ตอนที่ 600 กระหม่อมมีความเห็นที่ขัดแย้ง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 600 กระหม่อมมีความเห็นที่ขัดแย้ง

เดือนสี่ วันที่ยี่สิบเก้า ยามเหม่า

เมื่อท้องนภาเริ่มปรากฏสีฟ้าคราม ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ตื่นนอนขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน รับประทานมื้อเช้า

สวี่ซินเหยียนสวมหน้ากากผ้าเพื่อปิดบังใบหน้า จากนั้นก็ขับรถม้าพาฟู่เสี่ยวกวนมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

เมื่อคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย ความผิดข้อหากบฏนับเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงและยากที่จะให้อภัย แต่การเอาผิดทั้งตระกูลก็มิใช่สิ่งที่สมควรเช่นกัน

เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะช่วยบรรดาสีฉวินเหมย มิใช่ว่าเขาเป็นนักบุญ แต่นี่คือทัศนคติของทั้งสองโลกที่กำลังขัดแย้งกัน จึงทำให้เขายากที่จะสงบจิตใจลงได้

อีกประการหนึ่ง คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ซึ่งเขาต้องการผู้มีความสามารถเหล่านี้

รถม้าถูกจอดลงตรงหน้าประตูวัง ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า สวี่ซินเหยียนยกยิ้มและโบกมืออำลาเขา มิได้ต่างจากภรรยาที่มาส่งสามีทำงานสักเท่าใดนัก

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในพระราชวัง ท้องนภาเพิ่งเริ่มสว่างขึ้น ดังนั้นโคมไฟในพระราชวังจึงยังส่องสว่างอยู่ เขาเดินเข้าไปในท้องพระโรงเฉิงเทียนท่ามกลางแสงสลัวนี้

ในลานด้านนอกของท้องพระโรงเฉิงเทียน นอกจากราชองครักษ์ที่กำลังปฏิบัติงานก็มิมีขุนนางคนใดอยู่เลย เขาคงมาสายไปแล้วสินะ

เมื่อเดินเข้าไปในท้องพระโรงเฉิงเทียน ขุนนางคนที่มักยืนอยู่ท้ายสุดก็มองซ้ายมองขวาทันที…

ไอหยา ฟู่เจวี๋ยเยกลับมาแล้ว ? !

ขุนนางในแถวสุดท้ายส่งเสียงซุบซิบกันงึมงำ ส่งผลให้ขุนนางด้านหน้าตกอกตกใจ ดังนั้นในท้องพระโรงจึงเกิดความโกลาหลขึ้นทันพลัน ฮ่องเต้เองก็ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมาด้วยความไม่พอพระทัย แต่ทันใดนั้นสีพระพักตร์ก็ฉายรอยแย้มพระโอษฐ์ออกมา

พระองค์รู้ว่าเมื่อวานนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางกลับถึงจวนแล้ว เดิมทีทรงมีพระประสงค์ให้เจ้านี่พักผ่อนสักสองสามวันเสียก่อน คาดมิถึงว่าเจ้าหมอนี่จะขยันขันแข็งมากกว่าแต่ก่อนมิน้อยเลยทีเดียว ถึงกับเดินทางมาเข้าร่วมประชุมยามเช้าได้

ทว่าฝ่าบาทมิได้เรียกฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในทันที ทรงก้มพระพักตร์แล้วอ่านสาส์นในพระหัตถ์ออกมา “ต่งซิวจิ่น เต้าถายแห่งมณฑลเหอหนานกล่าวว่า บัดนี้เขตฮวงโหที่อยู่ภายใต้การปกครองได้มีราษฎรน้อยลงกว่า 600,000 คน ส่วนหนึ่งคือผู้ประสบปัญหาภัยพิบัติพวกเขาได้ทำการอพยพออกไปจำนวน 380,000 คน และอีกส่วนหนึ่งเป็นราษฎรจำนวน 220,000 คนที่อพยพไปยังว่อเฟิงเต้า…”

ฝ่าบาทเงยพระพักตร์ขึ้น “นโยบายการบรรเทาภัยพิบัติที่แม่น้ำฮวงโหนั้น ข้าได้ให้ความสำคัญเสมอมา เพียงแต่ก่อนหน้านี้คลังของราชวงศ์มิได้มีมากพอ จึงทำให้ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน บัดนี้ข้ามีเงินมากพอแล้ว ดังนั้นนโยบายการดูแลสองฝั่งแม่น้ำฮวงโหจึงสมควรลงมือจัดการเสียที ข้าเกรงว่าในปีนี้แม่น้ำฮวงโหจะเอ่อล้นขึ้นมาอีก และเกรงว่าพื้นที่ตรงนั้นจะกลายเป็นพื้นที่รกร้างมิมีแม้แต่เสียงนกเสียงกาเป็นแน่”

“เสนาบดีปี้”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

ปี้ตงโค้งคารวะแล้วก้าวออกมาจากแถว หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้

“การประชุมในวันนี้ใจความสำคัญคือเรื่องปัญหาของแม่น้ำฮวงโห เจ้าลองกล่าวมาสิว่ามีแผนการใดหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท…กระหม่อมคิดว่าบัดนี้อาจจะล่วงเลยช่วงเวลาอันดีที่จะแก้ไขเรื่องแม่น้ำฮวงโหเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้กัน ? ”

“วันนี้คือวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสี่ ก้อนน้ำแข็งในแม่น้ำฮวงโหได้ละลายและเริ่มเข้าสู่ช่วงน้ำหลาก ซึ่งแผนการแก้ไขแม่น้ำฮวงโหควรเลือกทำในช่วงฤดูหนาวตอนที่น้ำจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นกระหม่อมเห็นว่าพวกเราควรจะจัดหาแรงงานเพื่อขยายลำน้ำในช่วงฤดูหนาวนี้ ตั้งแต่เดือนสิบเอ็ดไปจนถึงเดือนสองของปีถัดไป โดยกรมอุตสาหกรรมจะส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำไป และให้ผู้ดูแลเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของเต้าถายไปจัดหาแรงงาน แต่ละเขตแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง ก็น่าจะมิมีปัญหาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินปี้ตงกล่าวเรื่องการแก้ไขปัญหาแม่น้ำฮวงโหนี้เป็นคราที่สองแล้ว ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วมุ่นแล้วเดินตรงเข้าไป

เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก อีกทั้งยังเป็นวิธีการแก้ไขที่ผิด หากมิขัดขวางการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ เกรงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาทีหลัง

“กระหม่อม ฟู่เสี่ยวกวนคารวะฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นที่ขัดแย้งพ่ะย่ะค่ะ”

บรรดาขุนนางต่างก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน ไอหยา… ฟู่เจวี๋ยเยเพิ่งจะกลับจากทำสงครามมา เรื่องราวการต่อสู้นั้นได้แพร่หลายในหมู่ราษฎร กล่าวว่ากองกำลังดาบเทวะเพียง 3,000 นายสามารถเอาชนะทหารของสีฮวาจำนวน 130,000 นายได้ อีกทั้งยังขับร้องเพลงฉู่จนทำให้ทหารของเซวี๋ยติ้งชานจำนวน 150,000 นายยอมจำนน เขาสามารถตัดศีรษะเซวี๋ยติ้งชานมาได้โดยที่ทหารมิต้องนองเลือด อีกทั้งยังมอบทหารเก่าแก่ที่มีประสบการณ์จำนวนหนึ่งแสนกว่านายให้กับเฟ่ยอันอีกด้วย

ความเก่งกาจของเจ้าหมอนี่ ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างก็รู้ดี เพียงแต่บัดนี้ฝ่าบาททรงเจรจากับเสนาบดีปี้เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หรือฟู่เจวี๋ยเยจะมีความรู้ทางด้านนี้ด้วยกัน ?

ฝ่าบาทเองก็ทรงคิดเช่นนี้ ข้ากำลังปรึกษาหารือเรื่องงานอยู่ เจ้าเข้ามาขัดจังหวะเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?

มีเพียงเยี่ยนเป่ยซีเท่านั้นที่ยกมือขึ้นลูบเครายาวสีขาว แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะลอบยิ้มออกมา

เมื่อพบว่าฝ่าบาทมิได้ตรัสสิ่งใดออกมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวขึ้นมาว่า “กระหม่อมมีความเห็นตรงกันข้ามกับท่านเสนาบดีปี้ แต่มิใช่เรื่องของเวลา ช่วงเวลาที่ท่านเสนาบดีปี้กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว กระหม่อมเองก็เห็นเช่นเดียวกันว่าให้ดำเนินการในช่วงที่แม่น้ำแข็งตัวจึงจะเป็นผลดีที่สุด

เพียงแต่เรื่องที่ท่านเสนาบดีปี้กล่าวว่าจะขยายลำน้ำนั้น กระหม่อมมิเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงได้สติกลับคืนมาจึงตรัสถาม “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนี้ ? ”

“เนื่องจากกระหม่อมคิดว่าควรทำให้แม่น้ำแคบลง ! ”

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป เหล่าขุนนางต่างก็พากันส่งเสียงฮือฮาออกมา

พวกเขาต้องการแก้ไขปัญหาอุทกภัย แน่นอนว่าจะต้องทำให้แม่น้ำไหลได้สะดวกสิถึงจะถูก เมื่อแม่น้ำฮวงโหเอ่อล้นขึ้นมา การขยายลำน้ำให้กว้างขึ้นจึงจะสามารถจุน้ำได้มากกว่าเดิม นี่คือหลักการพื้นฐานที่ชัดเจนยิ่ง ฟู่เจวี๋ยเยอาจจะไร้ความรู้เรื่องนี้อย่างแท้จริง

ฝ่าบาทเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน เจ้าหมอนี่กำลังเอ่ยสิ่งใดออกมากัน ?

“อืม…เจ้าถอยออกไปก่อน”

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลความจริง!”

ฮ่องเต้เบ้พระโอษฐ์แล้วลอบนึกอยู่ในใจว่า ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วเหตุใดยังมิยอมถอยอีกกัน ?

“ข้ารู้ดีว่าเจ้ามีความสามารถ แต่มิมีผู้ใดรอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง การแก้ไขปัญหาอุทกภัยเป็นเรื่องที่ควรจะให้ผู้มีความสามารถเฉพาะทางแก้ไขจึงจะดี”

ให้ตายเถอะ มิเชื่อข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

“ฝ่าบาท กระหม่อมก็คือผู้มีความสามารถเฉพาะด้านที่พระองค์ทรงตรัสถึง…อย่าได้จ้องมองกระหม่อมเยี่ยงนั้น ช่างน่ากลัวยิ่ง ขอฝ่าบาททรงรับฟังสิ่งที่กระหม่อมจะกล่าวต่อไปนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังมิสายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้จะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ?

“อืมอืมอืม เจ้าจงว่ามา”

“แม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีนั้นแตกต่างกัน เหตุใดมันจึงถูกเรียกว่าแม่น้ำฮวงโห เนื่องจากมันมีสีเหลืองพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เหล่าขุนนางพากันหัวเราะเยาะเสียงดัง ฝ่าบาทจึงจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำมาใส่ใจ เขาหันหลังกลับไปทางขุนนางทั้งหลาย หรี่ตา ยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ทุกท่าน เหตุใดแม่น้ำฮวงโหจึงมีสีเหลือง ? เอาล่ะ ! ดูพวกท่านหัวเราะอย่างมีความสุขกันเสียจริง ไหนพวกท่านลองกล่าวมาสิ”

ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังจังติ้งเฟิง ชื่อหลางแห่งกรมพิธีการ “ท่านนั่นแหละท่านจัง ท่านลองกล่าวมาสิ”

จังติ้งเฟิงอยากจะตบหน้าตนเองเสียจริง ให้ตายสิตัวข้า หัวเราะออกมาเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? เขาคือฟู่เจวี๋ยเยเชียวนะ ! หัวหน้าของข้าก็เป็นท่านลุงใหญ่ของเขาอีกด้วย…

“เอ่อ คือ ข้าน้อยมิได้หัวเราะเรื่องที่เจวี๋ยเยกล่าวขอรับ”

“เช่นนั้นท่านหัวเราะอันใดกัน ? ”

“คือ…ข้าน้อยกำลังนึกถึงเรื่องตลกที่อนุภรรยาคนใหม่กล่าวให้ข้าน้อยฟังเท่านั้น เจวี๋ยเยอย่าได้นำมาใส่ใจเลยขอรับ”

ไอ้นี่ช่างลื่นไหลดีเสียจริง “เช่นนั้นท่านจงกล่าวมาว่าเหตุใดแม่น้ำฮวงโหจึงมีสีเหลือง ? ”

“เรื่องนี้…ข้าน้อยได้ทราบมาว่าเพราะมีดินโคลนมากจนเกินไป”

“ท่านจังกล่าวได้ถูกต้องแล้ว…” สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกวาดมองไปยังเหล่าขุนนาง “ต้นน้ำของแม่น้ำฮวงโหมีตะกอนอยู่อย่างมหาศาล น้ำในแม่น้ำฮวงโหก็ไหลมาพร้อมกับตะกอนเหล่านี้ ตะกอนจะจมลงสู่ก้นแม่น้ำตั้งแต่ต้นหรืออาจจะไหลไปยังปลายน้ำด้วยก็ได้

สิ่งเหล่านั้นคือตะกอนดินทราย พวกมันจะทับถมกันตลอดทั้งสายน้ำ และจะทำให้ด้านใต้มีขนาดที่สูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่น้ำฮวงโหเอ่อล้นตลิ่งในทุก ๆ ปี

ดังนั้น วิธีการที่จะขยายลำน้ำจึงเป็นตัวเลือกสุดท้าย มิสามารถนำมาใช้ได้จริง เนื่องจากตะกอนดินทรายจะยังคงไหลมาจมดิ่งอยู่ใต้น้ำดังเดิม ยิ่งเราขยายลำน้ำให้กว้างขึ้น ตะกอนดินทรายก็จะสูงขึ้นเช่นกัน ท้ายที่สุดก็จะทำให้เกิดปัญหาเดิม ๆ ตามมา

ส่วนความเห็นของข้านั้น ก็คือสร้างเขื่อนและใช้น้ำต่อสู้กับทราย !

อีกอย่างหนึ่ง เขื่อนเหล่านั้นจะสร้างติดกันมิได้ จำเป็นต้องเว้นช่องว่างในส่วนที่ไหลเชี่ยวของแม่น้ำ และสร้างเขื่อนขึ้นมาอย่างน้อย 3 แห่ง เพื่อใช้เป็นที่เก็บน้ำ…”

ท้องพระโรงเงียบลงทันใด มีเพียงเสียงของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังอธิบายอยู่เท่านั้น