ตอนที่ 598 สวัสดีเมืองจินหลิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 598 สวัสดีเมืองจินหลิง

เดือนสี่ วันที่ยี่สิบแปด เมืองจินหลิงมีเมฆหมอกในยามที่สุริยาใกล้จะลาลับขอบฟ้า มองดูแล้วช่างงดงามราวกับภาพวาด

บนภูเขาเถิงซีที่ห่างจากเมืองจินหลิงไปสิบกว่าลี้ มีดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง

ยอดเขาเถิงซีนั้นมีศาลาจิ้งชุนตั้งอยู่ ซือหม่าเช่อ คุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลซือหม่าได้โยนว่าวกระดาษให้สาวใช้นามว่าเสี่ยวซิงเอ๋อร์ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้าที่เสี่ยวซิงเอ๋อร์ยื่นมาให้เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ต่อด้วยยกมือคลี่พัดแล้วทำการพัด นางมองไปยังว่าวกระดาษที่ลอยอยู่บนท้องนภานับสิบตัวแล้วยกยิ้มขึ้น “จะว่าไปแล้วฤดูใบไม้ผลิที่จินหลิงกับที่หยิงชิวของเรามิได้แตกต่างกันมากนัก แต่ข้าก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิที่จินหลิงงดงามกว่านัก…”

“น้ำในแม่น้ำฉินหวายใสสะอาดกว่าทะเลสาบเหลียนที่หยิงชิวมากนัก ทิวทัศน์ที่ทะเลสาบเว่ยยางก็มีสีสันสดใสกว่ารั่วสุ่ยของหยิงชิวมิน้อย ส่วนหลานถิงจี๋นั้นเป็นเพราะกวีที่จารึกไว้บนหินเชียนเปยสืออันเลื่องชื่อไปทั่ว จึงทำให้วันเหวินในหยิงชิวเงียบเหงา หรือแม้แต่สำนักศึกษาซงจู๋อันเป็นที่น่าภาคภูมิใจของหยิงชิว ก็มิอาจเทียบกับสำนักศึกษาจี้เซี่ยได้แม้แต่น้อย”

ดวงตาใสราวกับสายน้ำของซือหม่าเช่อมองไปยังสุริยาที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ใบหน้างดงามราวกับหยกขาวที่ถูกแสงของสุริยาส่องกระทบเสียจนขึ้นสีแดงระเรื่อ ดุจพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เมื่อมองดูแล้วช่างคล้ายกับเทพธิดาลงมาจุติยังโลกมนุษย์

เสี่ยวซิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแล้วยิ้มออกมาอย่างหวานชื่น “มองดูแล้วคุณหนูจะชื่นชอบเมืองจินหลิงเสียจริงนะเจ้าคะ มิทราบว่าเป็นเพราะชื่นชอบผู้ใดบางคนหรือไม่…”

ซือหม่าเช่อหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วปัดไปยังศีรษะของเสี่ยวซิงเอ๋อร์เบา ๆ เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้านี่นะ ข้าเดินทางมาเพื่อสอบเอินเคอต่างหากเล่า ! ”

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ… คุณหนูมาเพื่อสอบเอินเคอ และคุณหนูจะต้องมีรายชื่อในทะเบียนทอง จากนั้น…จากนั้นเล่าเจ้าคะ ? ”

ซือหม่าเช่อกัดริมฝีปากแน่นแล้วนั่งลงในศาลา สายตามองไปยังสุริยาที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า “จากนั้นก็จะได้เป็นขุนนางเยี่ยงไรเล่า”

“แต่มิเคยมีสตรีนางใดเป็นขุนนางมาก่อนเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าจะปลอมตัวเป็นชายมิได้หรือเยี่ยงไร ? ”

“หึ ๆ คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้ ซิงเอ๋อร์อยากเห็นเสียจริงว่าหลังจากคุณหนูปลอมตัวเป็นชายแล้วจะมีหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ? เกรงว่าจะมีหญิงสาวจำนวนมากมารุมล้อมเสียจนทำให้ชายหนุ่มมิพอใจเอาได้นะเจ้าคะ”

ซือหม่าเช่อยกยิ้ม ข้างแก้มของนางเผยลักยิ้มบุ๋มลงไป ช่างเข้ากับบรรยากาศหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิเสียจริง

นางค่อย ๆ เก็บรอยยิ้มนั้นลง แล้วกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่สามเดือนห้าแล้ว เหตุใดเขายังมิกลับมาอีกกัน การสอบเอินเคอจะต้องเลื่อนออกไปหรือไม่ ? ”

เสี่ยวซิงเอ๋อร์เหล่ตามองเจ้านายแล้วลอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายนั้นชื่นชอบเมืองนี้เพราะใครบางคนเป็นแน่แท้ ยังทำปากแข็งอยู่ได้ แต่จะทำเยี่ยงไรได้เล่า ?

ฟู่เจวี๋ยเยมีภรรยาอยู่แล้วถึง 3 คน จากความสามารถและคุณสมบัติของคุณหนู นาง… นางจะยินยอมเป็นอนุภรรยาเยี่ยงนั้นหรือ ?

อีกอย่าง ภรรยาของฟู่เจวี๋ยเยทั้งสามคนนั้นมิได้ธรรมดาเลย ถึงแม้คุณหนูจะกำเนิดในตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิว และเป็นหนึ่งในห้าของตระกูลการค้าใหญ่ แต่เยี่ยงไรก็เป็นเพียงพ่อค้าเท่านั้นมิใช่หรือ ส่วนภรรยาทั้งสามของเจวี๋ยเยนั้น มีคนหนึ่งเป็นถึงองค์หญิง และอีกสองคนคือบุตรสาวของเสนาบดี ล้วนเป็นคนในพระราชวังทั้งสิ้น !

ในจวน ฮูหยินทั้งหลายล้วนมีจิตใจที่แก่งแย่งชิงดี คุณหนูจะไปสู้พวกนางได้เยี่ยงไร ?

ในขณะที่เสี่ยวซิงเอ๋อร์กำลังครุ่นคิดว่าคุณหนูของตนอาจจะต้องเผชิญกับชีวิตที่โหดร้าย ซือหม่าเช่อก็ได้เอ่ยออกมาว่า “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพราะฟู่เจวี๋ยเยจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่หรือเจ้าคะ ? ”

“ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าแท้จริงแล้วมิใช่”

“พวกเราเดินทางมาถึงเมืองจินหลิงได้ครึ่งเดือน แต่คุณหนูเดินทางไปยังหลานถิงจี๋เพื่อดูหินเชียนเปยสือนั่นถึง 15 ครา เพื่อเหตุอันใดกันเจ้าคะ ? ”

“ข้าเพียงแค่อยากอ่านบทกวีและบทความของเขาเท่านั้น ว่ากันว่าเห็นกวีก็เท่ากับเห็นนิสัยใจคอคน”

“…เช่นนั้น คุณหนูเห็นว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

“อืม…บอกมิถูก แต่เขามีความสามารถอย่างแน่นอน มิใช่พวกใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ดังนั้นข้าจึงต้องการเข้าสอบคัดเลือกเอินเคอจริง ๆ พระบรมราชโองการของฝ่าบาทมิได้เขียนเอาไว้ว่าห้ามสตรีเข้าร่วม อีกทั้งข้าจะปลอมเป็นชายเพื่อเข้าสอบคัดเลือก และอีกอย่าง ข้าก็ได้สมัครไปแล้ว”

เสี่ยวซิงเอ๋อร์รู้สึกงุนงงมากยิ่งนัก ตั้งแต่โบราณเพิ่งเคยได้ยินว่ามีจักรพรรดินีในราชวงศ์อู๋ แต่ทว่าเมื่อพระนางทรงประสูติโอรสออกมาก็ได้ประกาศคืนตำแหน่งแล้วมิใช่หรือ ?

“ข้าคิดว่าคุณหนูเพียงแค่นึกสนุกเท่านั้นเจ้าค่ะ… หากได้รับคัดเลือกจริง ๆ จะทำเยี่ยงไร ? ”

ซือหม่าเช่อหัวเราะเหอะ ๆ รอยยิ้มของนางเจิดจ้าเสียจนแสงสุริยายังซีดเซียว “แน่นอนว่าจะต้องได้รับคัดเลือก เมื่อได้รับคัดเลือกแล้วข้าก็จะเดินทางไปเป็นขุนนางที่ว่อเฟิงเต้า ตำแหน่งขุนนางนี้น่าสนใจมากยิ่งนัก ระบบจ้างงานข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นคราแรก และมิรู้ว่าจะได้รับตำแหน่งอันใด แต่ว่าต่อให้เป็นนายอำเภอ ข้าก็จะบริหารจัดการเขตนั้นให้ดีขึ้นได้เป็นแน่ ! ”

เสี่ยวซิงเอ๋อร์กลืนน้ำลายลงคอ นางมองซือหม่าเช่ออย่างลึกซึ้ง “คุณหนู ท่านเป็นสตรีนะเจ้าคะ ! ”

“เป็นสตรีแล้วเยี่ยงไร ? อย่าลืมสิ ว่าข้าคือสตรีผู้มากความสามารถสามอันดับแรกของสำนักศึกษาซงจู๋ อีกอย่างหนึ่ง ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากท่านปู่และท่านพ่อตั้งแต่ยังเยาว์ มีความสามารถด้านการค้าอยู่มิน้อย จะมิอาจปกครองเพียงแค่เขตหนึ่งเขตได้ดีเชียวหรือ ? เจ้าช่างดูถูกข้าเสียเหลือเกิน ! ”

เสี่ยวซิงเอ๋อร์เบ้ปาก มิกล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก คุณหนูก็มีนิสัยเช่นนี้ มักคิดว่าตนเท่าเทียมกับบุรุษ

แต่ทว่านางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางชายหนุ่มมากมาย อย่าว่าแต่เรื่องความลับจะถูกเปิดโปงเลย ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่สะดวก หากท่านหัวหน้าตระกูลรู้เรื่องเข้า เกรงว่าเขาจะโมโหเสียจนกระอักเลือด

เมื่อสุริยาลาลับขอบฟ้า สายลมในยามราตรีมิได้หนาวเย็นสักเท่าใดนัก

บนท้องนภายังมีว่าวกระดาษจำนวนมากลอยล่องอยู่ ซือหม่าเช่อพักผ่อนอีกชั่วครู่จนพอใจแล้ว จากนั้นจึงลุกขึ้นอย่างช้า ๆ นางบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ถึงเวลากลับเข้าเมืองแล้ว วันรุ่งขึ้นพวกเราต้องไปธนาคารซื่อทงเสียหน่อย”

นายและบ่าวทั้งสองจึงเก็บของลงจากภูเขาไป เสี่ยวซิงเอ๋อร์เอ่ยถามออกมาว่า “ไปยังธนาคารซื่อทงเพื่ออันใดกันเจ้าคะ ? ”

“ไปดูสิ่งที่เรียกว่าหุ้นเสียหน่อย”

“อ้อ…”

……

……

เมื่อลงมาจากภูเขาเถิงซีก็เป็นเส้นทางเข้าสู่ทางหลวงของเมืองจินหลิง

รถม้าที่ซือหม่าเช่อเช่ามา จอดทิ้งไว้ข้างทางหลวง

นางกำลังจะก้าวขึ้นรถ ก็ได้มีรถม้าอีก 2 คันวิ่งอ้อมมาจากภูเขาเถิงซี ในขณะที่กำลังเลี้ยวโค้งอยู่นั้น รถม้าก็ได้วิ่งอย่างรวดเร็วเสียจนลมปลิวพัดผ้าผูกผมของนางกระจาย รถม้าคันนั้นผ่านร่างของนางไปอย่างเฉียดฉิว เป็นจังหวะเดียวกับที่ผ้าผูกผมไปพันเข้ากับรถม้าคันนั้น ซือหม่าเช่อตะโกนเสียงดัง “โอ๊ย ! ” ผ้าผูกผมของนางติดไปกับรถม้าคันนั้น และยังมีเส้นผมจำนวนหนึ่งหลุดติดไปด้วย

“เจ้าหยุดประเดี๋ยวนี้นะ ! ” นางกระทืบเท้าแล้วจ้องมองไปยังรถม้าคันนั้นด้วยอารามโกรธ จากนั้นก้าวขึ้นรถม้าของตน กำชับกับคนขับว่า “ตามไป ! ”

คนขับรถม้าตอบกลับมาว่า “ขอรับ ! ”

แซ่บังคับม้าถูกฟาดลงไป รถม้าคันนั้นมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองจินหลิง

เสี่ยวซิงเอ๋อร์แทบจะร้องไห้ออกมา…นางยังมิได้ขึ้นรถเลย !

“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ… ! ”

บัดนี้ซือหม่าเช่อไม่ทันได้สังเกตว่าสาวใช้ของตนเองยังไม่ได้ขึ้นรถ นางเปิดผ้าม่านออกแล้วชะโงกหน้าไปมองรถม้าคันข้างหน้า จากนั้นก็เร่งคนขับว่า “เร็วเข้า เร็วอีกหน่อย อย่าให้หนีไปได้ ! ”

“แม่นางวางใจได้ ข้าหวงเหล่าซื่อ ฉายาคนขับอันดับหนึ่งแห่งเมืองจินหลิง เขาหนีไปมิพ้นหรอกขอรับ ! ”

เมื่อเริ่มไล่ตามมาถึงตรงนี้ก็เป็นระยะทางกว่าสิบลี้ จนกระทั่งเข้าสู่เมืองจินหลิง

รถม้าด้านหน้าชะลอตัวลง รถม้าของซือหม่าเช่อที่ตามมาติด ๆ ก็กำลังอยู่บนถนนของเมืองจินหลิงเช่นกัน

หลังจากนั้นก็เลี้ยวลดคดเคี้ยวอยู่ราวครึ่งชั่วยาม หวงเหล่าซื่อจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “แม่นาง…รถม้าคันนั้นเหมือนว่าจะจอดที่หน้าจวนฟู่”

“จวนฟู่อันใด ? ”

“ก็จวนฟู่ของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เจวี๋ยเยเยี่ยงไรเล่า ! ”

“ไอหยา…”

“พวกเราควรหยุดหรือเดินหน้าต่อไปดี ? ”

“…แล้วเสี่ยวซิงเอ๋อร์เล่า ? ตายแล้ว พวกเราต้องย้อนกลับไป เร็วเข้า เร็วเข้า คนของข้าหายไป ! ”