ยามบ่าย
ทุกอย่างดำเนินไปตามความคาดหมายของโม่เทียนเกอ
คนที่คิดแผนนี้อยากจะมอบโอกาสให้ศิษย์ของทั้งสามกลุ่มได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่เขาคงไม่ได้คาดการณ์ว่าที่จริงแล้วมันจะเป็นการเปิดโอกาสในการฆ่ากัน
ด้วยเหตุนี้ ปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของสำนักจื่อซย่าจึงรู้สึกโกรธจัดจนเขาเกือบจะตบคนที่คิดแผนนี้ถึงตาย
อย่างไรก็ตาม เป็นเวลานานหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณถึงเพิ่งจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในวันที่การทดสอบของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเสร็จสิ้น ปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนที่ดูซีดเซียวได้ส่งศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังบางส่วนมาเพื่อจัดการเก็บกวาดเรื่องวุ่นวาย ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังพวกนี้สามารถนำตัวศิษย์ที่บาดเจ็บสาหัสหลายคนกลับไปได้ แต่ก็ต้องทบทวนถึงเหตุการณ์น่าสลดในป่านี้
กระนั้นเหล่าลูกศิษย์ถูกปล่อยไม่ให้รู้เรื่องรู้ราวว่าพวกปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังกำลังหารือเรื่องอะไรกันอยู่ พวกเขาไม่เปิดเผยอะไรทั้งสิ้น พวกปรมาจารย์เพียงแค่พาพวกเขากลับไปยังสำนักและห้ามไม่ให้ออกจากภูเขา หลังจากที่ศิษย์พี่โจวไปถามข่าวคราวและบอกว่าไม่ต้องกังวล พวกเขาจึงสงบลงได้
หลังจากการเดินทางครั้งนี้ จำนวนคนในสนามของพวกเขาจัดว่าน้อยลง บ้านของโม่เทียนเกอถือว่ายังโชคดี จากจำนวนห้าคน สี่คนสามารถมีชีวิตกลับมาได้ คนเดียวที่ไม่รอดออกมา… คือสวีจิ้งจือ
แม้ว่าอาการบาดเจ็บของหลิ่วอีเตาจะสาหัส แต่เขาก็ยังรอดชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สวีจิ้งจือนั้นหายตัวไป ไม่แน่ชัดว่าเขาตายด้วยน้ำมือของใครและศพหรือเถ้ากระดูกของเขาอยู่ที่ไหน ไม่มีแม้แต่เบาะแสเล็กน้อยเลยว่าเขาอยู่ที่ไหน
ในหายนะครั้งนี้ มีหลายคนที่หายตัวไป แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าสวีจิ้งจือจะอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ด้วย
เมื่อได้รับการยืนยันข่าวนี้ คนจากเผ่าสวีจึงมาเพื่อเก็บข้าวของของสวีจิ้งจือ เหตุนี้ร่องรอยของสวีจิ้งจือทั้งหมดในบ้านหลังนี้ได้หายไปแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าสำนักจึงประกาศผลของการทดสอบ เป็นอย่างที่พวกเขาคาด แทนที่จะมีการสืบสวนต่อไปและมีบทลงโทษ แต่กลับเป็นการประกาศผู้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง
ในการทดสอบนี้ จากศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ร้อยคนที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้ มีสี่สิบคนที่ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ตามรายงาน เพราะว่าจำนวนของศิษย์ระดับหัวกะทิที่ถูกสังหารนั้นมีมากเกินไป ปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่จากสำนักจื่อซย่าจึงตัดสินใจให้ยาสร้างฐานแห่งพลังเพิ่มมากขึ้น หวังว่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนอาจเกิดขึ้นมาจากกลุ่มนี้เพื่อชดเชยคนที่เสียไป ทั้งสี่คนในบ้านของโม่เทียนเกอ เช่นเดียวกับมู่หรงเยียน ล้วนอยู่ในหมู่คนที่ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง
ถึงกระนั้น ข่าวนี้ก็ไม่ได้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกสุขใจ การตายของมู่หรงจื่อและการหายตัวไปของสวีจิ้งจือทำให้นางรู้สึกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางจำท่าทีฉุนเฉียวของสวีจิ้งจือก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้นได้… อันที่จริง ในวันนั้นนางก็รู้สึกถึงลางไม่ดีอยู่แล้ว แต่นางไม่ได้นึกจริงจังอะไร นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันที่พวกเขาต้องจากกันเป็นครั้งสุดท้าย
“ศิษย์น้องเยี่ย”
โม่เทียนเกอซึ่งนั่งพิงต้นไม้อยู่ เงยหน้าขึ้นและเห็นฉินซียืนอยู่ตรงหน้า เสนอเหยือกเหล้าองุ่นในมือให้กับนาง
โม่เทียนเกอฝืนยิ้มและรับเหยือกมา
ฉินซีนั่งลงข้างๆ นาง ทั้งสองคนดื่มเหล้าองุ่นอย่างเงียบๆ ในบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงนี้ แสงอาทิตย์ตกกระทบผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ สาดส่องร่างของพวกเขาและทำให้รู้สึกเกียจคร้านเกินกว่าจะขยับเขยื้อนใดๆ บริเวณรอบตัวเงียบสงบ มีเพียงเสียงน้ำตกสาดกระเซ็นอยู่สักที่ไกลๆ เติมเต็มความว่างเปล่า
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ คนแปดคนยังนั่งคุยและล้อเล่นกันอยู่ตรงจุดนี้ กลุ่มคนที่ทำให้โม่เทียนเกอไม่ว่างเว้นจากการทำนั่นทำนี่ แต่บัดนี้สวีจิ้งจือตายแล้ว หลิ่วอีเตาบาดเจ็บสาหัส หวังเชี่ยนอีแต่งงานแล้ว เฉินปิงต้องกลายเป็นเมียน้อย มู่หรงเยียนฝึกตนอย่างหนักหน่วง และศิษย์พี่โจววุ่นอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับอนาคตของเขา คนเดียวที่สามารถจะมาเป็นเพื่อนนางในการนั่งเล่นที่นี่ได้คือฉินซี
“ศิษย์พี่ฉิน”
“หือ”
“ถ้าศิษย์พี่สร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้แล้ว จะทำอะไรหลังจากนั้น”
“แน่นอนว่าข้าจะฝึกตนต่อไป… เจ้าถามทำไม”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุผลเบื้องหลังความหดหู่ใจของนางอย่างไรดี “ข้าแค่ไม่เข้าใจ ท้ายที่สุดแล้วทำไมคนเราถึงฝึกตน”
เหตุใดคนเราถึงฝึกตน คำถามนี้แปดในสิบของคนในโลกแห่งการฝึกตนคงจะตอบโดยอัตโนมัติว่า “เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว” แต่จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวไปเพื่ออะไรล่ะ การต่อสู้กันเองเช่นนี้ การทำให้เกิดคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน… หากคนเราอยากจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวจริงๆ ทำไมถึงทำกับชีวิตคนอื่นได้ระห่ำขนาดนั้น
ฉินซีครุ่นคิดถึงคำตอบอย่างจริงจัง แต่แทนที่จะตอบ เขาเพียงแค่ส่ายหน้าและเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน “ข้าเกิดในครอบครัวผู้ดี แต่เพราะข้าไม่ได้มาจากสาขาหลัก ข้าจึงไม่เคยถูกเห็นค่าและมักจะโดนคนอื่นรังแกเสมอ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ข้ายังเล็ก ข้ามักจะคิดว่าข้าแตกต่างจากคนอื่นๆ ข้าไม่อยากจะทะเลาะเพื่อให้เหนือกว่าพวกพี่ชาย และข้ายังไม่มีความสนใจอยากเล่นสนุก ข้ามักจะจดจ่ออยู่กับการเรียนแทน”
“จากนั้น เมื่อข้าอายุแปดขวบ มีแขกมาที่พำนักขององค์ชาย อ้างตนว่าเป็นบรรพบุรุษของเรา เขาดูเป็นคนที่พิเศษมาก แม้ว่าเขาจะอายุกว่าหลายร้อยปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ดูแก่เลยสักนิด แม้แต่หัวหน้ากลุ่มผู้น่าเกรงขามยังไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาเลยต่อหน้าเขา”
“ไม่นานหลังจากนั้น ข้าก็ถูกพาไปพบเขา หลังจากเขาประเมินรากวิญญาณของข้า เขาก็บอกผู้อาวุโสในกลุ่มว่าเขาจะพาข้าไปด้วย ในตอนนั้นข้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องคาดหวังอะไร แค่รู้สึกว่า… บางทีนี่อาจเป็นหนทางที่ข้าควรเดินต่อไป”
พูดจบ เขาก็หันมาและยิ้มให้ “ที่จริง สัญชาตญาณของข้าถูกต้องแล้ว ข้ากำลังเดินบนทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพวกพี่น้องจากที่บ้านขององค์ชาย ตอนนี้ข้ายังหนุ่ม แต่อดีตพี่ชายพี่สาวของข้ากลายเป็นผงธุลีกันหมดแล้ว ทำไมคนเราถึงฝึกตนน่ะหรือ ข้าตอบคำถามนี้ไม่ได้จริงๆ เท่าที่ข้ารู้ การฝึกตนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสม ข้าไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามว่าทำไม ข้าแค่จำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป”
การเล่าเรื่องอย่างใจเย็นทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกสงบ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังรู้สึกเหมือนนางได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของเขาด้วย
“แค่จำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป… จริงหรือ” โม่เทียนเกอนวดหน้าผากตัวเองและกระซิบ “ข้ารู้ว่าทำไมข้าอยากจะเดินบนเส้นทางนี้… เมื่อข้ายังเด็ก ข้าฉลาดเกินกว่าวัย ข้ายังเด็กมาก แต่ก็เข้าใจว่าจะอ่านสีหน้าคนได้อย่างไร และข้าก็เคยชินกับความแปรปรวนของมนุษย์ ในตอนนั้น ข้ามักจะพบแต่ความเจ็บปวดใจ เกลียดตัวเองที่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้และเสียใจที่ไม่สามารถเป็นอย่างเด็กคนอื่นได้”
“ตอนหลัง… ตอนหลังข้าได้เจอกับท่านอารองและเรียนรู้ว่าที่จริงแล้วข้าแตกต่างจากเด็กคนอื่น ทำไมข้าถึงฝึกตนน่ะหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อย่างไรก็ตาม ท่านอารองครั้งหนึ่งเคยบอกว่าถ้าไม่มีพละกำลังก็จะไม่มีอิสรภาพ”
“หากไม่มีพละกำลังก็จะไม่มีอิสรภาพ” ฉินซีพูดตามพึมพำ สายตาที่เขาเคยใช้มองนางกลับกลายเป็นซับซ้อนยิ่งขึ้น
โม่เทียนเกอเอาเหยือกเหล้าองุ่นเก็บหลังจากนางดื่มจนหมด ที่จริงแล้วนางไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นมาก่อน นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นและไม่มีโอกาสด้วย ท่านอารองก็ไม่ดื่มเช่นกัน เขาบอกว่าในฐานะผู้ฝึกตน พวกเขาต้องไม่หลงมัวเมาในความสุขทางโลกของมนุษย์ เพราะอย่างนั้น นางจึงรับวิธีคิดแบบเดียวกันมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้สึกว่าการดื่มเช่นนี้ช่างน่าเพลิดเพลิน
“ศิษย์พี่ฉิน ผู้อาวุโสคนนั้นของท่านคงจะทิ้งท่านไปแล้ว ใช่หรือไม่”
ฉินซีหยุดและไม่ได้พูดอะไร
“อันที่จริง จุดจบของชีวิตท่านอารองกำลังใกล้เข้ามา ถ้าไม่ใช่ปีนี้ก็ต้องเป็นปีหน้า บางครั้งข้ารู้สึกว่าสามารถยอมรับได้อย่างใจเย็น แต่บางครั้งข้าก็รู้สึกว่ามันคงยากที่จะจินตนาการ ถ้าท่านอารองไม่อยู่ที่นี่ แล้วข้าจะทำอย่างไร ข้าจะทำอย่างไรถ้าเขาเป็นเหมือนศิษย์พี่สวีที่หายตัวไปกะทันหันเสียจนเราไม่ได้แม้แต่จะร่ำลา” นางกอดตัวเอง ซ่อนใบหน้าไว้ในอ้อมแขน รู้สึกกลัวที่จะพูดต่อ
ฉินซีอยากจะตบบ่าปลอบใจนาง แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้ยื่นมือไปแตะตัวนาง ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงพูดว่า “ข้าไม่เหมือนเจ้า ที่จริงต้นทุนตามธรรมชาติของข้าไม่ได้ดีที่สุด แต่ฝึกตนมาจนถึงจุดนี้ ข้ายังไม่เจออุปสรรคอะไร ท่านทวดของข้าบอกว่าข้าอาจจะเกิดมาเพื่อฝึกตน ข้ายังไม่เคยประสบกับความหมกมุ่นหรือการขัดขวางอะไร พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าไม่มีความรู้สึกที่ไม่จำเป็น ข้าไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่ข้ารู้ว่าเจ้าให้ความสำคัญอย่างมากกับความรู้สึกและความหมกมุ่น หากเจ้าไม่ละทิ้งมันเสีย เจ้าก็จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยาก”
โม่เทียนเกออึ้งไป “ความหมกมุ่น…”
ฉินซีถอนใจ สุดท้ายเขาก็ตบบ่านางและกล่าวว่า “ข้าก็พูดได้เท่านี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำได้หรือไม่ได้มันขึ้นอยู่กับตัวเจ้า การฝึกตน… บางทีสำหรับพวกเรา มันหมายถึงการต้องละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่าง…”
โม่เทียนเกอคิดอย่างลึกซึ้ง ความหมกมุ่นรึ? เป็นไปได้ไหมว่าในวัยเด็กข้าโหยหาอย่างมากจนตอนนี้ข้ามีความหมกมุ่น? นางรู้สึกว่านางพอเข้าใจบ้าง แต่ก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อย
ขณะที่ฉินซียื่นเหยือกเหล้าองุ่นให้อีก เขาพูดว่า “อย่าคิดมากเลย ถ้าเจ้าคิดออกโดยง่ายมันก็ไม่ใช่ความหมกมุ่น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีชะตาลิขิต เพราะฉะนั้นค่อยๆ ใช้เวลาเถอะ”
หลังจากกระดกเหล้าองุ่นไปอีกเหยือก โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกมึนหัวมากขึ้น ในสภาวะมึนงง นางได้ยินฉินซีล้อนางรางๆ ว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นมาก่อนใช่ไหม เจ้าดื่มเหล้าอย่างกับดื่มน้ำได้อย่างไรเล่า”
โม่เทียนเกอรู้สึกวิงเวียน เมื่อนางมองขึ้นไป ดูเหมือนนางจะเห็นภาพของฉินซีหลายคนแกว่งอยู่ต่อหน้านาง หลังจากเอียงหัวซ้ายขวา ในที่สุดนางก็ยื่นมือออกไป พยายามจะหยุดการแกว่งไปมา “ศิษย์… พี่ฉิน ทำไมท่านถึงเสก… คาถาลวงตา”
ฉินซีแปลกใจแต่ไม่นานนักก็ระเบิดหัวเราะออกมา “เจ้า… ถ้าข้ารู้มาก่อน ข้าคงให้เจ้าดื่มตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้านี่มัน…”
โม่เทียนเกอจ้องเขาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะยืนขึ้นและเดินโงนเงนไปทางน้ำ
ฉินซีตะโกนไล่หลัง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
นางยังคงเดินโงนเงนต่อไป โม่เทียนเกอตอบว่า “ล้าง… ล้างหน้า”
นางหมอบลงเมื่อเดินไปถึงน้ำในที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ นางก็ประหลาดใจทันที
นางไม่ได้ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองมานานแล้ว วันนี้นางเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีความแตกต่างอย่างมากในใบหน้าปัจจุบันกับใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำ คิ้วที่เคยบางบัดนี้ได้รูป เค้าโครงของใบหน้าดูเหมือนจะเห็นชัดขึ้น แก้มนางก็อวบอิ่มขึ้น เห็นได้ชัดว่าคล้ายกับใบหน้าของผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่านางจะยังมึนหัวอยู่ แต่นางก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่า… ใบหน้านี้ยิ่งดูเหมือนใบหน้าสตรี
“ศิษย์น้องเยี่ย ยังไม่เสร็จอีกรึ”
เมื่อได้ยินเสียงตามหลังนางมา โม่เทียนเกอรีบกวักน้ำด้วยมือและล้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้น นางก็เห็นว่าใบหน้าของนางยังผุดผ่องและสวยงามดังเช่นก่อนหน้านี้
กลัวว่าจะถูกฉินซีเห็นเข้า นางจึงไม่กล้ามองกลับไป นางเสียสติไปกับความตื่นตกใจ และสงสัยว่าจะมีใครที่สังเกตเห็นนางบ้างแล้วหรือไม่…
“ศิษย์น้องเยี่ย…”
ทันใดนั้น เท้าของนางลื่นและไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ด้วยเสียงดัง “จ๋อม” นางตกลงไปในน้ำ
“ศิษย์น้องเยี่ย!” ฉินซีตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น หลังจากพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ในที่สุดเขาจึงได้สติ เขาพุ่งไปข้างหน้าทันที คว้าตัวโม่เทียนเกอที่ยังผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นลงจากน้ำและลากนางกลับไปยังฝั่ง
เขาอดที่จะส่ายหัวไม่ได้ “ข้าต้องบอกเลยนะ… ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคงจะเมากับความโง่งมของตัวเอง… เจ้าเป็นผู้ฝึกตนแต่ยังทำตัวเองจมน้ำเสียได้ แล้ววิชาตัวเบาของเจ้าเล่า”
เมื่อเขาก้มมองนาง เขาก็ยิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูก นี่ไม่ใช่แค่ความโง่ธรรมดา นางถึงกับหมดสติจากการสำลักน้ำ…
หลังจากวางร่างของนางใต้ต้นไม้ ฉินซีนึกในใจและยกมือขึ้น จู่ๆ ก็มีกิ่งต้นท้อสีสันสดใสปรากฏขึ้นในมือของเขา มีดอกท้อที่กำลังเบ่งบานปกคลุมไปด้วยน้ำค้างตรงปลายกิ่ง ราวกับว่ากิ่งนี้ถูกเด็ดมาสดๆ จากต้น
ฉินซีพูดพึมพำเพียงไม่กี่คำ แกว่งมือและตะโกนว่า “ไป!”
ในที่สุด ทั้งสองคนก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย
จากมุมมองของฉินซี อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังอยู่ ณ จุดเดิมพร้อมกับลำแสงอ่อนๆ ล้อมรอบพื้นที่เล็กๆ นั้น เขาก้มลงและจ้องมองโม่เทียนเกอที่กำลังหมดสติ ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็ยื่นมือไปหาปกคอเสื้อเปียกโชกของนางและคลำหา ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ดึงเอาสร้อยสีแดงที่มีจี้หยกออกมา
จี้หยกนั้นกลม มีสีโทนอุ่นและลวดลายของเมฆที่โดดเด่น ฉินซีถอนหายใจ “นั่นสินะ…”