บทที่ 545 เหลวไหล

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันหัวเราะพลางส่ายหน้า “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? หากคนของบ้านน้องชายมาหา ก็ยังต้องคืนน้องชายให้เขาไปอยู่ดี”

 

 

ซวนเอ๋อร์ทำหน้าผิดหวังทันที

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะลั่น เด็กตัวเล็กๆ ริอาจจะเลียนแบบนิสัยผู้ใหญ่ อีกทั้งเพิ่งจะเล่นด้วยนานเท่าไรกัน? ไฉนเลยถึงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งขนาดนี้เล่า?

 

 

ตอนที่กำลังหัวเราะอยู่นั้น บ่าวรับใช้สุ่ยเหวินก็เข้ามาจากด้านนอก รายงานเสียงเบาว่า “ชายารองเจียงมาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการพบท่าน”

 

 

ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ นางไม่ได้กลัวเจียงอวี้เหลียน แต่เพราะรู้สึกปวดหัวเวลาพูดคุยกับเจียงอวี้เหลียน ตอนที่เจียงอวี้เหลียนโวยวาย นางแค่มองก็ปวดหัวมากแล้ว

 

 

ไม่ใช่ว่านางทำอะไรเจียงอวี้เหลียนไม่ได้ แต่ตอนนี้นางทำอะไรเจียงอวี้เหลียนก็คงไม่เป็นการดี อย่างไรตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์เพิ่งโดนลักพาตัวไป หากนางจะลงมือกับเจียงอวี้เหลียน ไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แม้แต่นางเองก็คิดว่าไม่เหมาะสม และทำใจไม่ได้

 

 

ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก็ทำได้เพียงอดทนต่อไปเท่านั้นเอง แต่ถาวจวินหลันรู้สึกว่าความอดทนของนางในตอนนี้ได้ใช้ไปหมดแล้ว เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเจียงอวี้เหลียน นางก็ควบคุมไฟโกรธในใจไม่ได้ และยิ่งไม่คิดสนใจ

 

 

“ถามนางว่ามีเรื่องอะไร ถ้าไม่มีอะไรก็ให้บอกว่าข้าไม่สบาย นอนไปแล้ว” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดเนิบๆ เช่นนี้

 

 

เห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด ทนไม่ไหว สู้ขอไม่เจอเลยดีกว่า

 

 

แต่สุ่ยเหวินกลับถอนหายใจ “เกรงว่าคงจะต้องพบเจ้าค่ะ มาเพราะว่าเรื่องของคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ ท่าทางก็ดูปกติ จึงไม่อาจปฏิเสธได้เจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันนวดระหว่างคิ้ว เรียกให้แม่นมมาดูเด็กๆ แล้วนางก็ออกไปพบเจียงอวี้เหลียน

 

 

เจียงอวี้เหลียดูซูบเซียวไปมาก เห็นแล้วก็ชวนให้หดหู่ตาม ถาวจวินหลันจึงเริ่มใจอ่อนลงหลายส่วน คิดว่าเจียงอวี้เหลียนทั้งน่าสงสารทั้งน่ารังเกียจ สุดท้ายแล้วก็ผ่อนคลายท่าทีลงหลายส่วน “ชายารองเจียงมาหาข้า มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

 

เจียงอวี้เหลียนเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งสองข้างร้อนเป็นประกายดังไฟแผดเผา “ทำไมถึงไม่หาเซิ่นเอ๋อร์ต่อ? เพราะว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเซิ่นเอ๋อร์เช่นนั้นหรือ?” ตอนที่พูดประโยคสุดท้ายนั้น เสียงของเจียงอวี้เหลียนสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดถึงความหวาดกลัวหวาดหวั่น และการถามเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นเหมือนท่าทีที่ฝืนบังคับตนเอง

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้จะอธิบายให้เจียงอวี้เหลียนฟังอย่างไร แต่เมื่อเห็นความกังวลของเจียงอวี้เหลียน นางก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที “เซิ่นเอ๋อร์ยังดีอยู่ แต่ตอนนี้ยังพากลับบ้านไม่ได้เท่านั้น เจ้าอย่าคิดมากไปเลย”

 

 

เพียงแค่วันนี้นางบอกกับอี๋เฟยเรื่องอาอู่อยู่ในกำมือนาง เซิ่นเอ๋อร์ก็จะต้องปลอดภัยแน่นอน

 

 

แต่ต่อให้ถาวจวินหลันมั่นใจเพียงนี้ แต่เจียงอวี้เหลียนก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี กลับยิ่งมั่นใจกับความคิดของตัวเองมากขึ้น “หากเซิ่นเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ทำไมพวกเจ้าถึงไม่หาต่อ?”

 

 

“ทุกคนพยายามกันแล้ว หากหาพบทำไมพวกเราจะไม่หาเล่า?” ถาวจวินหลันอธิบายอย่างจนปัญญา “อีกอย่างถึงทำเป็นไม่หาต่อหน้า แต่ลับหลังก็ยังคงหาอยู่ เซิ่นเอ๋อร์เป็นสายเลือดของท่านอ๋องจะไม่หาได้อย่างไรเล่า?”

 

 

แต่เจียงอวี้เหลียน ก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

 

“ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม?” ถาวจวินหลันถอนใจ “เจ้าเพียงแค่รออย่างสงบก็พอแล้ว” ความจริงนอกจากเจียงอวี้เหลียนจะต้องรออย่างสงบแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแม้แต่น้อย

 

 

เจียงอวี้เหลียนมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง แล้วก็คิดได้จึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี หากหาเซิ่นเอ๋อร์ไม่พบจริง เจ้าจะต้องเอาซวนเอ๋อร์มาชดใช้ให้ข้า!”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินคำนี้ออกจากปากเจียงอวี้เหลียนก็ตะลึงค้างไป หลังจากได้สติกลับมาก็หัวเราะด้วยความโกรธ เจียงอวี้เหลียนคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงได้พูดเรื่องน่าขันเช่นนี้?

 

 

“อย่าให้ข้าได้ยินคำพูดนี้อีกเป็นครั้งที่สอง” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของตน มองไปยังเจียงอวี้เหลียนนิ่งฟัง พูดเสียงเคร่งครัดว่า “เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร? เห็นว่าเป็นมารดาเช่นกัน ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความกับเจ้า ต่อให้เจ้าโกรธเพราะลูกหายแต่ครั้งต่อไปข้าไม่มีทางให้อภัยเจ้าอีก ไม่มีทางปล่อยไปโดยง่ายแน่นอน!”

 

 

หากเป็นเวลาปกติ ตอนนี้ถาวจวินหลันจะต้องตบหน้าเจียงอวี้เหลียนไปแล้ว ให้นางสงบลงถึงจะถูก นางพูดแบบนั้นหมายความว่าอะไร?! ซวนเอ๋อร์เป็นอะไร? นั่นเป็นลูกชายของนาง! ไม่ใช่สิ่งของ! และยิ่งไม่ใช่สิ่งของที่จะโยนทิ้งได้อย่างง่ายดาย!

 

 

อีกอย่างทำไมนางจะต้องรับผิดชอบหากหาเซิ่นเอ๋อร์ไม่พบ แล้วยังจะต้องเอาซวนเอ๋อร์ไปชดใช้? นางติดหนี้อะไรเจียงอวี้เหลียนกัน? ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่เพียงแค่ไม่ติดหนี้เจียงอวี้เหลียน แต่เจียงอวี้เหลียนต่างหากที่ติดหนี้นาง! จะต้องรู้ว่าเซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายของเจียงอวี้เหลียน แต่นางกลับทุ่มเทกายใจให้เซิ่นเอ๋อร์ถึงเพียงนี้ นางควรต้องเรียกหาประโยชน์จากเจียงอวี้เหลียนเสียหน่อยมิใช่หรือ?

 

 

เจียงอวี้เหลียนกลับไม่ได้สนคำข่มขู่ของถาวจวินหลัน นางกลับตะคอกถาม “หากเจ้าไม่ยอมรับปาก ก็แปลว่าเจ้านั้นคิดไม่ดี!”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะเย้ย “ข้าคิดไม่ดีอย่างไร? ข้าเป็นคนทำให้เซิ่นเอ๋อร์หายไปหรืออย่างไร? ข้าจงใจทำให้หายหรืออย่างไร?”

 

 

เจียงอวี้เหลียนกัดฟัน ยังคงติดใจกับเรื่องเดิม “เจ้าไม่รับปาก ก็หมายความว่าเจ้าไม่สนใจตามหาเซิ่นเอ๋อร์ เจ้าอยากจะให้เซิ่นเอ๋อตายอยู่ข้างนอก! มิเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่กล้ารับปาก? เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่าต้องหาเซิ่นเอ๋อเจอแน่นอน?”

 

 

ถาวจวินหลันทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกจอกชาขึ้นมาสาดเข้าไปที่หน้าของเจียงอวี้เหลียน “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่หาแล้ว! เจ้าไปหาเอง! ส่งแยก! ข้าไว้หน้าเจ้าสามส่วน เจ้ากลับคิดไปเองว่าตนเองสูงส่งกว่าอย่างไรหรือ? ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ที่เซิ่นเอ๋อร์หายไป เจ้าต้องรับผิดชอบมากกว่าใครทั้งนั้น! แม่นมคนนั้นเจ้าหามาเองมิใช่หรือ? ปกติเจ้าไม่ใส่ใจเซิ่นเอ๋อร์เองมิใช่หรือ? วันนั้นที่มีเหตุเพลิงไหม้ แม้แต่จิ้งหลิงยังรู้ว่าต้องไปดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์ กลัวว่ากั่วเจี่ยเอ๋อร์จะตกใจ แล้วเจ้าเล่า?! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าเจ้าไปมุงดูความวุ่นวาย! เจ้าไม่ได้ไปดูเซิ่นเอ๋อร์แม้แต่น้อย! มีแม่เช่นเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ? เจ้ากลับมีหน้ามาร้องห่มร้องไห้โวยวาย!”

 

 

เจียงอวี้เหลียนหาแม่นมมาเอง อีกทั้งยังวานคนดูแลจวนช่วยจัดหาคนบังคับรถม้าเข้ามาเอง จะโทษใครก็โทษที่ตัวนาง! ถาวจวินหลันพูดด้วยโมโหเป็นที่ยิ่ง ในความเป็นจริงแล้วนางไม่คิดจะพูด เข้าใจว่าอารมณ์ของเจียงอวี้เหลียนนั้นไม่ดีอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้นางรู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิม

 

 

แต่เมื่อดูสถานการณ์ตอนนี้ สู้โยนความหวังดีของนางให้สุนัขยังจะดีกว่า! อย่างน้อยให้อาหารสุนัข สุนัขก็ยังรู้คุณ แต่ให้เจียงอวี้เหลียนเล่า? กลับแว้งกัดไม่ลดละ!

 

 

ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก แล้วเก็บความโมโหลงไป ก่อนยื่นมือออกมาชี้ไปประตูหน้านิ่ง “ส่งแขก!”

 

 

เจียงอวี้เหลียนถูกสั่งสอนก็หน้าดำหน้าแดง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา จึงถูกบ่าวรับใช้ลากออกไป

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น พูดว่า “ต่อจากนี้เรื่องในเรือนชิวอี๋ ก็ให้ทางเรือนชิวอี๋จัดการเอง อย่ามาถามข้า ข้าไม่อยากจัดการเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก!”

 

 

บรรดาบ่าวรับใช้เห็นถาวจวินหลันโมโห ก็ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง ทุกคนจึงเงียบเป็นเป่าสาก

 

 

ถาวจวินหลันคิดแล้วก็เรียกชุ่นฮุ่ยเข้ามา “ไปสืบดูว่าใครไปนินทาต่อหน้าเจียงอวี้เหลียน”

 

 

อยู่ดีๆ ทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงรู้เรื่องที่ตนเองไม่สืบเรื่องเซิ่นเอ๋อร์ต่อ แล้วยังพูดเหตุผลไร้สาระเช่นนั้นอีก นางไม่เชื่อว่าไม่มีใครไปเสี้ยมเจียงอวี้เหลียน

 

 

หลังจากสั่งเรียบร้อยแล้ว นางก็คิดถึงการกระทำของกู่อวี้จือเมื่อสองวันก่อนได้ จึงเรียกปี้เจียวเข้ามาถาม ปี้เจียวพูดว่า ”ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเจ้าค่ะ เพียงแค่ฉวยโอกาสหาประโยชน์เท่านั้นเองเจ้าค่ะ ส่วนจุดประสงค์คิดว่านอกจากจะกดหัวคนอื่นแล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะกั่วเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”

 

 

ที่ปี้เจียวไม่ได้พูดก็คือ เกรงว่าในสายตาของถาวจือและกู่อวี้จือ กั่วเจี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นเหมือนกับสิ่งหอมหวานที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก

 

 

อย่างไรภายในจวนตวนชินอ๋องก็ถือว่ามีคนเยอะแล้ว แต่พูดไปแล้วก็ยังนับได้หมดภายในมือข้างเดียว พวกนางย่อมไม่คิดอย่งเซิ่นเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์และหมิงจู แต่ต้องจ้องกั่วเจี่ยเอ๋อร์ตาเป็นมัน ที่สำคัญที่สุดก็คือจิ้งหลิงเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์

 

 

จิ้งหลิงอยู่ในฐานะอะไร? คนอื่นไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน

 

 

ดังนั้นพอพูดไปแล้ว กู่อวี้จือเห็นว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดี คิดว่าการทำลายภาพลักษณ์ของจิ้งหลิงต่อหน้าถาวจวินหลันได้ นางก็จะฉวยโอกาสเอาสิ่งที่ดีไปได้

 

 

ปี้เจียวพูดอีกว่า “จิ้งหลิงอี๋เหนียงกลับไม่มีเรื่องไหนที่น่าสงสัยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะพบใคร หรือว่าทำอะไร ก็ไม่เคยทำลับหลังเจ้าค่ะ ทั้งวันเอาแต่ดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์” ไม่ว่าจะดูอย่างไรจิ้งหลิงก็น่าวางใจ

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า กำชับว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้กู่อวี้จืออยู่ในเรือนของตนเองให้ดี! รอท่านอ๋องกลับมาแล้วค่อยว่ากัน! แล้วก็อย่าให้คนไปรบกวนจิ้งหลิงตามใจชอบ”

 

 

วันนี้มีคนมาปลุกปั่นต่อหน้านางได้ ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็จะต้องมีคนไปปลุกปั่นจิ้งหลิงได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้จิ้งหลิงจะเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังคนอื่นเสี้ยมอีกมิใช่หรือ?

 

 

อย่างที่ว่ากันต่อๆ มามิใช่หรือ? คำโกหกพูดมากเกินไปก็กลายเป็นเรื่องจริงได้

 

 

ทันใดนั้นปี้เจียวก็แอบถามถาวจวินหลันว่า “ถ้าเช่นนั้นเรื่องเซิ่นเอ๋อร์ ต่อไปนี้ไปพวกเราจะเอาอย่างไรต่อเจ้าคะ? หากไม่สนใจแล้ว แล้วจะจัดการกับอาอู่เช่นไรเจ้าคะ?”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น นวดขมับตนเองเล็กน้อย “เพียงคำพูดเพราะความโมโหเท่านั้นเอง ไฉนเลยจะคิดจริงจัง? จะไม่ตามหาเซิ่นเอ๋อร์จริงๆ ได้อย่างไร? หากให้เจียงอวี้เหลียนไปหาเอง ก็เท่ากับว่าข้าทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์มิใช่หรือ? อีกอย่างสถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนลูกธนูบนคันศร อย่างไรก็จะต้องยิงออกไป ข้าจะดึงตัวถอยกลับมาได้อย่างไร?”

 

 

ทางด้านอี๋เฟยกับฮองเฮารู้เรื่องที่นางลักพาตัวอาอู่มาแล้ว หรือว่านางจะประจบด้วยการส่งอาอู่กลับไปหรืออย่างไร ขอร้องให้ฮองเฮาและอี๋เฟยให้อภัยนางเช่นนั้นหรือ? นางเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางอยากถอยก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงทำได้แค่เดินไปตามทางเส้นนี้จนกว่าจะมืดเท่านั้นเอง

 

 

“ข้าก็แค่ไม่อยากพบเจียงอวี้เหลียนแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “หากมีเวลาก็ไปจัดการเก็บกวาดเรือนชิวอี๋ให้เรียบร้อย กำจัดพวกบรรดาบ่าวรับใช้เนรคุณไปให้หมด แล้วจัดการหาคนที่พูดเกลี้ยกล่อมได้ดีไปปรนนิบัติ!”

 

 

คนอย่างเจียงอวี้เหลียน ไม่ต้องพูดถึงนาง ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงจะรับจุดจบเช่นนี้ไม่ได้เหมือนกัน!

 

 

ถาวจวินหลันกุมขมับถอนใจ “ทำไมจวนตวนชินอ๋องถึงได้มีคนเช่นนี้? มิน่าเล่าคนอื่นถึงได้พากันหัวเราะเยาะเรื่องที่จวนของพวกเราน่าสงสารเกินไป” แม้นมีศึกใหญ่อยู่ข้างหน้า แต่ทุกคนกลับจ้องมองเพียงเรื่องเล็กๆ ภายในจวน!