ยาสร้างฐานแห่งพลัง

 

โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อนางตื่นขึ้น ทั่วทั้งห้องมืดสนิท นางพยุงตัวขึ้นและนวดหน้าผากด้วยความมึนงง น่าแปลก นี่เราหลับไปได้อย่างไร?

 

 

เมื่อนางลุกขึ้นนั่งและเคลื่อนพลังวิญญาณไปทั่ววิถีวงโคจร อาการปวดหัวของนางจึงหยุดลง นางจึงค่อยๆ นึกย้อนไปว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนนางจะหลับไป หรือเกิดอะไรขึ้นก่อนที่นางจะเมา

 

 

ช่างน่าอายจริงๆ … นางไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นมาก่อน แต่นางก็ยังกล้าเลียนแบบฉินซีและดื่มจนไม่ได้สติ สิ่งที่แย่ที่สุดคือการที่นางขาดสติไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกเลยหลังจากที่นางเมา!

 

 

โม่เทียนเกอล้มกลับลงไปบนที่นอน ส่งเสียงคร่ำครวญ โชคดีที่ไม่มีใครเห็นนางนอกจากศิษย์พี่ฉิน… ศิษย์พี่ฉิน! นางรีบลุกขึ้นนั่งอีกครั้งและเริ่มจับคลำไปทั่วตัว ยังดี… เสื้อผ้านางยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และจี้หยกซ่อนวิญญาณยังอยู่ที่เดิม

 

 

นางลากเสียงถอนใจแต่ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี นางจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่นางจะเมา นางจำได้เพียงแค่รางๆ ที่ฉินซีบอกนางว่าหากจะเดินไปในเส้นทางของผู้ฝึกตนต่อไป นางจะต้องปล่อยวางสิ่งที่หมกมุ่น อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่านางได้ลืมบางอย่างไป…

 

 

ภายหลังจากคิดอยู่เป็นเวลานานอย่างไร้ประโยชน์ นางก็ปัดเรื่องต่างๆ ทิ้งไป ในเมื่อนางไม่สามารถจำได้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไรนัก เรื่องที่สำคัญคือนางจะต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้ประมาทแบบนี้อีก นางโชคดีที่ฉินซีไม่ได้ทำอะไรนาง หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกและหากเป็นกับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉินซี เกิดนางถูกฉวยโอกาสตอนที่นางไม่มีสติ ความลับของนางต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่

 

 

เมื่อตั้งสติได้แล้ว นางก็ลงจากที่นอนเพื่อทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้น ทว่าก่อนหน้านั้น นางหยิบหินจันทราจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนไว้บนที่นอน ห้องส่องสว่างขึ้นในทันที ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะยังอยู่เหมือนเดิม แต่ก็มีทั้งรอยยับและกลิ่นของเหล้าอยู่ โม่เทียนเกอเดินไปที่อ่างล้างมือตรงมุมห้อง ขมวดคิ้วในขณะที่นางถอดชุดคลุมด้านนอกออกเพื่อทำความสะอาดตัวเอง เมื่อกลิ่นเหล้าจางหายไปแล้วนางจึงใส่ชุดคลุมตัวใหม่

 

 

ในขณะที่นางกำลังจะแก้มัดผมเพื่อหวีใหม่อีกครั้ง นางก็สังเกตเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกทองแดงที่แขวนอยู่บนกำแพง นางหยุดนิ่ง หลังจากนึกถึงอะไรบางอย่างครู่หนึ่ง นางก็หยิบหวี แก้มัดผม ค่อยๆ แบ่งผมเป็นช่อๆ แล้วมวยขึ้น ในขณะที่นางกำลังทำทรงนี้ ผมมวยนั้นก็เอียงไปเอียงมาหลายครั้งเพราะนางไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการทำผมเช่นนี้

 

 

ถึงตอนที่นางทำผมเสร็จ ก็ได้เพียงแค่ยิ้มขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้กับเงาสะท้อนในกระจก นางไม่ได้แต่งตัวเช่นสตรีป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว นางไม่สามารถที่จะทำผมทรงผู้หญิงได้ด้วยซ้ำ คนที่อยู่ในกระจกไม่ได้ดูน่าพอใจนักในสายตาที่มองเห็น ดังนั้นนางจึงแกะมวยผมออกอีกครั้ง และหวีผมเพื่อมวยผมเป็นทรงชาวลัทธิเต๋าตามเดิม

 

 

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นก็ยังดูอ่อนช้อยเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย

 

 

โม่เทียนเกอพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคลำหาบางอย่างในกระเป๋าเอกภพ ครั้งแรกนางใช้ไม้ชิ้นหนาสีดำเพื่อเขียนให้คิ้วของนางหนาขึ้น หลังจากนั้นนางป้ายผงแป้งสีเทาจากขวดหยกเพื่อทำสันจมูก เพิ่มเบ้าตา และขากรรไกรล่างให้ดูเข้มขึ้น

 

 

ตอนนี้คนที่อยู่ในกระจกดูดุดันขึ้นแล้ว คิ้วนางหนาขึ้นเล็กน้อยดูเหมือนผู้ชายมากขึ้น หลังจากนั้นนางจึงลบร่องรอยของใช้ก่อนที่จะเก็บกลับเข้าไป สองสิ่งนี้จริงๆ แล้วคือส่วนประกอบในการชำระล้างเครื่องมือ แต่ในเมื่อมันไม่ได้เป็นพิษ ทาไว้บนหน้าก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้นางมียาสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ดังนั้นนางจะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น

 

 

หลังจากนั้น โม่เทียนเกอจึงเดินกลับไปที่ข้างเตียง หยิบกระเป๋าเอกภพจากเสื้อคลุมของนางออกมาและเริ่มจัดของต่างๆ ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อฝึกตน

 

 

ด้วยความเป็นจริงแล้ว นางได้ครอบครองของเยอะมากจากการทดสอบครั้งล่าสุด เพียงแค่ซากสัตว์ปีศาจอย่างเดียวก็นับว่าร่ำรวยมากมายแล้ว แต่นางยังได้ยาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณ อุปกรณ์หลากหลายอย่าง และศิลาวิญญาณกว่าพันอัน

 

 

เมื่อนางกลับมาเพื่อทำรายการสิ่งของ แล้วนางก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในขึ้น แทนที่จะต้องทำงานหนักอยู่หลายปีอย่างที่ผ่านมา นางอาจจะเพียงแค่ฆ่าคนหลายคน แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นผลกำไรมากมายกว่าเสียอีก โชคดีที่นางล้มเลิกความคิดนี้ในทันที มันคงเป็นเรื่องที่แย่มากหากความคิดอันแสนโหดเ**้ยมนี้เติบใหญ่ขึ้นจนทำให้นางถูกควบคุมจากมารร้ายในอนาคต

 

 

โดยไม่รู้ตัว เวลาหลายชั่วโมงผ่านไปและท้องฟ้าด้านนอกส่องสว่างเรียบร้อยแล้ว

 

 

โม่เทียนเกอซ่อนพลังวิญญาณ กระโดดลงจากที่นอน จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะเปิดประตูออกจากห้องไป

 

 

ในห้องนั่งเล่น ฉินซีกำลังนั่งวาดเครื่องรางอยู่ตรงเก้าอี้ที่เดิมของเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง และเพียงแค่พูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าตื่นแล้วหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าฉินซีนั้นดูปกติมาก นางจึงรู้สึกมั่นใจมากขึ้นและพูดกลับว่า “มีอะไรอย่างนั้นหรือ”

 

 

“พวกเราจะต้องไปรับยาสร้างฐานแห่งพลัง…” ฉินซีเก็บกระดาษและพู่กันกลับไป เมื่อเขาหันกลับมา อย่างไรก็ตามเขาจ้องมองนางอย่างนิ่งเฉย

 

 

ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาทำให้โม่เทียนเกอค่อนข้างประหม่า หรือว่าการทาหน้าปลอมตัวของข้ามันชัดเจนเกินไป

 

 

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ฉินซีส่ายหน้า “ข้าคิดว่าข้าคงโง่ไปเสียแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้ามีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม เพียงแต่ข้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางยิ้มแห้งๆ พร้อมพูดว่า “อะไรต่างไปหรือ พวกเราจะไปรับยาสร้างฐานแห่งพลังกันไม่ใช่หรือ ไปกันเถอะ!”

 

 

ฉินซีพยักหน้า หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน

 

 

โม่เทียนเกอเดินอยู่ทางด้านหลัง ปาดเหงื่ออย่างเงียบๆ

 

 

ความจริงแล้วทั้งสี่คนในบ้านนี้มักจะเดินทางไปด้วยกัน แต่ตอนนี้สวีจิ้งจือได้ตายไปแล้ว ในขณะที่หลิ่วอีเตาผู้ซึ่งบาดเจ็บหนักก็อยู่ที่ยอดเขาทิศเหนือร่วมกับศิษย์พี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังเพื่อพักฟื้น เพียงแค่ช่วงเวลาอันสั้น บ้านนี้ก็กลับว่างเปล่า ฉินซีคงไม่ได้สนิทใกล้ชิดกับนางถ้าสภาพภายในบ้านไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะคนอื่นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาจึงมีกันอยู่แค่สองคนที่จะพูดคุยกันได้

 

 

ยอดเขาทิศใต้ของเขาอวิ๋นอู้ยังคงเหมือนเดิมเช่นก่อนหน้านี้ในแสงแรกของอาทิตย์ยามเช้า ลมเย็นพัดผ่านที่หน้าของนาง แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน โม่เทียนเกอถอนใจเบาๆ

 

 

คนจำนวนค่อนข้างมากมาที่โถงคนงานเรียบร้อยแล้วเมื่อพวกเขามาถึง ทั้งสองคนคอยอยู่ด้านนอกด้วยความสุภาพ

 

 

ไม่นานก็ถึงคราวของโม่เทียนเกอ นางเดินเข้าไปด้านในโถงพร้อมยื่นแผ่นจารึกประจำตัวออกไป เพียงแค่นางผ่านการยืนยันตัวตนและทิ้งร่องรอยพลังวิญญาณของนางไว้ในแผ่นหยกบันทึก อาจารย์ลุงในโถงคนงานก็มอบขวดหยกมาให้ นางเก็บมันลงไปด้วยความระมัดระวัง

 

 

มันไม่ถือว่าเป็นการพูดเกินจริงเลยว่ายาสร้างฐานแห่งพลังคือเลือดแห่งชีวิตของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทีเดียว ศิษย์คนอื่นๆ ที่ได้รับไปแล้วล้วนแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า ในขณะที่โม่เทียนเกอกลับดูสงบเยือกเย็น

 

 

เมื่อฉินซีได้รับส่วนแบ่งของยาสร้างฐานแห่งพลังของเขา ทั้งสองคนก็กลับพร้อมกัน

 

 

“ศิษย์พี่ฉิน ผ่านมาสักพักแล้วที่ท่านเข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณใช่หรือไม่ ท่านจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิทันทีเลยไหม”

 

 

“ก็น่าจะเป็นไปได้ แล้วเจ้าล่ะศิษย์น้อง”

 

 

“ข้า… คงรอก่อน ตอนนี้ ข้ายังไม่ถึงจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณเลย ดังนั้นมันคงจะไม่เป็นการแย่เกินไปนักที่จะมั่นใจก่อนที่จะทำการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ”

 

 

“นั่นก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เช่นกัน…”

 

 

ทั้งคู่กลับเข้าห้องของตัวเองเมื่อถึงบ้านพัก โม่เทียนเกอรอสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูอีกครั้ง เพื่อเตรียมลงจากภูเขา

 

 

การได้ยาสร้างฐานแห่งพลังเป็นเหมือนสัญลักษณ์การสิ้นสุดยุคสมัย ข้อห้ามไม่ให้ศิษย์ทุกคนออกนอกบริเวณสำนักโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถูกยกเลิกไป นางต้องการที่จะเดินทางลงเขาเพื่อไปพบท่านอารอง อย่างไรก็ตาม เพราะนางเพิ่งได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังมา นางกลัวว่าจะมีคนคอยเฝ้ามอง ดังนั้นนางจึงแกล้งทำเป็นกลับไปเก็บของให้เรียบร้อยก่อนที่นางจะออกเดินไปตามทางเพื่อลงจากเขา

 

 

นางแวะที่ร้านขายของสำนักอวิ๋นอู้ก่อนเพื่อแลกศิลาวิญญาณที่ได้รับจากของที่นางขายอยู่ที่ร้านเพื่อยาวิเศษบางอย่าง นางยังขายซากสัตว์ปีศาจที่ร้านด้วยเช่นกัน ในตอนนี้มีหลายคนที่ขายซากของสัตว์ปีศาจ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นที่เตะตา

 

 

พนักงานขายของรู้สึกสะพรึงกลัวเมื่อเห็นซากสัตว์ปีศาจจำนวนมากจากนาง พนักงานขายผู้นี้ก็เป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบที่เกิดขึ้น สำหรับเขา ในเมื่อโม่เทียนเกอครอบครองซากสัตว์ปีศาจมากมายขนาดนี้ นางดูเหมือนคนที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะดูถูกนาง และวางตัวสุภาพอย่างมากเมื่อยื่นศิลาวิญญาณให้

 

 

โม่เทียนเกอรับถุงศิลาวิญญาณมาโดยไม่ตรวจนับพร้อมกับโยนศิลาวิญญาณเป็นค่าตอบแทนให้กับพนักงานขาย หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เดินเลี้ยวลัดเลาะตามทางไปยังสวนเล็กๆ ของท่านอารอง

 

 

“ท่านอารอง!”

 

 

เสียงไอดังมาจากด้านในห้อง โม่เทียนเกอผลักประตูเปิด รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเมื่อนางเห็นชายชราใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยที่นอนอยู่บนเตียง “ท่านอารอง ข้ากลับมาแล้ว”

 

 

เยี่ยเจียงลืมตา เขามองนางด้วยดวงตาขุ่นมัวสีเทาครู่หนึ่ง ไออีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นจึงพูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง “เสี่ยวเทียน…เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” โม่เทียนเกอส่ายหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเล็กข้างเตียง หลังจากนั้นนางหยิบขวดหยกที่บรรจุยาสร้างฐานแห่งพลังออกมาและพูดด้วยความยินดี “ท่านอารอง ดูนี่สิ! ข้าได้ยาสร้างฐานแห่งพลังมาแล้ว!”

 

 

ขณะที่จ้องมองที่ขวดหยก เยี่ยเจียงก็หยิบไปด้วยมืออันสั่นเทา เขาเปิดขวดออกดมก่อนจะหลับตาและพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว! นี่แหละคือยาสร้างฐานแห่งพลัง… เสี่ยวเทียน เจ้าทำได้ดีมาก”

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหัวซ้ำไปมา “ข้าโชคดี มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในการทดสอบครั้งนี้ ดังนั้นจำนวนของยาสร้างฐานแห่งพลังจึงเยอะมากกว่าครั้งก่อนๆ”

 

 

เยี่ยเจียงยิ้มด้วยความเอ็นดู สายตาของเขามีความสงสารอยู่ภายใน “เจ้าคิดว่าอารองคนนี้ไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น? เจ้า… ลืมมันเสียเถอะ สิ่งที่สำคัญคือเจ้าสามารถมีชีวิตรอดกลับออกมาได้”

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะใช้น้ำเสียงที่ดูเหมือนตำหนิ สำหรับโม่เทียนเกอนั้นจริงๆ แล้วล้วนเต็มไปด้วยความห่วงใย นางจับมือที่แห้งเ**่ยวของท่านอารองพร้อมยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านอารองอย่าได้กังวลเลย ตอนนี้ข้ามีฝีมือมากขึ้นแล้ว ทุกๆ วันนอกเหนือไปจากการขยันฝึกตน ข้าก็กำลังฝึกต่อสู้กับคนอื่น ข้าจะไม่มีวันปรานีให้ใครอีกแล้ว ท่านอารอง ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง ระหว่างการทดสอบ…”

 

 

โม่เทียนเกอใช้เวลาสองชั่วโมงในการอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงการทดสอบด้วยเนื้อหาที่ยาวและละเอียด เยี่ยเจียงยิ้มขณะที่ฟังนางเล่า บางครั้งเขากล่าวชื่นชมนางที่ใจเย็น บางครั้งเขาก็ชี้แนะนางอย่างตั้งอกตั้งใจ บอกนางถึงสิ่งที่ดีกว่าในการต่อกรกับสถานการณ์แต่ละอย่าง

 

 

เมื่อบทสนทนานี้จบลง โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางได้ข้อมูลความรู้มากเสียยิ่งกว่าตอนที่นางทบทวนการต่อสู้ด้วยตัวเองเสียอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางรู้สึกเสียใจอย่างช่วยไม่ได้ นางจะทำอย่างไรถ้าท่านอารองไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว?

 

 

พอถึงเวลาที่ทั้งสองคนได้พูดคุยทุกอย่างที่สำคัญไปจนหมดแล้ว เยี่ยเจียงถอนใจและพูด “เสี่ยวเทียน อารองรู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าเจ้ารับมือกับสถานการณ์ในครั้งนี้อย่างไรบ้าง เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานพลังของเจ้า แต่เจ้านั้นยังเด็ก ดังนั้นการลองพยายามบ่อยๆ ครั้งก็คงจะไม่เป็นปัญหาอย่างไรกับเจ้านัก…”

 

 

คำเตือนนี้ฟังเหมือนกับคำแนะนำสุดท้ายจากคนชราใกล้ตาย โม่เทียนเกอเม้มปากและจับมือของท่านอารอง เรียกออกมาด้วยเสียงกระซิบ “ท่านอารอง…”

 

 

เยี่ยเจียงจะไม่รู้ความรู้สึกในหัวใจของนางได้อย่างไร ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาลูบหัวนางพร้อมบอกว่า “เจ้าอย่าเป็นอย่างนี้ เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมีอารองคอยอยู่เคียงข้างต่อไป ถ้าวันหนึ่ง เจ้าประสบความสำเร็จในการรวบรวมขุมพลังของเจ้า จงไปที่กลุ่มเย่ในโลกมนุษย์ และลองมองดูว่ามีใครในรุ่นลูกหลานที่มีรากวิญญาณหรือไม่ หากมีเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างกลุ่มเย่ขึ้นมาใหม่ จงส่งต่อวิถีการฝึกตนก็เพียงพอแล้ว”

 

 

“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอรู้สึกโกรธเล็กน้อยจึงเรียกออกไป

 

 

อย่างไรก็ตาม เยี่ยเจียงปรับสีหน้าเรียบเฉยและพูดอย่างเคร่งครัด “เสี่ยวเทียน แค่เพียงเจ้าไม่ต้องการพูดเกี่ยวกับมัน ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่ต้องเผชิญหน้ามัน เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าคือผู้ฝึกตน เป็นหญิงผู้ฝึกตน ถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้ แล้วเจ้าจะเดินต่อไปได้อย่างไร มันยิ่งยากสำหรับหญิงผู้ฝึกตนมากกว่าชายผู้ฝึกตนในการที่จะถือว่าประสบความสำเร็จ! ความสามารถโดยธรรมชาติของเจ้าไม่ได้ดีนัก และเจ้าเองก็ยังไม่มีกลุ่มหรือผู้อาวุโสที่จะพึ่งพาได้ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่ได้มีอารมณ์ที่หนักแน่นพอ เจ้าก็ควรที่จะเลิกเสียตั้งแต่เนิ่นๆ!”

 

 

โม่เทียนเกอตะลึงงัน ท่านอารองไม่เคยพูดแรงและเข้มงวดกับนางขนาดนี้มาก่อน นางก้มหน้าลงและไม่ได้พูดอะไร

 

 

เยี่ยเจียงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนขึ้น “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าอารองสอนเจ้าไว้อย่างไรตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในเมื่อเจ้าเองไม่ได้มีพื้นฐานทางธรรมชาติที่ดีนักและก็ไม่ได้มีคนที่เจ้าจะพึ่งพาได้ เจ้าจะต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น เจ้าจะโลภมากไม่ได้ และเจ้าก็ไม่สามารถตามใจตามอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน! เจ้าจะต้องจำให้ขึ้นใจเลยว่าการเป็นคนอ่อนแอและอ่อนไหวคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหญิงผู้ฝึกตน ไม่เพียงแต่ภายในวันนี้ แต่ถึงแม้เมื่อเจ้าจะต้องเจอกับการตายของอารอง เจ้าจะต้องยอมรับมันอย่างสงบ ต่อไปเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับอารมณ์ลึกซึ้งระหว่างชายกับหญิง เจ้าจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้และจำเอาไว้ว่าหัวใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและความสัมพันธ์ของโลกนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้!”

 

 

นี่… เราจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? แต่…

 

 

เยี่ยเจียงหลับตาพร้อมกับแสดงให้นางเห็นรอยยิ้มที่สงบสุข “ชีวิตและความตาย นี่คือวัฏจักรแห่งกฎสวรรค์ เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้ฝึกตน พวกเราต่างรู้ดีว่าวัฏจักรแห่งกฎสวรรค์นั้นเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น เพียงแค่หลังการฝึกตน ฝึกตน และฝึกตนเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าได้ครอบครองสวรรค์แห่งเต๋าและกลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง จงกลับไปแล้วทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดี เจ้าสามารถมาหาอารองได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อเจ้าสงบใจยอมรับถึงการตายของข้าได้”

 

 

โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ เวลาผ่านไปนาน สุดท้ายนางทิ้งยาวิเศษบางส่วนไว้ กล่าวลาและเดินออกนอกประตูไป

 

 

การอ่อนแอและอ่อนไหวเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนหญิง

 

 

วัฏจักรแห่งกฎสวรรค์เป็นวงจรที่ไม่มีวันจบสิ้น และสามารถผ่านเข้าไปถึงได้ด้วยการฝึกตนเท่านั้นนางถึงจะสามารถครอบครองสวรรค์แห่งเต๋าและกลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง

 

 

นางยืนอยู่ตรงกลางสนามครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงหลับตาแล้วเดินอย่างเด็ดเดี่ยวออกจากสนามไป