ตอนที่ 502 เสียหาย

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 502

เสียหาย

“เรือ…”หลังจากเดินทางออกจากเมืองมาได้ครึ่งวัน รถม้าของชายวัยกลางคนก็เดินทางมาถึงเมืองท่าที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับเรือสินค้าที่มาจากอาณาจักรไชน์

“เรือของพวกเราอยู่นั่น เตรียมตัวเอาของลงกันได้แล้ว”ชายวัยกลางคนสั่งจบก็กระโดดลงไปจากรถม้าแล้วเดินไปที่เรือขนาดกลางที่จอดอยู่ที่ท่าเรือ หลังจากพูดคุยกับชายที่เหมือนจะเป็นเจ้าของเรืออยู่ครู่หนึ่งชายวัยกลางคนผู้ที่ตอนนี้เป็นเจ้านายของจูล่งไปแล้วก็เรียกให้รถม้าเข้าไปจอดที่ข้างๆเรือเพื่อนำของเข้าใต้ท้องเรือให้เรียบร้อย

“เจ้าหนู เจ้าเคยไปอาณาจักรไชน์หรือเปล่า”เพื่อนร่วมงานของจูล่งนามว่า ม่านหลิน พูดขณะยกของเข้าไปในเรือ มันเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 24 – 25 ปีมีร่างกายใหญ่โตและแข็งแรง เรียกได้ว่ามันเหมาะกับงานนี้มากทีเดียว

“เคยขอรับ”จูล่งตอบพลางยิ้มออกมา มันเคยไปอาณาจักรไชน์รอบหนึ่งกับท่านพ่อ แม้จะเพียงเพื่อไปพบสหายของท่านพ่อแต่ก็นับว่าได้ไปนั่นล่ะ

“งั้นหรือ ในสายตาเจ้าอาณาจักรไชน์เป็นอย่างไรงั้นหรือ”ม่านหลินถามพลางนำกล่องอีกใบมาวางเอาไว้ในเรือ

“ข้าไปแค่เมืองเดียวเท่านั้นเลยบอกไม่ถูก แต่ที่นั่นแปลกไปจากที่อื่นๆมากเลยขอรับ เหมือนอยู่คนละโลกเลย”จูล่งตอบพลางนึกภาพอาณาจักรไชน์ที่ตนจำได้ แม้เทคโนโลยีจะพัฒนามามากแล้ว แต่ศิลปะและวัฒนธรรมที่ฝังรากอยู่ในแต่ละดินแดนนั้นไม่มีวันจางหายไป สิ่งก่อสร้างของไชน์นั้นแปลกตากว่าอาณาจักรต่างๆในแผ่นดินที่พวกมันอยู่มาก การได้เห็นอาณาจักรไชน์ครั้งแรกนั้นทำเอาจูล่งตื่นเต้นไปหมดเลยทีเดียว

“งั้นเหรอ อยากเห็นเร็วๆแล้วสิ”ม่านหลินว่าพลางยิ้มออกมา คนงานที่มากับหัวหน้าในครั้งนี้ต่างเป็นคนในเมืองเล็กๆของอาณาจักรอู๋กันทั้งนั้น พวกมันทั้งหมดไม่เคยไปอาณาจักรไชน์มาก่อน ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเหล่าคนงานตื่นเต้นกันมากทีเดียว

.

.

การเดินทางด้วยเรือใช้เวลาค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยอสูรบิน แต่เมื่อได้ลองนั่งดูแล้วจูล่งก็ไม่ได้รังเกียจการนั่งเรือเสียเท่าไหร่ แม้จะช้าแต่พอขึ้นมายืนบนดาดฟ้าเรือพร้อมมองภาพทะเลสุดลูกหูลูกตาแล้วก็ทำเอารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวเลยทีเดียว

“เจ้าหนู เคยเห็นท่านผู้พิทักษ์หรือเปล่า”เจ้านายของจูล่งนามว่า ยี่เจิน พูดขณะเดินมายืนอยู่ข้างๆจูล่ง ตัวเขาเองไม่ได้มีเงินมาก ลำพังค่าเรือสำหรับตนเองและลูกน้องก็ใช้งบไปเกือบหมดแล้ว เรียกได้ว่าฝากชีวิตเอาไว้กับการค้าขายครั้งนี้เลยทีเดียว และอาจจะเพราะความเครียดที่กำลังแบกอยู่ก็เป็นได้ทำให้นอนไม่หลับจนต้องมาเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือจนได้พบกับจูล่งลูกน้องที่ตนเองพึ่งรับเข้ามาใหม่เข้า

“ผู้พิทักษ์หรือขอรับ?”จูล่งทำหน้างงออกมาทันที ผู้พิทักษ์งั้นหรือ นี่เจ้านายหมายถึงพวกผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่ทำหน้าที่คุ้มกันเรือหรือเปล่า

“ใช่ ท่านถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรอู๋ นั่นไงท่านอยู่นั่น”ยี่เจินพูดพลางชี้ไปที่เกาะของกลุ่มผู้ฝึกอสูรที่ตั้งอยู่บนหลังของอสูรเต่ายักษ์ เกาะนั่นเคลื่อนไหวตลอดเวลาทำให้สามารถมองเห็นได้แม้จะเดินทางออกมาจากท่าเรือหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม

“นั่น….เกาะไม่ใช่หรือขอรับ”จูล่งขมวดคิ้วงุนงงเพราะยังไม่เข้าความหมายของชื่อผู้พิทักษ์อยู่ดี

“หึหึ หากเจ้าโชคดีก็อาจจะได้เห็นท่านก็ได้”ยี่เจินหัวเราะพลางมองจูล่งด้วยท่าทีอ่อนโยน ดูภายนอกจูล่งเหมือนเด็กหนุ่มที่ไม่เคยผ่านเรื่องราวในชีวิตเสียเท่าไหร่ ทำเอายี่เจินนึกถึงตัวมันสมัยเด็กขึ้นมาเลย เพียงแต่ตอนนั้นมันแทบจะไม่เคยเดินทางออกนอกหมู่บ้านเสียด้วยซ้ำ

คลืน…..สมพรปาก ยี่เจินพูดออกมาได้ไม่ทันไรอยู่ๆหัวขนาดใหญ่ของอสูรเต่ายักษ์ก็โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ไม่ใช่เพราะพวกมันโชคดี แต่เพราะอสูรเต่ายักษ์สัมผัสพลังของจูล่งได้ต่างหาก

“นั่นไง ท่านผู้พิทักษ์ เจ้าเห็นหรือเปล่า”ยี่เจินพูดด้วยท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก ไม่ใช่ทุกคนจะได้เห็นส่วนหัวของท่าน ปกติทุกคนจะเห็นเพียงแผ่นหลังที่ลอยอยู่เหมือนเกาะเท่านั้นเอง

“……..”ไป๋จูล่งสบตาเข้ากับอสูรเต่ายักษ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา ดูเหมือนท่านจะสงสัยว่าจูล่งมาทำไม แต่เมื่อเห็นว่าจูล่งกำลังอยู่กับคนอื่นอสูรเต่ายักษ์ก็เลยไม่ได้ถามอะไร พวกมันเพียงสื่อความผ่านสายตาก่อนที่อสูรเต่ายักษ์จะกลับลงไปนอนเช่นเดิม

“ดูเจ้าสิ ตกใจจนพูดไม่ออกเลยสินะ”ยี่เจินว่าพลางตบบ่าจูล่งเบาๆ ไม่แปลกหรอกตัวมันเองก็พึ่งเคยเห็นท่านเป็นครั้งแรก บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมาก มันเดาเอาว่าจูล่งเองก็คงตกใจมากเช่นกัน

“ขอรับ…”จูล่งตอบพลางยิ้มออกมา หรือว่าท่านปู่เต่าจะเป็นผู้พิทักษ์ที่หัวหน้าพูดถึงกัน อย่างนี้นี่เองท่านเองก็มีฉายาแปลกๆเหมือนกันสินะ

“นับเป็นลางดีจริงๆ พอเริ่มเดินทางได้ก็พบท่านผู้พิทักษ์เลย แบบนี้การค้าของข้าต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ๆ”ยี่เจินหัวเราะออกมาด้วยท่าทีชอบใจ ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกชาวเรือสร้างข่าวลือว่าหากได้เห็นส่วนหัวของอสูรเต่ายักษ์เทียบท่าหรือกำลังออกเดินทางจะทำให้โชคดีไปทั้งปีเลย

“พอถึงอาณาจักรไชน์แล้วก็ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ หากเจ้าทำงานได้ดีข้าจะจ่ายค่าแรงให้มากๆ”ยี่เจินยิ้มพลางมองไป๋จูล่งด้วยท่าทีเอ็นดู ท่าทางเจ้านายคนนี้ก็ไม่เลวนัก

.

.

โครม!!! หลังจากเดินทางมาได้หลายวันจนใกล้จะถึงเมืองท่าของอาณาจักรไชน์อยู่รอมร่อแล้ว อยู่ๆก็มีพายุลูกหนึ่งพัดเข้ามาใส่ขบวนเรือที่กำลังเดินทางมาเสียอย่างนั้น ทั้งคลื่นและลมรุนแรงจนน่ากลัว

“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ยังไม่มีท่าทีว่าฝนจะตกเลยนี่นา”เจ้าของเรือพูดพลางพยายามบังคับเรือให้ประคองตัวผ่านคลื่นยักษ์ไปได้อย่างยากลำบาก แม้บนเรือจะมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุน้ำคอยช่วย แต่พายุแรงขนาดนี้พวกมันกลับทำอะไรมากไม่ได้เลย

“เจ้าหนูอย่าออกไป”ยี่เจินและเหล่าลูกน้องต่างพากันหลบอยู่ใต้ท้องเรือ ได้แต่ภาวนาให้พายุสงบลงโดยเร็ว พวกมันไม่มีพลังวิญญาณเพียงจะออกไปที่ดาดฟ้าเรือก็นับว่าอันตรายมากแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ เดี๋ยวข้าจะกลับมา”จูล่งว่าพลางเปิดประตูออกก่อนจะขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือทันที พายุลูกนี้ไม่มีเค้าลางมาก่อนเลย และที่ทำให้จูล่งต้องออกมาดูก็เพราะมันสัมผัสพลังอสูรได้นั่นเอง แถมไม่ใช่พลังอสูรเพียงตนเดียวอีกต่างหาก

เปรี้ยง!! ทันทีที่ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือจูล่งก็พบว่าบนท้องฟ้านั้นมีอสูร 2 ตนกำลังสู้กันอยู่ตามที่คาดเอาไว้ แถมพวกมันยังอยู่ระดับบรรพกาลขั้นที่ 4 กันทั้งคู่อีกต่างหาก เรียกได้ว่าพายุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพวกมันสองตนเลยก็ว่าได้

เปรี้ยง!!กระสุนวายุของอสูรตนหนึ่งกระแทกเข้าที่เสาเรืออย่างจังทำเอาเสาเรือหักโค่นลงมา แต่เพราะบนดาดฟ้าเรือยังมีพวกยอดฝีมืออยู่ พวกมันจึงใช้กำลังผลักเสาเรือให้ตกลงไปในทะเลโดยไม่ฟาดโดนเรือได้อย่างฉิวเฉียด

“น้องจูล่ง….”ต้าเฉียนพูดพลางเดินเข้ามาหาจูล่งที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ พวกนางเองก็ขึ้นเรือมาเช่นกันเพราะยังต้องติดตามจูล่งอยู่ แม้พวกนางจะไม่มีพลังอสูรแต่พายุลูกนี้ก็แปลกเกินไป ทำให้พวกนางต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ขืนเจ้าพวกนั้นต่อสู้กันไม่เลิกเรือเราได้จมแน่ๆ ให้พวกข้าจัดการเลยดีหรือไม่”ต้าหวานถามพลางเรียกเอาทวนของตนออกมา พวกมันอยู่ระดับบรรพกาลขั้นที่ 4 พวกนางสามารถจัดการได้ไม่ยากเย็นนัก

“จัดการเลยขอรับ”จูล่งพูดพลางพยักหน้าช้าๆพลางหันไปมองต้าเฉียน พวกอสูรบินกันอยู่บนฟ้า คนที่จะจัดการพวกมันได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นต้าเฉียนนี่ล่ะ

“เข้าใจแล้ว”ต้าเฉียนพูดพลางนำทวนสีแดงออกมา ก่อนที่นางจะรวบรวมพลังวิญญาณเข้าไปในทวนอย่างหนาแน่น

ฟุบ!! ทวนสีแดงเพลิงถูกปาผ่านลมแรงของพายุไปอย่างง่ายดาย ต่อให้ลมแรงกว่านี้ต้าเฉียนก็สามารถปาไปใส่พวกอสูรที่ต่อสู้กันอยู่บนฟ้าได้สบาย

ตูม!! ทวนของต้าเฉียนกระแทกใส่อสูรรูปร่างเหมือนมังกรเข้าอย่างจังทำเอามันร่วงลงมาในทะเลทันที ทำให้อสูรที่มีรูปร่างเหมือนนกยักษ์หันมามองทางต้าเฉียนด้วยท่าทีตกใจ พวกอสูรสัมผัสพลังวิญญาณไม่ได้เลยไม่ทราบว่ามีคนระดับต้าเฉียนและต้าหวานอยู่ที่นี่ การที่ศัตรูของมันโดนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอามันหวาดระแวงต้าเฉียนอย่างมาก

วูบ….ไป๋จูล่งเห็นอสูรนกตัวนั้นมีท่าทีเหมือนจะไม่ยอมไปเสียที ทำให้ไป๋จูล่งไม่มีทางเลือกปล่อยพลังอสูรออกมาเพื่อข่มเจ้าอสูรนกตัวนั้นทันที

ฟุบ…ทันทีที่สัมผัสพลังอสูรของไป๋จูล่งได้ อสูรนกตัวนั้นก็ทำสีหน้าตกใจก่อนจะบินหายไปทันที เหลือเพียงอสูรมังกรที่โดนหอกของต้าเฉียนสอยร่วงเมื่อครู่เท่านั้น

โครม!! มังกรที่ร่วงลงมาในทะเลไม่ทราบดำน้ำมาถึงใต้ท้องเรือได้อย่างไร ร่างของมันกระแทกเรือที่พวกไป๋จูล่งเดินทางมาเข้าอย่างจัง ทำเอาเรือเอนไปอีกทางหนึ่ง แต่ยังนับว่าโชคดีที่พวกผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณบนเรือต่างทำหน้าที่ได้ดีกันไม่น้อย ไม่นานก็ประคองเรือเอาไว้ได้จนกระทั่งมังกรบินจากไป

“มีใครตายหรือเปล่า”หลังจากพายุสงบลง นายเรือก็ออกมาตรวจตราความเสียหายทันทีหลังจากควบคุมเรือผ่านพายุมาอย่างยากลำบาก

“ไม่มีขอรับ แต่….”ลูกเรือคนหนึ่งรายงานด้วยสีหน้าลำบากใจ

“แต่อะไร ทำไมไม่พูดมาให้หมด”นายเรือถามด้วยท่าทีกังวล ลูกน้องของมันทำท่าทีเช่นนี้จะบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นคงไม่ได้แน่ๆ

“ตอนที่มังกรตนนั้นชนกับเรือ พวกเราอุดรอยรั่วทันทีแล้วขอรับ แต่….”ลูกเรือพูดพลางหันไปมองเหล่าพ่อค้าที่โดยสารเรือมาด้วย

“สินค้าที่อยู่ใต้ท้องเรือส่วนหนึ่งตกลงไปในทะเลและจมหายไปขอรับ”ได้ยินที่ลูกเรือรายงาน เหล่าพ่อค้าที่นำของๆตนเองขนมากับเรือก็พลันหันหลังมุ่งหน้าลงไปตรวจสอบทันทีว่าสินค้าของตนเองเป็นอะไรหรือไม่ แน่นอนว่ายี่เจินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“………”ทันทีที่มาถึงห้องเก็บสัมภาระเหล่าพ่อค้าก็พบว่าสินค้าในท้องเรือหายไป 1 ใน 3 เลยทีเดียว คนที่สินค้ายังปลอดภัยดีนับว่าโชคดีไป แต่ยี่เจินนั้นกลับยืนตัวแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก สินค้าที่มันรวบรวมมาหายไปเพราะเรื่องเมื่อครู่จนหมด แทบไม่เหลืออะไรเลย