บทที่ 544 จนปัญญา

บัลลังก์พญาหงส์

เมื่อเทียบกับตอนที่ซวนเอ๋อร์และหมิงจูยังเด็ก เห็นได้ชัดว่าอาอู่เป็นเด็กเรียบร้อยและสงบนิ่งเงียบขรึมมากกว่า แม่นมป้อนนมเสร็จแล้วก็หลับอย่างว่าง่าย ตื่นขึ้นมานอกจากกิน ดื่ม ปัสสาวะ อุจจาระแล้วก็ไม่วุ่นวายใครอีก หากมีคนเล่นด้วยก็แล้วไป แต่ถ้าไม่มีคนเล่นด้วยก็จะลืมตามองซ้ายมองขวา สุดท้ายแล้วอาอู่ก็จะผล็อยหลับไปเอง

 

 

แม่นมพูดกับถาวจวินหลันเบาๆ “ที่เด็กเป็นเช่นนี้ก็อาจด้วยอยากให้เลี้ยงดูง่าย จึงจงใจบ่มเพาะนิสัยเช่นนี้ ไม่ร่าเริงเท่าคุณหนูหมิงจู เกรงว่าพอโตขึ้นนิสัยก็คงจะนิ่งเงียบเจ้าค่ะ”

 

 

ตอนที่แม่นมพูดออกมา ก็แฝงไว้ด้วยความสงสาร เห็นได้ว่านางคิดว่าอาอู่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาดีเท่าไรนัก และยังรู้สึกเอ็นดูอีกด้วย

 

 

อย่างไรเด็กวัยเท่านี้เป็นแบบนี้ก็น่าสงสาร

 

 

ถาวจวินหลันถอนใจเบาๆ พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เล่นกับเขาให้มากหน่อยเถิด เป็นเด็กเป็นเล็ก จะต้องนิ่งเงียบไปทำไมกัน” ทำให้คนนึกสงสารไม่ได้ คิดดูแล้วหลังจากนี้ที่อาอู่จะได้พบหยวนฉงหวา หยวนฉงหวาก็ควรจะเลี้ยงดูอาอู่เป็นอย่างดีกระมัง?

 

 

พอนึกถึงท่าทีของหยวนฉงหวาในตอนนั้น ถาวจวินหลันก็คิดว่านิสัยของหยวนฉงหวาก็ไม่ได้ดีอะไร แต่ก็น่าจะรักและเอ็นดูอาอู่เหมือนลูกตัวเองได้ เหมือนจิ้งหลิงที่ปฏิบัติต่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์

 

 

เห็นอาอู่ที่มีท่าทีเช่นนั้น ถาวจวินหลันก็ยื่นมือหยอกล้อกับเขา อาจด้วยมีน้อยคนที่จะหยอกเล่นกับอาอู่เช่นนี้ อาอู่จึงลืมตากลมโตขึ้นมา มองถาวจวินหลันนิ่ง ผ่านไปนานจู่ๆ ก็แย้มยิ้มหัวเราะ

 

 

ถาวจวินหลันเห็นก็เอ็นดู จิ้มปลายจมูกของอาอู่เบาๆ พลางถอนใจ “ในอนาคตเจ้าจะโทษข้าหรือไม่?” ในใจก็อดคิดถึงอี๋เฟยขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู่ว่าอี๋เฟยกำลังทำอะไรอยู่?

 

 

ตอนนี้อี๋เฟยจะต้องรู้เรื่องที่อาอู่ถูกลักพาตัวมาแล้วอย่างแน่นอน ฮองเฮาเองก็เช่นกัน ไม่รู้ว่า ฮองเฮา อี๋เฟย และพระชายาองค์รัชทายาทจะมีท่าทีเช่นใด?

 

 

แต่เมื่อคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใคร ก็คงคิดอยากจะเชือดเนื้อถือหนังนางออกมา จับนางกินให้สิ้นซากกระมัง?

 

 

ฮองเฮาในตอนนี้แทบอยากจะถลาไปถลกหนัง ดึงเส้นเอ็นถาวจวินหลันจริงๆ แล้วค่อยเผากระดูกโปรยเถ้า นางถลึงตามองอี๋เฟยนิ่ง “เจ้าว่าอย่างไรนะ!”

 

 

อี๋เฟยถูกฮองเฮามองเช่นนี้ก็หวาดกลัว จากนั้นก็คิดถึงลูกชายของตน ความกล้าก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เงยหน้ามองฮองเฮาพลางพูดว่า “เอาเซิ่นเอ๋อร์แลกกลับมาเถิดเพคะ! อย่างไรนั่นก็เป็นหลานชายแท้ๆ”

 

 

“หุบปาก!” ฮองเฮาตะโกนด้วยความโมโห ในดวงตาเป็นประกายร้อนดังไฟสุม “หลานชายอย่างนั้นหรือ? ข้ามีหลานชายตั้งแต่เมื่อใดกัน? ไหนเจ้าลองมาข้ามา! เจ้าพูดมั่วอะไร! แล้วเซิ่นเอ๋อร์อยู่ที่ไหน ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”

 

 

อี๋เฟยถูกฮองเฮาตะคอกใส่จนหน้าซีดเผือด แต่จากนั้นนางก็ยิ้มเย็นพูดว่า “หากไม่อยากรับเขาจริง เกรงว่าองค์รัชทายาทคงจะไม่มีคนสืบตระกูลแล้ว! ท่านคิดให้ดีเถิด!”

 

 

ฮองเฮาได้ยินก็โมโหจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นมาถลึงตามองอี๋เฟยนิ่ง “เจ้าพูดมั่วอะไรกัน?! ตนเองเป็นพระสนม กลับพูดถึงองค์รัชทายาทอย่างไม่เว้นแต่ละคำ ช่างขายขี้หน้าเสียจริง!”

 

 

ฮองเฮาไม่ชอบอี๋เฟยอยู่แล้ว กระทั่งรังเกียจด้วยซ้ำไป ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็คิดว่าอี๋เฟยไปยั่วยวนองค์รัชทายาทจนเกิดเรื่องแบบนี้ อี๋เฟยไม่รู้จักหนักเบา ทำเรื่องไร้สาระเอง แต่สุดท้ายแล้วต้องให้นางมาเก็บกวาด แล้วยังให้องค์รัชทายาทปกป้องเด็กคนนั้นเอาไว้อีก นางจะชอบอี๋เฟยได้อย่างไร?

 

 

อี๋เฟยหัวเราะเสียงเย็น ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย มองฮองเฮาและพูดเสียงเบา “ดูท่าทางเหนียงเหนียงคงไม่ทราบเรื่ององค์รัชทายาทหมดกามารมณ์แล้วใช่หรือไม่?”

 

 

คราวนี้ฮองเฮาถึงทำหน้าแตกตื่น แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นโกรธ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?!” องค์รัชทายาทจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? แล้วลูกๆ ขององค์รัชทายาทจะมาจากที่ใดกัน?

 

 

ช้าก่อน…ฮองเฮาคิดถึงท่าทีขององค์รัชทายาทตอนที่ถูกฮ่องเต้บังคับให้ไปดูการลงทัณฑ์ นางก็ใจกระตุกวูบ แต่เดิมมั่นใจว่าอี๋เฟยพูดโกหกก็เริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

ฮองเฮามองอี๋เฟยทีหนึ่ง เม้มริมฝีปาก สีหน้าดำคล้ำไม่พูดอะไรอีก

 

 

“ง่ายดายเพคะ เรียกผู้หญิงขององค์รัชทายาทมาลองถามสักคนสองคนก็จะรู้เองเพคะ” อี๋เฟยเห็นท่าทีเช่นนั้นของฮองเฮา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกสะใจขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “ท่าทางเด็กคนนั้นจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาทนะเพคะ”

 

 

ฮองเฮาค่อยๆ กดอารมณ์ของตนเอง กวาดตามองอี๋เฟยนิ่งๆ จากนั้นก็เรียกคนเข้ามาสั่งว่า “ไปเรียกพระชายาองค์รัชทายาทและเหลียงตี้ทั้งสองคนมา ข้ามีเรื่องจะถาม”

 

 

เพียงไม่นาน พวกพระชายาองค์รัชทายาททั้งสามคนก็เร่งรีบเดินทางมา ทุกคนล้วนมีสีหน้าสงสัย ดึกเช่นนี้แล้วฮองเฮาเรียกพวกนางมาย่อมต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน แต่จะเป็นเรื่องอะไรถึงต้องเรียกพวกนางสามคนมาพร้อมกัน?

 

 

ฮองเฮาย่อมไม่อาจถามคำถามประเภทนี้ต่อหน้าอี๋เฟยได้ ดังนั้นจึงให้อี๋เฟยออกไปก่อน แต่ผลที่รออยู่นั้น ทำให้ใจของฮองเฮาต้องตะลึงงัน

 

 

ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะตกใจหวาดกลัวจน…ฉับพลันนั้นก็กริ้วโกรธและแค้นเคือง คิดว่านางกำนัลที่ยั่วยวนองค์รัชทายาทนั้นน่ารังเกียจ คิดว่าฮ่องเต้ไร้เมตตา

 

 

แต่หลังจากนางตั้งสติได้ ก็เหลือเพียงความหวาดกลัวเท่านั้น เมื่อพูดเช่นนี้สายเลือดขององค์รัชทายาทก็เหลือเพียงคนเดียวแล้ว ต่อจากนี้ไปองค์รัชทายาทก็จะไม่สามารถมีลูกได้อีก

 

 

คิดถึงบรรดาเด็กสาวที่อ่อนแอขี้โรคในวังองค์รัชทายาท ฮองเฮาก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างพูดไม่ถูก แม้กระทั่งมีเสี้ยววินาทีสั้นๆ ที่ฮองเฮาอยากจะกรีดร้องระบายอารมณ์

 

 

แต่สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นรอยยิ้มขมขื่น นางเป็นฮองเฮา ย่อมต้องรักษาภาพลักษณ์ของฮองเฮาเอาไว้ ไม่อาจให้คนอื่นเห็นความผิดปกติได้

 

 

ฮองเฮามองไปยังพระชายาองค์รัชทายาทที่ยังคงมึนงงไม่รู้เรื่องราว หวังเหลียงตี้ทียังไม่เข้าใจ และหยวนฉงหวาที่มีท่าทีเรียบนิ่ง ก่อนโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ช่างเถิด พวกเจ้าออกไปเถิด” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “พระชายาองค์รัชทายาทอยู่ก่อน”

 

 

เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปิดบังพระชายาองค์รัชทายาทได้ หากเด็กคนนั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาท ก็จะต้องถูกจดอยู่ภายใต้ชื่อของพระชายาองค์รัชทายาทเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะปิดบังได้อีกอย่างไร?

 

 

อีกทั้งเรื่องนี้เกรงว่าสุดท้ายแล้วมอบให้พระชายาองค์รัชทายาทแล้วถึงจะวางใจ ช่วงนี้นางยุ่งเรื่องปลดองค์รัชทายาท แล้วจะหาเวลาปลีกตัวมาได้อย่างไรกัน? แต่เมื่อดูเช่นนี้แล้ว แผนการที่วางเอาไว้แต่เดิมก็จะต้องถูกทำให้วุ่นวายอย่างแน่นอน นางจะต้องคิดให้ดี ว่าหมากตัวต่อไปควรจะเดินเช่นไร?

 

 

พอเห็นท่าทีเหม่อลอยของฮองเฮา พระชายาองค์รัชทายาทก็เอ่ยเรียกเสียงเบา “เสด็จแม่เพคะ?”

 

 

ฮองเฮาได้สติกลับมา พยักหน้าให้พระชายาองค์รัชทายาท จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปในห้องที่อี๋เฟยอยู่

 

 

อี๋เฟยเห็นฮองเฮานำพระชายาองค์รัชทายาทเข้ามา ก็รู้ว่าฮองเฮามั่นใจแล้ว จึงเริ่มสบายใจ องค์รัชทายาทคงเป็นแบบนั้นแล้วจริง เช่นนั้นลูกของตนก็มีทางรอดแล้ว จะต้องรู้ว่าหากองค์รัชทายาทมีลูกคนอื่นได้อีก ฮองเฮาต้องไม่สนใจเด็กคนนั้นแน่นอน

 

 

ลูกชายของใครคนนั้นก็ต้องรัก อี๋เฟยย่อมต้องหวังให้ลูกชายของตนนั้นเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง ดังนั้นจึงแอบรู้สึกยินดีในใจ ในอนาคตหากองค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นลูกชายของตนเองก็จะต้องเป็นองค์รัชทายาทอย่างไม่มีข้อสงสัยแน่นอน

 

 

ฮองเฮามองไปยังอี๋เฟย สูดลมหายใจเข้าลึกพลางพูดว่า “เด็กถูกถาวจวินหลันลักพาตัวไปใช่หรือไม่?”

 

 

อี๋เฟยพยักหน้า “น่าจะไม่ผิดเพคะ วันนี้นางจงใจเอาจี้อายุยืนของเด็กคนนั้นมาให้หม่อมฉัน ก็เพื่อให้หม่อมฉันมาบอกเหนียงเหนียง แต่เดิมหม่อมฉันไม่เชื่อ แต่เพราะให้คนสนิทไปดูที่เรือนถึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงเพคะ”

 

 

อี๋เฟยมองไปยังงพระชายาองค์รัชทายาททีหนึ่งแต่ ไม่ได้บอกเรื่องที่องค์รัชทายาทไม่สามารถมีกามารมณ์ได้อีก เรื่องเช่นนี้ยังคงต้องไว้หน้าองค์รัชทายาทอยู่บ้าง

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทได้สติกลับคืนมา “เด็ก? เด็กอะไรหรือเพคะ? ถาวจวินหลันลักพาตัวลูกใครไปหรือเพคะ?”

 

 

“ลูกขององค์รัชทายาท” ฮองเฮาถอนใจ มองไปยังพระชายาองค์รัชทายาทพลางอธิบายว่า “เป็นลูกทีองค์รัชทายาทกับสตรีนางหนึ่งแอบเลี้ยงไว้ อีกทั้งยังเป็นลูกชาย”

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะหยุดหายใจไป จากนั้นก็คิดว่าน่าขบขันนัก นางป้องกันคนในจวนทุกคนจนหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าข้างนอกก็ยังมีผู้หญิงอื่นอีก องค์รัชทายาทปิดบังเรื่องนี้เอาไว้มิดชิด…อีกทั้งดูท่าทางของฮองเฮาคงรู้เรื่องนี้นานแล้ว แม้แต่อี๋เฟยเองก็รู้ ดูท่าทางคนที่ไม่รู้อาจมีนางเพียงคนเดียวกระมัง? ไหนว่าเอ็นดูเป็นพิเศษ? ไหนว่าเป็นป้าแท้ๆ? สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น!

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทอยากจะหัวเราะเยาะ แต่เมื่อคิดถึงบุตรสาวในบ้าน สุดท้ายนางก็ยังรักษาท่าทีเช่นเดิมเอาไว้ ฝืนยิ้มกล่าว “ไม่ว่าใครจะคลอด ขอแค่เป็นสายเลือดขององค์รัชทายาท นั่นย่อมเป็นเรื่องดีเพคะ” อย่างน้อยเด็กคนนี้จะต้องถูกเลี้ยงภายใต้ชื่อของตน ในอนาคตเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ลูกของนางก็ถือว่ามีที่พึ่งแล้ว

 

 

ฮองเฮาเห็นท่าทีฝืนยิ้มสดใสของพระชายาองค์รัชทายาท แต่นางกลับไม่อาจนึกสงสารพระชายาองค์รัชทายาทได้อีก เพียงแค่พูดสั่งว่า “ข้าขอมอบเรื่องช่วยเด็กอย่างปลอดภัยให้พวกเจ้าทั้งสองคนก็แล้วกัน”

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทคิดได้ว่า เด็กคนนั้นถูกถาวจวินหลันลักพาตัวไป ก็ขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นการกระทำของถาวซื่อ เกรงว่านางคงไม่มีทางคืนให้พวกเราอย่างง่ายดายเป็นแน่เพคะ นางมีคำขออะไรหรือไม่เพคะ?”

 

 

“ให้พวกเราเอาเซิ่นเอ๋อร์ไปแลก” อี๋เฟยไม่เข้าใจว่าทำไมฮองเฮาถึงไม่พูดให้กระจ่างว่าเป็นลูกที่นางให้กำเนิด แต่เป็นเช่นนี้นางเองก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง อย่างไรเใครจะยินยอมพูดเรื่องนี้? อีกทั้งพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาท นางทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าต่ำกว่าพระชายาองค์รัชทายาทอีกขั้นหนึ่งหรืออย่างไร?

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งถึงถอนหายใจ ส่ายหน้าช้าๆ “เกรงว่าจะไม่ง่าย”

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทรู้สึกว่า พวกนางยังคงตกอยู่ในฝ่ายที่ถูกบีบบังคับ จะต้องรู้ว่าเซิ่นเอ๋อร์เป็นเพียงลูกคนรองจากอนุภรรยา แต่เดิมหลี่เย่ก็ไม่ได้ชอบใจเท่าไรนัก แล้วถาวจวินหลันจะใส่ใจได้อย่างไร? กลายเป็นทางพวกนางที่ต้องให้ความสำคัญกับบุตรชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาท

 

 

เรื่องนี้ช่างน่าวุ่นวายนัก

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก

 

 

และตอนที่พระชายาองค์รัชทายาทกำลงรู้สึกเหนื่อยใจอยู่นั้น ซวนเอ๋อร์กลับมานั่งจ้องอาอู่พร้อมกับถาวจวินหลัน จากนั้นก็ยื่นนิ้วเข้าไปจิ้มตัวของ ‘น้องชาย’ คนใหม่เป็นครั้งคราว

 

 

ถาวจวินหลันกลัวว่าซวนเอ๋อร์จะทำให้อาอู่เจ็บ แต่ก็ต้องตกใจว่าที่จริงแล้วซวนเอ๋อร์นั้นรู้จักหนักเบา จึงปล่อยซวนเอ๋อร์เล่นกับเขาไป

 

 

“ท่านแม่ น้องชายไม่ไปไม่ได้หรือ?” ซวนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาถาม ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง ขาดก็แค่ไม่ได้ถามตรงๆ ว่า ท่านแม่ พวกเราเก็บน้องชายเอาไว้เถิด