ทางออก

 

ใจกลางป่า มีพื้นที่ลานกว้างใหญ่โตอยู่ ผู้ฝึกตนหลายคนรวมตัวอยู่รอบๆ ลานกว้างนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกตนจากทั้งสามกลุ่ม ตอนนี้แต่ละกลุ่มต่างจ้องมองกันและกันด้วยความดุดันและระแวดระวัง

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอและมู่หรงเยียนมาถึง ทุกสายตาจับจ้องมาที่ทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม เพราะทุกคนต่างกลัวว่าจะเสียเปรียบอีกฝ่าย จึงไม่มีใครที่จะกล้าแม้แต่จะขยับตัว ถึงแม้ว่าศิษย์สำนักจื่อซย่าจะอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้หลายคน แต่ทุกคนต่างก็รักชีวิตของตัวเอง ศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตาก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวภายใต้สภาวะที่เสียเปรียบนี้ คงจะเป็นความเสียหายมากเกินไปหากพวกเขาต้องจบชีวิตในการพยายามฆ่าศัตรู

 

 

โดยไม่สนใจต่อสายตาที่กำลังจ้องมอง โม่เทียนเกอดึงมู่หรงเยียนและเดินไปหาที่นั่งส่วนตัวใกล้กับสหายศิษย์ร่วมสำนักอวิ๋นอู้

 

 

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้คิดพยายามที่จะทำอะไร ทุกคนก็ต่างละความสนใจและมองหาคนใหม่ที่จะเดินเข้ามาแทน

 

 

โม่เทียนเกอมองรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อสำนักจื่อซย่าใหญ่นั้นนับได้ว่าเป็นหายนะ ศิษย์ของสำนักที่อยู่ ณ บริเวณนี้นับรวมได้ไม่ถึงร้อยคน ถึงแม้จะรวมคนที่ยังเดินทางมาไม่ถึงแล้วก็คงจะไม่มากกว่าสองร้อยคนทั้งหมดอยู่ดี

 

 

สำหรับสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตา ศิษย์ของพวกเขาอยู่ที่ประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบคน ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละคนล้วนกระหายเลือดและเต็มไปด้วยสีหน้าชั่วร้ายแทบทั้งนั้น

 

 

จากผู้ฝึกตนบางคนที่นางรู้จักค่อนข้างดีในหมู่คนกลุ่มนั้น มีเพียงแค่เจียงซั่งหังที่ปรากฏตัวอยู่ด้วย ณ ตอนนี้ เขากำลังทำสมาธิอยู่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเองก็ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ที่ยากลำบากมา ในขณะที่สหายคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฉินซี หลิ่วอีเตา และสวีจิ้งจือ ก็ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย จากจำนวนของคนที่อยู่บริเวณนี้ จำนวนของผู้ฝึกตนที่ตายนั้นมากเกินกว่าครึ่งของคนที่เดินทางเข้ามาที่ป่าแห่งนี้ นางไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าสหายของนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

 

 

ในขณะนั้น มู่หรงเยียนกระตุกแขนเสื้อของโม่เทียนเกอพร้อมกระซิบ “ศิษย์น้องเยี่ย”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของมู่หรงเยียน โม่เทียนเกอเพียงยิ้มเพื่อปลอบใจ “อย่าได้กังวลไป”

 

 

ที่นี่มู่หรงเยียนรู้ตัวแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวิธีการ หรือการหยั่งรู้ต่างๆ นางไม่ได้ดีไปกว่าโม่เทียนเกอเลย ดังนั้นนางจึงเชื่อฟังในคำพูดโม่เทียนเกออย่างดี

 

 

โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดขึ้นเพื่อต้อนรับอรุณรุ่งที่กำลังจะมาถึง เมื่อถึงเวลานั้น ม่านพลังทางออกก็จะปรากฏที่นี่ และพวกเขาก็จะสามารถออกไปได้

 

 

ภายหลังจากที่เลือกพื้นที่สะอาดที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่มสำหรับนางและมู่หรงเยียนในการนั่งรอ โม่เทียนเกอก็ทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ล้วนทำกัน นั่นคือการนั่งสมาธิปรับลมปราณ อย่างไรก็ตาม นางเองก็ยังคงตั้งสมาธิอยู่กับการสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างเงียบๆ นางเชื่อว่าหลายคนที่อยู่บริเวณนั้นก็ระมัดระวังเช่นเดียวกับนาง อย่างไรเสีย ไม่มีใครที่อยากจะทิ้งชีวิตของตัวเองในช่วงเวลาสุดท้ายเป็นแน่

 

 

ศิษย์สำนักจื่อซย่าอีกกลุ่มหนึ่งมาถึง โม่เทียนเกอหันจ้องไปทางพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนางเห็นว่าชายชราที่หนีไปจากบ่อน้ำพุอาบพิษนั้นอยู่รวมในกลุ่มนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้วางแผนที่จะโจมตีอะไรเขา ในตอนแรกถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้มีความเป็นศัตรูกันระหว่างพวกเขา อันดับที่สอง สมดุลของบริเวณนี้คงจะถูกทำลายเป็นแน่หากนางเคลื่อนไหวไปก่อน และนางเองก็เพียงแค่ต้องการออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่

 

 

ชายชราก็เห็นว่านางอยู่ ณ บริเวณแห่งนี้ เขามองมาที่นางอย่างประหลาดใจด้วยเช่นกัน เขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ดังเช่นที่คนส่วนมากในบริเวณนี้ทำกัน การแก้แค้นอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต แต่การที่จะมาเสี่ยงชีวิตในตอนนี้นับได้ว่าไม่คุ้มกัน

 

 

จำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ยามเฉิน [1] ผู้ฝึกตนหลายคนทยอยออกมาจากป่าและเดินไปยืนรวมกับกลุ่มกับสหายของตัวเอง บางครั้งคู่ต่อสู้ก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน ถลึงตาจ้องมองกัน แต่ก็ไม่เคลื่อนไหวโจมตี

 

 

ในขณะที่ทุกคนต่างคาดหวังถึงการเปิดของม่านพลังทางออก เสียงตะโกนคำรามอันดังก็เกิดขึ้น “ยายตัวเหม็น!!! ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า! คืนชีวิตของน้องชายข้ามา!” ทันใดนั้น มีเงาโผตรงเข้าหามู่หรงเยียน โม่เทียนเกอนิ่วหน้า นางดึงมู่หรงเยียนให้หลบไปด้านข้างด้วยมือข้างเดียวพร้อมใช้มืออีกข้างกันคู่ต่อสู้ด้วยกระบี่ป่าขจี หลังจากที่สังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว โม่เทียนเกอพบว่าเป็นพี่ชายของคู่พี่น้องที่จับมู่หรงเยียนไปก่อนหน้านี้

 

 

แย่แล้ว!

 

 

โม่เทียนเกอหันกลับไปมอง แน่นอนอยู่แล้ว บรรยากาศในบริเวณนั้นเปลี่ยนไป ทุกคนต่างจ้องมองมาที่โม่เทียนเกอและชายผู้นั้น บางคนแอบหยิบเครื่องมือวิญญาณออกมา นางโกรธจัด ไอ้โง่เง่านี่! ตอนที่นางลอบฟังสองคนพี่น้องนั่น นางก็คิดว่าพวกเขาโง่พอแล้ว แต่ตอนนี้ มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในสมองของพวกเขาที่ผิดปกติ! ดังนั้น นางจึงไม่ปรานีอีกต่อไป ใช้มือข้างที่ว่างอยู่โยนเครื่องรางแยกธรณีไปที่เขาทันที

 

 

ถึงแม้ชายโง่เง่าคนนี้จะมีสมองที่เชื่องช้า แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่ช้าเลย เขาตีลังกาเพื่อหลบการโจมตีของนาง

 

 

ทันใดนั้น การกระทำของพวกเขาเหมือนจุดไฟให้กับสถานการณ์นั้น ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้หลายคนต้องการที่จะเข้ามาช่วยเหลือ ในขณะที่ศิษย์ของสำนักจื่อซย่าก็เคลื่อนไหว สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันเองทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเข้าถึงโม่เทียนเกอและคู่ต่อสู้ของนางเลย

 

 

โม่เทียนเกอไม่มีเวลาที่จะสนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว นางเห็นว่าไอ้คนโง่เง่านั้นหยิบลูกกลมสีม่วงขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมาและกำลังจะโยนมาที่นาง

 

 

โม่เทียนเกอต่างตื่นกลัวเช่นเดียวกับมู่หรงเยียนที่หน้าซีดลงทันที ทั้งคู่ได้เห็นถึงพลังของสิ่งนั้นมาแล้ว ถ้ามันถูกใช้อีกครั้ง พวกเขาไม่สามารถป้องกันตัวเองได้แน่นอน

 

 

ภายใต้ช่วงเวลาคับขัน โม่เทียนเกอหยิบเครื่องรางป้องกันระดับสูงออกมา เกราะป้องกันปรากฏขึ้นครอบโม่เทียนเกอและมู่หรงเยียนไว้ด้านในทันที

 

 

“ตูม!” เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้น ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของเหล่าผู้ฝึกตนคนอื่น โม่เทียนเกอเริ่มเคลื่อนพลังวิญญาณ เตรียมพร้อมป้องกันการโจมตีที่จะมีเข้ามา ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ต้องประหลาดใจที่สามารถสกัดกั้นพลังได้โดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลย

 

 

โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นแล้วก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น

 

 

ฉินซีกัดฟันพร้อมตะโกน “เจ้าจะมามัวแข็งทื่ออยู่ทำไม รีบมาช่วยเร็ว!!!” กลายเป็นว่าฉินซีถือกระบี่พร้อมกับใส่พลังวิญญาณของเขาลงไปแล้วยืนสกัดแรงโจมตีข้างหน้าพวกเขา

 

 

ทันทีที่นางตื่นจากภวังค์ โม่เทียนเกอรีบเคลื่อนพลังวิญญาณเพื่อช่วยลดภาระของฉินซี

 

 

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง พลังที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงระเบิดก็สงบลง

 

 

เมื่อเห็นว่าพวกนางสามารถทนต่อการโจมตีของเขาได้ ชายโง่เง่าขู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมพุ่งเข้าหาพวกเขา เพราะโม่เทียนเกอเกือบสูญชีวิตของนาง นางจึงไม่เกรงใจ หยิบเครื่องรางเยือกแข็งออกมา มู่หรงเยียนก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียประโยชน์ นางควบคุมเครื่องมือวิญญาณของนางให้พุ่งเข้าใส่คนโง่เง่านั้น ฉินซีก็ใช้ศาสตร์ไฟบรรลัยกัลป์พุ่งเข้าใส่เช่นกัน

 

 

ถึงแม้ว่าทักษะของคนโง่เง่านี้จะไม่ได้แย่มากนัก แต่เขาจะต่อต้านการปะทะของทั้งสามคนได้อย่างไร เพราะเขาหลบหลีกเครื่องรางเยือกแข็ง เขาจึงปะทะเข้ากับคาถาของฉินซี เมื่อเขาเคลื่อนที่ช้าเกินไป เขาก็ปะทะเข้ากับเครื่องมือวิญญาณของมู่หรงเยียนโดยตรง เขาเซไประยะหนึ่งก่อนที่จะล้มลงในที่สุด

 

 

ทั้งสามคนถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขาตายแล้ว พลังของลูกกลมสีม่วงนั้นร้ายแรงผิดธรรมดาไปมาก นอกเหนือไปจากทั้งสามคน คนอื่นๆ ล้วนบาดเจ็บและบางคนถึงกับถูกระเบิดเป็นชิ้นๆ มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถปกป้องตัวเองได้เท่านั้น

 

 

คนที่ตายและบาดเจ็บเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตา ถึงแม้ว่าคนที่ก่อเรื่องจะตายไปแล้ว ทุกคนก็ยังคงโกรธเคืองอยู่ พวกเขาหยิบเครื่องมือวิญญาณและตรงเข้าหาศิษย์สำนักจื่อซย่า สำนักจื่อซย่ามีจำนวนลูกศิษย์มากที่สุด ดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่ยอมที่จะล่าถอยและวิ่งเข้าหาศิษย์ทั้งสองกลุ่มเช่นกัน ทันใดนั้น เครื่องมือวิญญาณและคาถาก็ลอยตกลงมาทั่วท้องฟ้า

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย!” ภายหลังจากการต่อกรกับการลอบโจมตี ฉินซีเรียกโม่เทียนเกอ

 

 

ในขณะที่ปกป้องตัวเอง โม่เทียนเกอดึงมู่หรงเยียนไปทางฉินซี

 

 

“ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่ฉิน”

 

 

“อย่าเสียเวลาขอบคุณอยู่เลย” เขาหยิบเครื่องรางออกมาปึกหนึ่งและส่งให้โม่เทียนเกอ และมู่หรงเยียนด้วยความใจกว้าง “ถือพวกนี้กันไว้ก่อน น่าจะอีกประมาณสิบห้านาทีก่อนที่ม่านพลังทางออกจะเปิดขึ้น”

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจว่าในขณะนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวสุภาพเกรงใจต่อกัน ดังนั้นนางจึงรับเครื่องรางที่เขาให้ และหันหลังโยนเครื่องรางเปลวเพลิงไปทางศิษย์สำนักจื่อซย่าที่กำลังวิ่งมา

 

 

การต่อสู้ที่ชุลมุนนี้มีผู้เข้าร่วมมากที่สุด และยังเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ท้องฟ้าต่างเต็มไปด้วยคาถา เครื่องราง และเครื่องมือวิญญาณที่ลอยไปมา มันยากที่จะมองออกอย่างชัดเจนว่าคนอื่นนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกันหรือเป็นคู่ต่อสู้กันแน่ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะหลบหลีก และใช้ได้เพียงแค่คาถากับเครื่องรางเพื่อป้องกันตนเอง ในตอนท้าย เมื่อไม่มีทางเลือกใดหลงเหลืออยู่ ทั้งสามคนติดเครื่องรางป้องกันไว้กับตัวเพื่อป้องกันทุกการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้

 

 

สำแสงสีขาวในที่สุดก็ปรากฏขึ้นตรงใจกลางลานโล่ง มันสว่างขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ก่อตัวเป็นม่านพลังส่องสว่างเจิดจ้าหลากสีสันที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ

 

 

ทุกคนหยุดการต่อสู้ ขณะที่จ้องมองไปยังม่านพลัง เพียงเสี้ยววินาที ทุกคนรีบวิ่งเข้าสู่ม่านพลังเหมือนกับฝูงผึ้ง

 

 

โม่เทียนเกอตั้งใจที่จะล่าถอย สุดท้ายแล้ว คนที่อยู่ด้านหลังนางรีบวิ่งเข้าผลักนาง กลุ่มคนพยายามอัดตัวเองเข้าไปสู้ม่านพลังอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ในไม่ช้า พวกนางก็ถูกเบียดเขาไปในม่านพลังเช่นกัน แสงมืดและสว่างวาบสลับกันต่อสายตาพวกเขาก่อนที่สภาพรอบๆ ตัวจะเปลี่ยนไป ด้วยการชำเลืองมอง โม่เทียนเกอเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคน

 

 

ถัดมาเรื่อยๆ ทีละคน ลูกศิษย์ต่างถูกส่งออกมาที่หน้าผา เกือบทุกคนล้วนเปรอะไปด้วยคราบเลือด และดูช่างน่าเวทนา บางคนก็บาดเจ็บหนัก

 

 

มู่หรงเยียนเดินมาหาโม่เทียนเกอและกระซิบ “ศิษย์น้องเยี่ย พวกเรา…”

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหัวพร้อมกระซิบกลับ “วางใจเถอะ”

 

 

ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะดูโกรธ แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาฆ่า พวกเขาไม่ได้โจมตีโม่เทียนเกอและคนอื่น อีกอย่าง หลังจากการตะลุมบอนครั้งล่าสุด จำนวนศิษย์ที่ยังมีชีวิตน่าจะเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามของจำนวนแรกเริ่มเท่านั้น หากต้องมีการลงโทษ พวกเขาคงต้องเลือกรับศิษย์เข้าสำนักเพิ่มเติมอีกครั้ง

 

 

เมื่อนางได้ออกห่างมาจากสภาพแวดล้อมการฆ่าฟันกันและไม่ต้องคอยระแวดระวังตัวต่อคนอื่นอีก โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่าร่างกายของนางช่างเหนื่อยล้าอ่อนเปลี้ย จนเกือบล้มลงที่พื้น อย่างไรก็ตาม นางหันหลังกลับ เห็นมู่หรงเยียนคอยมองจดจ่ออยู่ที่ม่านพลัง

 

 

โม่เทียนเกอนึกขึ้นได้ทันทีว่านางยังไม่ได้บอกมู่หรงเยียนเกี่ยวกับมู่หรงจือ

 

 

“ศิษย์พี่มู่หรง…”

 

 

มู่หรงเยียนส่งเสียงตอบกลับแต่นางก็ไม่ได้หันกลับมามองที่โม่เทียนเกอ นางยังคงจับจ้องอยู่กับการมองไปยังม่านพลังนั่น

 

 

โม่เทียนเกอสูดหายใจลึก นางรู้สึกเกลียดตัวเองเข้าเล็กน้อยที่ต้องนำข่าวแสนโหดร้ายมาบอก “ความจริงแล้ว ข้าเจอศิษย์พี่ชายมู่หรง”

 

 

เมื่อได้ยินที่นางบอก มู่หรงเยียนก็หันกลับมาทันที

 

 

โม่เทียนเกอกัดฟันแน่นก่อนที่จะพูด “ศิษย์พี่มู่หรงจื่อตายแล้ว”

 

 

มู่หรงเยียนตะลึงงันและเหมือนกับว่านางแทบจะไม่เชื่อ จนท้ายที่สุด หน้าของนางซีดจางลงพร้อมกับที่นางโผเข้าจับที่แขนเสื้อของโม่เทียนเกอทันที “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้า… พูดอีกทีซิ”

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจ และย้ำอีกครั้ง “ข้าเจอศิษย์พี่มู่หรงจื่อ เขาตายแล้ว”

 

 

มู่หรงเยียนหน้าถอดสียิ่งกว่าเดิม แต่นางยังคงไม่ปล่อยมือและยังคงจ้องมองที่โม่เทียนเกอ “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”

 

 

ครั้งนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หยิบกระเป๋าเอกภพของมู่หรงจือออกมา

 

 

มู่หรงเยียนตัวสั่นเทาเมื่อนางรับมันมาและรีบเปิดดูด้วยความรีบเร่ง เมื่อนางเห็นเครื่องมือวิญญาณที่คุ้นเคย การแสดงออกของนางนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าพร้อมปิดหน้าของนางด้วยมือทั้งสองข้าง

 

 

ถึงแม้ว่าการตายของมู่หรงจื่อจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาง สุดท้ายแล้ว เขาตายในขณะที่ร่วมต่อสู้ศัตรูด้วยกัน การที่ต้องเห็นมู่หรงเยียนต้องเศร้าโศกเสียใจแบบนี้ โม่เทียนเกอจึงรู้สึกแย่ลงไปด้วย

 

 

ฉินซีตบที่ไหล่ของนางและส่ายหน้า มันเหมือนกับเขาพยายามปลอบนางว่าไม่ใช่ความผิดของนาง นางฝืนยิ้มแต่ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

 

“ศิษย์พี่ อย่าเศร้าไปนักเลย ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ศิษย์พี่มู่หรงจื่อก็ยังคงหวังว่าศิษย์พี่จะสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ ศิษย์พี่…” โม่เทียนเกอไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก สุดท้ายแล้ว ประโยคที่แสนเย็นชาต่างๆ ในการช่วยปลอบโยนจะช่วยลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียคนใกล้ตัวไปได้อย่างไร

 

 

เป็นเวลานานทีเดียวที่มู่หรงเยียนจะปล่อยมือออก ไม่มีน้ำตาอยู่บนหน้าของนางอีกแล้วตอนนี้ แต่นางดูซีดเซียวอย่างมาก และท่าทางของนางก็ดูสิ้นหวัง จริงๆ แล้วนางเป็นคนน่ารักและมีเสน่ห์ แต่หลังจากผ่านเรื่องราวโหดร้ายต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีความสดใสและสวยงามหลงเหลืออยู่กับนางอีกเลย

 

 

“ข้าขอโทษศิษย์น้องเยี่ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า ข้า…”

 

 

“ข้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอหยิบกล่องหยกออกมาและมอบให้นาง “นี่คือเถ้าธุลีของศิษย์พี่มู่หรงจื่อ ศิษย์พี่ต้องไม่เศร้าเสียใจ คนที่ตายไม่อยู่แล้ว และท่านก็ต้องดำเนินชีวิตของท่านต่อ”

 

 

มู่หรงเยียนรับกล่องมาและเก็บไว้ในกระเป๋าเอกภพของนางก่อนที่จะยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าพี่ชายของข้าตายอย่างไร”

 

 

โม่เทียนเกอพูด “ตอนที่ข้าพบเข้ากับศิษย์พี่มู่หรงจื่อ เขาบาดเจ็บหนักมาจากการถูกซุ่มโจมตี ในขณะที่เขากำลังฟื้นสภาพ พวกเราก็เผชิญหน้ากับจระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสอง และหลังจากนั้น พวกเราก็เจอกับกลุ่มคนสามคน สุดท้าย ศิษย์พี่มู่หรงจื่อก็ไม่สามารถต้านทานอยู่ได้และเลือกที่จะลากหนึ่งคนในกลุ่มนั้นตายไปพร้อมกับเขา” เมื่อนางเล่าถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกกังวลเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่ อย่ากังวลเกี่ยวกับการแก้แค้นเลย การเป็นศัตรูนี้ไม่อาจลบล้างได้”

 

 

มู่หรงเยียนเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่นางยังรู้สึกว่ายังขาดจุดสิ้นสุดอยู่

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงเยียนเช็ดรอยคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของนาง พร้อมด้วยการแสดงถึงความหนักแน่น นางพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ใช่คนสิ้นคิดเหมือนในอดีตแล้ว ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอย่างไร” หลังจากนั้นนางก็แสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มที่คล้ายจะตำหนิตัวเอง “ถึงแม้ว่าเราจะไม่สืบสายเลือดเครือญาติกัน ตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังเด็ก พี่ชายของข้ารักข้าอยู่เสมอ ไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใด เขาก็จะหาทางนำสิ่งนั้นมาให้ข้า… ตอนนี้เขาคิดหาทางที่จะมอบยาสร้างฐานแห่งพลังให้กับข้า แต่ข้าไม่คิดเลย… ว่าราคานั้นมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเอง”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ยามเฉิน 07:00-09:00 น.