ตอนที่ 599 อาทิตย์อัสดงยังวนอยู่หลายครา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 599 อาทิตย์อัสดงยังวนอยู่หลายครา

ผ้าไหมเยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่คือผ้าไหมสีขาวสะอาดปักลายผีเสื้อสีเหลืองสองตัว !

ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า ผ้าไหมผืนนั้นก็ได้ปลิวมากระทบกับใบหน้าของตนเข้าอย่างพอดิบพอดี

เขาชะงักเล็กน้อย ดึงผ้าไหมออกมา มองสำรวจโดยละเอียด คุณภาพดียิ่ง เป็นการถักที่ประณีตราวกับการปักแบบซู เขาสอดผ้าไหมเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ได้รับการต้อนรับจากคนเฝ้าประตูหลี่เจิ้งแล้วพากลุ่มคนที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเข้าจวนไป

กลับมาค่อนข้างกะทันหัน เหล่าภรรยาจึงมิทราบ พวกนางกำลังเล่นไพ่นกกระจอกกันอย่างสนุกสนานจึงมิได้ออกมาต้อนรับแต่อย่างใด

ในตอนที่เซวี๋ยเอ๋อร์กำลังจะไปรายงาน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เรียกนางเอาไว้ “ให้สองคนนี้พักที่เรือนทางปีกตะวันตก พาพวกเขาไปล้างตัวเสียหน่อย ประเดี๋ยวมาทานอาหารด้วยกัน… กำชับโรงครัวให้ทำมาหลายอย่างหน่อย ข้าหิวแล้ว”

“บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้… เชิญคุณชายเจ้าค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวน สวี่ซินเหยียน และซูซู เดินตรงไปทางเรือนหลัก ก้าวผ่านประตูพระจันทร์เข้าไปในเรือน เมื่อเดินผ่านฉากทิวทัศน์ไปจึงได้ยินเสียงไพ่นกกระจอก เสียงสนทนา และเสียงหัวเราะดังมาจากหลีเฉินซวน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่ซูวางระเบิดอีกแล้ว ทั้งยังเป็นระเบิดที่ดังติดกันสามครา พี่ซู พี่คิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่ ? ”

“ข้ามิได้คิดถึงเขาแต่อย่างใด เจ้าเซ่อนั่น ไปคิดถึงเขาเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน มามามา เล่นกันอีกรอบ”

ได้ยินเสียงสับไพ่ดังขึ้นแผ่วเบา จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พี่เวิ่นหวิน พี่บอกว่าท่านพี่น่าจะกลับมาวันนี้มิใช่หรือ ท้องนภาจะมืดอยู่แล้วแต่เหตุใดเขายังมิกลับมาอีกกัน ต้องส่งคนไปรอท่านพี่ที่ประตูเมืองหรือไม่ ? ”

“เขายุ่งถึงเพียงนั้น ผู้ใดจะไปรู้ได้ว่าเขาพักแรมอยู่ที่ใดจนเลยเวลาออกไปอีกเล่า อย่าร้อนใจไปเลย เกรงว่าหากเขากลับมา พวกเจ้าจะรับมิไหว”

หรือว่าภาพลักษณ์กุลสตรีในเวลาปกติของหยูเวิ่นหวินจะถูกถอดออกไปแล้ว ?

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปในหลีเฉินซวน “พวกนางทั้งสองรับมิไหว แต่เจ้ารับไหวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อ่า… ท่านพี่… ! ”

สตรีทั้งสามลุกขึ้นยืนในทันใด ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขและปรี่เข้าไปหาเขาโดยพร้อมเพรียง

ซูซูเบะริมฝีปาก ซูโหรวลุกขึ้นยืนอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ลากนางเดินออกไป

สวี่ซินเหยียนลอบมองด้วยความอิจฉา และกระดากเกินกว่าจะอยู่ด้วยในยามนี้ จึงเดินตามซูโหรวออกไป

ในหลีเฉินซวนอบอุ่นขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนโอบซ้ายกอดขวาและจุมพิตทีละคน

ไพ่นกกระจอกย่อมถูกยกออกไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนอดทนต่อแรงกระตุ้นในใจ เขาไม่ได้ลงมือแต่อย่างใดเพราะต่งชูหลานกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวเพิ่งจะตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าเท่านั้น และยังเป็นช่วงที่อันตรายอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปอาบน้ำให้สบายกาย เปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ที่สะอาดสะอ้าน จากนั้นก็มานั่งอยู่ในศาลาเถาหรานอย่างสบายอารมณ์

ต่งชูหลานต้มชาหนึ่งกาอย่างมีความสุข เยี่ยนเสี่ยวโหลวยืนอยู่ด้านหลังและกำลังทุบหลังให้กับเขา หยูเวิ่นหวินนั่งประคองพุงโตอยู่ด้านข้างและมองเขาอย่างมีความสุข

“ท่านพี่ผอมลงเยอะเลยนี่ แต่ท่าทางมิเลว ชดเชยเข้าไปในช่วงหลายวันนี้น่าจะฟื้นคืนกลับมาได้บ้าง… บอกกันมาตามตรงว่า ท่านได้แอบไปเด็ดดอกหญ้าข้างทางมาบ้างหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนแสร้งทำหน้าบูดบึ้ง ยกสองมือขึ้นกอดอก “ข้าไปทำสงครามนะ เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมาทันพลัน “หมายความว่า… หากมิมีสงคราม ท่านก็จะมีเวลาว่างใช่หรือไม่ ? ”

“นี่… ! ” ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าแรงทุบที่หลังเริ่มแรงขึ้น เขายิ้มอ่อน “สามีพวกเจ้าต่อให้มีความคิดแต่ก็มิมีความกล้าหรอก ที่จวนมีสตรีงดงามอยู่ตั้ง 3 คน ข้าจะไปหาของคาวกินข้างนอกอีกทำไมกัน ? ”

“หึ ! ” ต่งชูหลานผงกหัว “พวกเราทั้งสามล้วนก็ตั้งครรภ์แล้ว มิมีกำลังมารบรากับท่านอีก ท่านในตอนนี้อยู่ท่ามกลางแสงสว่างยามรุ่งอรุณก็เหมือนกับดอกไม้ป่าที่สวยสดงดงามทั้งยังส่งกลิ่นดึงดูดยั่วยวนผู้คน ย่อมมีผีเสื้อเข้ามาดอมดมอยู่แล้ว ท่านจะปฏิเสธได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

มิใช่ ! เหตุใดสตรีทั้งสามพอตั้งครรภ์แล้วถึงได้ขี้สงสัยกันนัก ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย นี่ก็บอกได้มากพอแล้วถึงความสำคัญของเขาในใจของเหล่าภรรยา

เขาหัวเราะเบา ๆ “ข้าหาใช่ดอกไม้ป่า ข้าจะเป็นต้นไมยราบเท่านั้น แตะเพียงแผ่วเบาก็จะประกบปิดในทันใด”

“ปากเสีย…” หยูเวิ่นหวินส่งเสียงขัดใจเบา ๆ และเอ่ยถามอย่างสงสัย “สงคราม… น่าเวทนาใช่หรือไม่ ? ”

“ย่อมน่าเวทนา ต้องคร่าชีวิตผู้คนมากมาย แต่สามีของพวกเจ้ามีเทพคอยพิทักษ์อยู่ ข้าจะเล่าให้ฟัง ที่ด่านชีผาน ข้าปรี่เข้าไปหาสีฮวา… พวกเจ้ารู้จักสีฮวาใช่หรือไม่ ? นางคือภรรยาของเซวี๋ยติ้งชาน ข้าไปยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพ 130,000 ดังเจ้านายของนาง จนทำให้เหล่าทหารของนางเกรงกลัวเสียจนต้องทิ้งเกราะอาวุธและยกมือขึ้นยอมจำนน สีฮวาผู้นั้นถูกสามีของพวกเจ้ายิงปืนใส่ 2 นัด ศีรษะนั้น… เหมือนว่าจะถูกส่งกลับมายังวังหลวงแล้ว คาดว่าฝ่าบาทคงได้รับแล้วเช่นกัน”

ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวทอประกาย หยุดมือลงและเอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านพี่เก่งกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? ”

“เจ้าเชื่อจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ วาจาของเขาหลอกผู้คนมานักต่อนักแล้ว เยี่ยงไรก็ต้องมีเหตุการณ์นองเลือดเป็นแน่” ต่งชูหลานเอ่ยพร้อมกับเหลือบมองไปทางเยี่ยนเสี่ยวโหลว

“ไอหยา… ข้าก็คิดแบบนั้นอยู่จริง ๆ ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ทันใดนั้นก็นึกถึงสีฉวินเหมยขึ้นมา จากนั้นจึงปรากฏสีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “ตระกูลสีถูกยึดทรัพย์สินแล้วหรือยัง ? ”

“ย่อมถูกยึดไปแล้ว แต่เซวี๋ยติ้งชานและสีฮวาได้เตรียมการสำหรับความพ่ายแพ้ไว้เนิ่นนานแล้วเช่นกัน ยามที่เสด็จพ่อออกราชโองการให้ยึดทรัพย์ หนิงหยู่ชุนจากจวนผู้ว่าการเขตจินหลิงก็ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่รุดไปที่จวนสี จากนั้นจึงได้พบว่าที่นั่นกลายเป็นเรือนร้างไปเสียแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันพลัน “หนีไปหมดแล้วหรือ ? ”

“มิได้หนีไปทั้งหมด สีฉวินเหมยแห่งตระกูลสีเป็นเสนาบดีกรมขุนนาง เขามิได้หนีไปจึงถูกจับกุมตัวเอาไว้ บัดนี้ถูกขังอยู่ในคุกของศาลต้าหลี่ บุตรคนโตของเขา สีส่วง ปั๋งเหยี่ยนชิวเหวยเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอของเขตกง พื้นที่เหอหนานก็ถูกปลดออกจากราชการเช่นกัน เกรงว่ากำลังถูกพาตัวกลับมายังเมืองหลวง

พระสนมเซวี๋ยปิงชิงแห่งตระกูลเซวี๋ยถูกจับไปขังไว้ที่ตำหนักเย็น ผู้ประสานงานในสำนักตรวจสอบพระราชโองการ เซวี๋ยไคเหลียน ก็ถูกขังในคุกแล้วเช่นกัน เซวี๋ยจือชิวที่เหมือนจะเป็นไช้โจวจือโจวเส้นทางใต้ของแม่น้ำหวงเหอ ก็ถูกปลดออกจากราชการและถูกจับกุมมายังเมืองหลวงแล้ว ทั้งยังมีเซวี๋ยตงหลินอีก 1 คน เขาเป็นจิ้นซื่อสิบอันดับแรกเมื่อปีที่แล้ว ข้าจำมิได้ว่าถูกให้ไปประจำอยู่ที่ใด แต่เยี่ยงไรก็ย่อมถูกจับกุมมายังเมืองหลวงอย่างแน่นอน”

หยูเวิ่นหวินเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “จิ้นซื่อของปีที่แล้ว จอหงวนชืออีหมิงเข้าคุกไปเป็นคนแรก ปั๋งเหยี่ยนสีส่วงก็ยากที่จะหนีจากเคราะห์ร้ายครานี้แล้ว สามอันดับแรกจึงเหลือเพียงทั่นฮวา ฟางเหวินซิง เฮ้อ… ช่างอาภัพอย่างแท้จริง เรื่องทางโลกก็เหมือนหมากรุก”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น เขามิสามารถยอมรับวิธีการนี้ได้เลย

พวกสีฉวินเหมยมิได้ก่อกบฏหรือทำผิดอันใด แต่เหตุใดพวกเขาจึงมีความผิดได้กัน ส่วนเซวี๋ยไคเหลียนติดตามฉินฮุ่ยจือไป คนผู้นี้จึงเป็นข้อยกเว้น

ต่อให้เป็นชืออีหมิง ถึงแม้จะเคยขัดแย้งกันมาก่อน แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนต่างก็มิใช่ปัญหา ตรากตรำมานานนับสิบปีกว่าจะได้เป็นจอหงวนยากลำบากยิ่ง เพิ่งจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างเต็มตัว แต่แล้วก็ต้องสิ้นหวัง มิเพียงแต่เป็นความเสียใจของชืออีหมิงเท่านั้น นี่ถือว่าเป็นการสูญเสียของราชวงศ์หยู

ยังจำได้ว่าในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนหนึ่ง วันที่สอง เยี่ยนซีเหวินได้จัดงานเลี้ยงที่หอซื่อฟาง ทั้งยังได้เชิญชืออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง เฟ่ยเชียน ฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ หวงเฉิง และยังมีจัวหลิวหวินมาร่วมงานด้วย

บทประพันธ์ “เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว” ถูกประพันธ์ขึ้นมาในวันนั้น ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียง 1 ปีกับอีก 4 เดือนเท่านั้น ชืออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง และเฟ่ยเชียนได้รับหายนะจนต้องเข้าไปนอนในคุกเสียแล้ว

หากกล่าวถึงก็ยังเป็นโทษทางการกบฏที่ยากจะช่วยได้ เรื่องเหล่านี้ช่างน่าปวดหัวมากยิ่งนัก !

ส่วนอีก 4 คนที่เหลือนั้น คงต้องไปยังกรมคลังเพื่อทำความเข้าใจเสียหน่อยแล้วว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดบ้าง มิรู้เช่นกันว่ายังอยู่ดีมีสุขหรือไม่ เขายุ่งจนลืมคนเหล่านั้นไปแล้วจริง ๆ

“ท่านกำลังคิดอันใดอยู่กัน ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถาม

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ “ภูเขายังอยู่ที่เดิม อาทิตย์อัสดงยังวนอยู่หลายครา… เพียงแค่คิดเรื่องในอดีตขึ้นมาได้เท่านั้น มิมีอันใดหรอก”