและยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ นี่ก็เป็นเพียงการดิ้นรนก่อนตายของของตระกูลอวิ๋นเท่านั้นเอง เขาพูดกับโต้วเยี่ยนซัน การฆ่าสุนัขหนึ่งตัวเจ้าจะไม่ปล่อยให้สุนัขเห่าก่อนตายสักหน่อยหรือ
เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยออกไปฟ้องร้อง ผู้เฒ่าโต้วก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น เขาไม่เชื่อว่านายอำเภอเขตฉางอันจั่วขุยจะมีความกล้าพอที่จะรับหนังสือคำร้อง ขอเพียงแค่ไม่รับหนังสือคำร้อง หรืออวิ๋นเยี่ยจะกล้ามาหาเรื่องถึงที่ด้วยตัวเอง? หากเขาไม่มีสมองเช่นนี้ ตระกูลโต้วจะเตรียมคนสักหลายสิบชีวิตไว้ให้อวิ๋นเยี่ยฆ่า ไม่มีอะไรต้องกังวล
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาค่อนข้างกังวลก็คือ ไม่มีข่าวมาจากหล่งโย่วเลย โดยปกติจะมีการติดต่อกันเดือนละหนึ่งครั้งซึ่งเป็นกฎระเบียบ แต่ครั้งนี้ผู้ดูแลหล่งโย่วถึงกับไม่ส่งผู้ส่งสารมา แม้ว่าจะมีหลายครั้งเกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะผู้ส่งสารทุกคนประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง คราวนี้ก็เป็นเช่นนั้นหรือ
อวิ๋นเยี่ยเข้าไปในที่ว่าการแล้วหรือ ซึ่งนี่ทำให้ผู้เฒ่าโต้วค่อนข้างโกรธแค้น จั่วขุยจำเป็นต้องไว้หน้าของคนที่ใกล้ตายด้วยหรือ เมื่อยืนอยู่ในลานบ้านของตระกูลโต้วสามารถมองเห็นชายคาของตำหนักไท่จี๋ได้จากระยะไกล ซึ่งนี่คือภูมิทัศน์ที่ตระกูลโต้วตั้งใจเก็บเอาไว้โดยเฉพาะ ทุกครั้งที่เห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากชายคาตำหนัก ก็ทำให้เขาอดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้โดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ที่นั่นยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ท้องพระโรงเงียบสงัดดั่งป่าช้า เมื่อไหร่จึงจะมีคำตอบที่เด็ดขาดออกมา เพียงแค่โหวเจวี๋ยตัวเล็กๆ จำเป็นต้องปรึกษากันนานเช่นนี้เลยหรือ ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่าต้องการจะลดฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเหยียมาโดยตลอดหรือ ข้าส่งให้เจ้าหนึ่งคนแล้ว ทำไมยังไม่รีบหาข้อสรุปอีก
ผู้เฒ่าโต้วเริ่มร้อนใจ คำพูดทั้งหมดของอวิ๋นเยี่ยนั้นถูกเหล่าผู้ดูแลนำกลับมาถ่ายทอดโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่ามีผู้คนนับหมื่นก่นด่าตระกูลโต้วพร้อมกัน มือของเขาสั่นเทา เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นเต้นตุบๆ อยู่บนลำคอ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นพันๆ ปีของตระกูลโต้วต้องถูกทำลายลงในคราเดียว
ผู้หญิงชั้นต่ำในหอโคมเขียวคนหนึ่งสามารถทำชื่อเสียงซึ่งมีค่ามากกว่าทองคำของตระกูลโต้วถูกทำลายจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปการจะล้างมลทินที่ขึ้นชื่อว่าตระกูลโต้วเป็นตระกูลแห่งเทียนไข คงเป็นเพียงแค่ความฝัน
“เมื่อประตูเมืองเปิดออก พ่อค้าของตระกูลอวิ๋นก็ขี่ม้าเร็วออกนอกเมืองไปพร้อมกับหนังสือประกาศกล่าวหาตระกูลโต้ว ได้ยินว่าเมื่อพวกเขาออกไป ก็รีบกระจายตัวไปทั่วทุกแห่งทันที ข้าน้อยคิดว่าหากพวกเขาไม่ได้ติดประกาศทั่วแดนกวนจง คงไม่ยอมรามือแน่”
พ่อบ้านสูงวัยที่ผมขาวโพลนของตระกูลกำลังรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ต่อเจ้านายโดยละเอียด
ผู้เฒ่าโต้วนอนเอนกายอยู่บนแคร่เตี้ย น้ำตาไหลรินอาบแก้ม อวิ๋นเยี่ยลงมือได้เ**้ยมโหดจริงๆ สิ่งที่เปราะบางที่สุดในโลกนี้ก็คือชื่อเสียงของคนคนหนึ่ง การจะสร้างชื่อเสียงที่ดีต้องใช้ความพยายามมาหลายชั่วอายุคน แต่หากต้องการทำลายชื่อเสียงใครสักคน กลับไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจอะไรมากมายนัก คราวนี้เพื่อจัดการกับอวิ๋นเยี่ย การสูญเสียของตระกูลโต้วนั้นหนักหนาสาหัสจริงๆ แม้ว่าจะสามารถถอนรากถอนโคนตระกูลอวิ๋นได้ ก็ไม่สามารถชดเชยการสูญเสียครั้งนี้ได้ ผู้เฒ่าโต้วเริ่มเกิดความคิดที่จะจับอวิ๋นเยี่ยฉีกเป็นชิ้นๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก
ผู้เฒ่าโต้วลุกพรวดขึ้นมา รีบเดินไปยังหอป้ายวิญญาณของซันสือหลาง เทียนไขมนุษย์คนนั้นที่อยู่หน้าหอป้ายวิญญาณได้เงยหน้าและอ้าปากอยู่ เปลวเทียนยังคงลุกไหม้อยู่ ครั้นมองดูรอยยิ้มที่เจ็บปวดของลวี่จู๋ เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าโต้วไม่มีความสุขเลย ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขาไปเยี่ยมหลานชายที่หอป้ายวิญญาณ ก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่หุ่นเทียนไขสักครั้งเพื่อระบายความโกรธแค้น เมื่อคิดถึงว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะหญิงชั้นต่ำคนนี้ เขาจึงชักดาบขององครักษ์ออกมา เงื้อมือขึ้นแล้วเหวี่ยงฟันลงไปที่ศพของลวี่จู๋
มนุษย์เทียนไขนั้นทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ และผู้เฒ่าโต้วเองก็แรงไม่พอ ยังไม่ทันได้ฟันศพจนแยกร่าง ดาบก็ฝังติดอยู่ตรงลำคอ ผู้เฒ่าโต้วตบๆ เอวที่เคล็ดเจ็บ ขณะที่กำลังจะให้ทหารองครักษ์นำมนุษย์เทียนไขไปเผาทิ้งที่ลานหลังบ้าน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอึกทึกครึกโครมดังใกล้เข้ามา
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยชุดเจ้าหน้าที่ศาลเข้ามายังหอป้ายวิญญาณ เห็นมนุษย์เทียนไขล้มลงอยู่บนพื้น ไม่พูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แบกมนุษย์เทียนไขขึ้นมาแล้วจากไป
“บังอาจ! สุนัขรับใช้ที่ไหนกัน ตระกูลโต้วเป็นสถานที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มาอยากจะไปก็ไปหรือ!” ผู้เฒ่าโต้วโกรธสุดขีด พวกทหารองครักษ์และพ่อบ้านมัวทำอะไรกันอยู่ จึงได้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ศาลบุกรุกเข้ามาในจวน ยังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาหรือไม่
ชายคนหนึ่งผู้เป็นหัวหน้าไม่แม้แต่จะประสานมือ เพียงแค่ยิ้มตาหยีและพูดกับผู้เฒ่าโต้วว่า “ขอกงเหยียอย่าเพิ่งโกรธ ข้าน้อยนั้นทำตามหน้าที่ หากท่านไม่คิดที่จะปิดปากพวกข้าน้อยแล้วละก็ ขอได้โปรดเปิดทางด้วย เพื่อที่ข้าน้อยจะได้กลับไปรายงานได้”
“พวกเจ้าเป็นใคร รับคำสั่งจากใคร” ผู้เฒ่าโต้วสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เรื่องในวันนี้นั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่ศาลกล้าบุกเข้ามาถึงโถงด้านหลังของตระกูลโต้วกัน
“ข้าน้อยเป็นเจ้าหน้าที่ศาลของเขตฉางอัน แน่นอนว่าได้รับคำสั่งจากนายอำเภอเพื่อมานำศพของแม่นางลวี่จู๋ซึ่งถูกทำเป็นเทียนไข จุ๊ๆๆ หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ตระกูลโต้วยังทำได้ลงคอ ช่างน่าเสียดาย” ชายคนนั้นมองดูลวี่จู๋ที่ถูกทำเป็นเทียนไขด้วยสีหน้าสงสารระคนเสียดาย ก่อนจะถอนหายใจอย่างแรง
“น้องชายท่านนี้ ถ้าเจ้ายอมถอยสักก้าว ตระกูลโต้วจะรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ป้ายหยกชิ้นนี้มีมูลค่าห้าร้อยก้วน มอบให้พวกเจ้าเอาไว้ดื่มเหล้า ถือว่าตระกูลโต้วข้าติดหนี้น้ำใจพวกเจ้าครั้งหนึ่งเป็นเช่นไร” ในมือผู้เฒ่าโต้วหงายหยกลายนกยูงคู่ที่มีขนหางสีเขียว ดวงตาแดงราวกับทับทิม จะงอยปากยาวสีน้ำตาลซึ่งดูเป็นธรรมชาติ เพียงแค่มองก็รู้ว่ามันมีราคาไม่ธรรมดา
ชายผู้เป็นหัวหน้าก้าวไปข้างหน้าหยิบหยกขึ้น มองดูครู่หนึ่งแล้วเก็บใส่อกเสื้อ พูดกับผู้เฒ่าโต้วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “มีเงินก็ค่อยเดินเรื่องง่ายหน่อย” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมาพูดกับลูกน้องว่า “พี่น้อง ข้ารับเงินมาแล้ว พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจ ตกลงกันแล้วว่าให้ถอยก้าวหนึ่ง พวกเราถอยให้เลยสองก้าว อย่าให้ผู้อื่นว่าเราไม่รักษาสัจจะ”
ภายใต้การสังเกตของผู้เฒ่าโต้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่นั้นก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกต่อ
ความอัปยศอดสูเช่นนี้มีหรือผู้เฒ่าโต้วจะสามารถทนได้ ด้วยคำสั่งเพียงคำเดียว ทหารยามรักษาความปลอดภัยของตระกูลโต้วก็กรูเข้ามา พวกเขาไม่ต้องการทำร้ายใคร เพียงแค่ต้องการชิงศพกลับมา ใครจะรู้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลกลุ่มนี้นั้นโหดเ**้ยมกว่าปกติมาก ไม้พลองแดงในมือร่ายรำแผลงฤทธิ์อย่างเต็มที่ ทหารยามรักษาความปลอดภัยของตระกูลโต้วนั้นคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ใครจะรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ศาลกลุ่มนี้พวกเขากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย เพียงชั่วพริบตากว่าสิบคนก็ถูกตีจนกระดูกหนักเอ็นฉีก ที่เหลือก็ยกมือกุมศีรษะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ชายผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะฮ่าๆ ให้กับผู้เฒ่าโต้ว อุ้มมนุษย์เทียนไขขึ้นมาจากพื้นแล้วออกจากลานหลังบ้านไป
พ่อบ้านชราช่วยพยุงผู้นำตระกูลที่เป็นลมสลบไป ทั้งบีบจุดอิ่งตง[1]และกรอกน้ำ ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้เฒ่าโต้วจึงฟื้นตื่นขึ้น ประโยคแรกหลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นก็คือ ให้พ่อบ้านตามโต้วเยี่ยนซันที่อยู่นอกวังกลับมาโดยบอกว่ามีงานจะมอบหมายให้ไปทำ
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินตั้งใจจะทำถึงขั้นไหน ขณะที่เขากำลังลังเลที่จะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นอีกหน่อยหรือไม่ เขาเห็นหงเฉิงเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาโดยหนีบหญิงเปลือยกายอยู่ข้างลำตัว ร่างกายโค้งงอผิดธรรมชาติ สองมือไพล่หลังดูเหมือนกำลังทำการคารวะอยู่
หงเฉิงนำศพวางไว้ที่ประตูของที่ว่าการ กระแอมเสียงและตะโกนว่า “นี่ก็คือมนุษย์เทียนไขของตระกูลโต้วคนนั้น เพื่อนบ้านทุกคนจงดูให้ดี ในปากยังมีไส้ตะเกียงอยู่ด้วย เมื่อจุดก็จะติดไฟขึ้น” พูดจบก็ใช้แท่งจุดไฟที่ใส้ตะเกียงจริงๆ
เมื่อเห็นฉากนี้ หญิงอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งก็รีบวิ่งมา แล้วร้องเพียงประโยคเดียว “นานนานของข้า!” จากนั้นก็กอดลวี่จู๋นิ่งไม่ขยับ ปากก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญราวกับเสียงสัตว์ร้ายขณะกำลังจะตาย ประชาชนชาวเมืองฉางอันที่อยู่หน้าประตูที่ว่าการไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตา
ผ่านไปนาน หญิงคนนั้นก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย หงเฉิงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ จึงดึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาเบาๆ เห็นเพียงดวงตาของหญิงนางนั้นเบิกกว้าง มีเลือดและน้ำตาไหล ในปากคาบไส้ตะเกียงครึ่งเส้นสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว
อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมออกแล้วคลุมให้ลวี่จู๋ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนล้า นั่งขัดสมาธิเฝ้าทั้งสองศพ นอกจากร้องไห้แล้วก็ไม่พูดอะไรเลย
แดนกวนจงแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดพวกเลือดร้อน ก่อนหน้ายังมีความคิดที่จะดูเรื่องสนุก แต่คราวนี้ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนขึ้น “ไปที่ตระกูลโต้วเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้” ตลอดทางก็มีคนเข้าร่วมมากขึ้น ขบวนจึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เสียงตะโกนโห่ร้องกึกก้องไปทั่วเมือง
หงเฉิงถามอวิ๋นเยี่ยด้วยรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่า “อวิ๋นโหว พวกเราควรทำอย่างไรดี ตอนนี้ชาวบ้านทั้งตรอกบ้าไปหมดแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นมอง แต่ดวงตาไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย พูดอย่างห่อเ**่ยวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าต้องการหรือ”
“ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวฉางอันจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ด้วยท่าทีในตอนนี้ จะให้บุกไปถึงวังก็ยังได้เลย” หงเฉิงเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเขาโดยไม่รู้ตัว
“ก็ดี เป็นเช่นนี้ก็ดี ให้พวกตระกูลใหญ่ได้เห็นบ้างว่านี่คือพลังของประชาชน นี่คือพลังของประชาชนที่พวกเขาชอบพูดว่าอ่อนแอ หลังจากรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา บางทีอาจจะมีมนุษย์เทียนไขน้อยลงอีกหลายคน บางทีอาจจะลดการทารุณกรรมอย่างโหดร้ายเหล่านั้นลงได้ ลวี่จู๋ เจ้าดูสิ เจ้าได้แก้แค้นให้ตัวเองแล้ว คนเหล่านั้นที่ทรมานเจ้า ข้าคิดว่าพวกเขาจะอยู่ได้ไม่เกินวันนี้”
ถึงเวลาแล้ว แต่เสียงฆ้องบอกเวลาตอนกลางคืนยังไม่ดังขึ้น มีกลุ่มควันหนาที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางลอยขึ้นมา ในที่สุดจินอู๋เว่ยก็เคลื่อนไหวแล้ว บนท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าม้าอย่างอลหม่าน
อวิ๋นเยี่ยตบร่างที่แข็งทื่อของลวี่จู๋แล้วพูดกับนางด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดฝ่าบาทก็ควรพูดคำพูดที่โด่งดังประโยคนั้นของเขาแล้ว ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรนะ อ้อ ‘น้ำสามารถลอยเรือได้ แต่ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน’ ด้วยประโยคนี้จึงทำให้มีคนตายน้อยลงอีกมาก เจ้าเยี่ยมมาก ลวี่จู๋ เจ้าเป็นวีรบุรุษ จริงๆ นะ ไม่ได้โกหกเจ้า!”
——
[1] จุดอิ่งตง เป็นบริเวณร่องเล็กๆ ใต้ปลายจมูกเหนือริมฝีปากบน