บทที่ 297 การได้พบผู้ปกครองของเฮ่ยเฉิง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 297

การได้พบผู้ปกครองของเฮ่ยเฉิง

หวังฉิงไม่ได้พูดอะไรอีก

มู่หรงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “คนของเจ้าพา เฟิงจือหลิงไปที่ไหน?” ไม่นานหลังจากที่เข้ามาในเมือง เธอก็เห็นว่าเฟิงจือหลิงถูกพวกองครักษ์พาไปในทางตรงกันข้าม

“เจ้าห่วงเขามากงั้นเหรอ?” สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ที่นี่เขาเป็นครอบครัวเดียวของข้า ถ้าข้าไม่สนใจเขาแล้วจะสนใจใครงั้นเหรอ?”

“ครอบครัวเดียวงั้นเหรอ?! แล้วพ่อแม่เจ้าล่ะ?”

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจและเงยหน้ามองฟ้า เธอเองก็คิดถึงพ่อแม่ของเธอเหมือนกัน “พวกท่านไม่ได้อยู่ในโลกนี้…”

“ข้าขอโทษ ข้า…”

“เจ้าคิดอะไร? พ่อแม่ของข้าต้องยังมีชีวิตอยู่ รอให้ข้าไปตามหาพวกเขา!” เธอไม่อยากที่จะเสียเวลาเพิ่มอีกแล้ว เธออยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามเมื่อได้ฟังคำพูดของมู่เทียนแล้ว นี่มันไม่เหมือนกัน เมื่อพูดว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ทุกคนก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝัน เหมือนกับคำพูดของมู่เทียน เขาคิดเพียงว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงและพยายามปลอบใจตัวเอง

“มาเถอะ กลับกันเถอะ เราจะกลับไปพักผ่อนกันก่อน” หวังฉิงพูด

“ข้าอยากจะเจอผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง!” หลังจากที่เงียบไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าไม่อยากที่จะเถียงกับเจ้าหรอกนะ และไม่อยากที่จะเกลียดเจ้าด้วยนะแต่ข้าบอกเจ้าไปอย่างชัดเจนแล้วนะว่าเราไม่ใช่คนที่มาจากโลกเดียวกัน งั้นตอนนี้เจ้าก็ควรที่จะปล่อยข้าไปได้แล้ว!”

เจ้าหมายความว่าไง? เจ้ากำลังพูดว่าเจ้าจะไปดินแดนหิมะงั้นเหรอ?” หวังฉิงคิดได้เพียงเท่านี้ ยังไงซะมู่เทียนก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่อะไรกันล่ะ? เธอไม่มีครอบครัว งั้นเธอก็ไม่ควรจะมีความรู้สึกอะไรกับดินแดนหิมะ

“ไม่ ข้าไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนของดินแดนทั้งสามของเจ้า ข้าไม่ได้มาจากโลกนี้ เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?” ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็พูดออกมาตรงๆ อันที่จริงหวังฉิงดีกับเธอมาตลอด ดังนั้นเธอก็มองเขาเป็นศัตรูจริงๆไม่ได้ ถ้าเขายอมที่จะปล่อยเธอไปมันก็คงจะดีกว่า ถ้าไม่พวกเธอก็เป็นได้เพียงศัตรูกัน

“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?! ถึงได้มาบอกว่าตัวเองเป็นผีแบบนี้” หวังฉิงแสยะยิ้มและไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดเลยสักนิด

คือถ้ามีใครเอาเรื่องแบบนี้มาบอกเธอ เธอก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกัน “มากับข้า!”

มู่หรงเข้าไปในโรงแรม เปิดประตูเข้าไป

“รีบแบบนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะ เราน่าจะค่อยเป็นค่อยไปกันก่อนนะ…” หลังจากที่มู่เทียนดึงหวังฉิงเข้ามาในโรงแรม ชายร่างใหญ่ก็พูดออกมาอย่างเขินๆ

มู่หรงกลอกตา “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่อยากจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่าข้าไม่ใช่คนจากโลกนี้!”

“งั้นข้าจะรอดู!” หวังฉิงพูด

“เจ้าจะได้เห็นให้เต็มตาชัดๆ!” มู่หรงหายแวบเข้าไปในมิติลับทันที ในมิติลับเธอเปลี่ยนผมกลับเป็นสีม่วงแล้วจึงแวบกลับออกมา

อย่างที่คิดไว้ เธอเห็นสีหน้าตกใจของหวังฉิง

“เจ้า…เจ้า…” มันพูดได้ไม่ง่ายเลย คำพูดติดอยู่ในลำคอ

มู่หรงยืนอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร เธอกำลังรอให้หวังฉิงประมวลผลอยู่ เดิมทีเธอก็ไม่อยากที่จะพูดแบบนี้ ถึงแม้จะพูดได้ว่าหวังฉิงบังคับให้พวกเธอมาที่นี่ แต่เขาก็ดีกับเธอจริงๆ เธอไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับเขาเลยจริงๆ เธออยากที่จะแก้ไขด้วยวิธีที่สันติที่สุด

หลังจากที่ผ่านไปนาน หวังฉิงก็หยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา รินชาลงไปในแก้วสองสามใบแล้วก็สงบใจลง “เมื่อกี้เจ้าหายไปไหนมาเหรอ?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เจ้าแค่ต้องรู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่มาจากโลกนี้และเจ้าคงนอนไม่หลับแน่ถ้าอยากที่จะขังข้าไว้ ข้าเชื่อว่าเจ้าได้เห็นแล้วแต่ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่อยากที่จะเปิดเผยอะไรมากเกินไป” มู่หรงเสวี่ยอธิบายเสียงเบา

หวังฉิงเงียบ อันที่จริงในหัวของเขาหมุนไปหมดแล้ว เขารู้สึกว่ามันไม่มีคำอธิบายเลย อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสิ่งที่มู่เทียนทำเมื่อกี้ เรื่องที่อยู่ดีๆก็หายตัวไปก็อธิบายทุกอย่างแล้ว

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจและนั่งลง หันมองไปที่หวังฉิงและพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับเจ้าจริงๆนะ เป้าหมายของพวกเราก็แค่จะหาทางกลับบ้าน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ที่นี่นานๆ”

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปอีกหลายครั้ง “ในเมื่อเจ้าสามารถที่จะหนีไปเองได้อยู่แล้ว งั้นทำไมเจ้าไม่รีบหนีไปตั้งแต่แรกเลยล่ะ? ทำไมต้องรอคำอนุญาตจากข้าด้วย?” เขาไม่ได้โง่ เขาจับประเด็นได้ในทันที

บ้าจริง เขานี่ฉลาดจริงๆ แน่นอนว่ามันเป็นเพราะเธอคนเดียวที่มีมิติลับ เฟิงจือหลิงไม่มี แต่เรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจคือน้ำเสียงและสีหน้าของเขา “เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ยอมรับเรื่องที่อยู่ดีๆก็หายตัวไปแล้วโผล่กลับมาได้แบบเจ้า ก่อนหน้านี้เราก็อยากที่จะหนีแต่แค่ไม่อยากที่จะสร้างความแตกตื่น อีกอย่างเรายังอยากที่จะหาทางกลับบ้านอยู่ งั้นเราก็หนีไปตลอดกาลไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”

“ทำไมเจ้าถึงอยากที่จะกลับบ้านล่ะ? อยู่ที่นี่มันไม่ดีกว่างั้นเหรอ? ตราบใดที่เจ้าอยู่ เจ้าก็จะมีความสุขกับความหรูหราและความร่ำรวยและข้ายังจะยกให้เจ้าเป็นคนโปรดด้วยนะ…” เขาอยากที่จะพูดชื่นชมความงามนี้จริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเลยก็ตาม

มู่หรงพูดไม่ออกเลย “ครอบครัวข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงอยากที่จะกลับบ้านงั้นเหรอ?! และข้าก็ไม่ได้ต้องการความหรูหราและความร่ำรวยด้วย ข้าเองก็มีของพวกนั้นมากมายอยู่แล้ว”

“ข้าคิดว่า…” เขายังไม่อยากที่จะปล่อยเธอไป

หลังจากที่เงียบไปสักพัก หวังฉิงก็มองมาที่ดวงตาของ มู่เทียนด้วยความรู้สึกน่ากลัวและมีความคิดที่ว่าถ้าเขามัดมือ มัดเท้าเธอแล้วเธอจะยังหนีได้หรือเปล่า

มู่หรงเริ่มที่จะรู้สึกขนลุก “หยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

โอ้ พระเจ้า นี่น่ากลัวจริงๆ หวังฉิงดูเหมือนจะมีสองบุคลิก เธอเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว นี่มันน่าแปลกจริงๆเลย!

ประกายสีแดงในสายตาของหวังฉิงจางหายไปและเขาก็เริ่มที่จะสงบลงได้แล้วจึงพูดออกมา “ถ้าเจ้าอยากที่จะเจอผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง เจ้าก็เจอเขาได้แต่มันก็ยากหน่อยที่จะได้เจอเขา แน่นอนว่าข้าจะดูแลเฟิงจือหลิงอย่างดี ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลับมาใช่ไหม?”

“เจ้าไม่ได้เรื่องที่ข้าเพิ่งพูดไปหรือไง? ข้าบอกว่า เราไม่ใช่คนจากโลกเดียวกัน ทำไมเจ้าถึงต้องทำแบบนี้อีก?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ใช่ อะไร? เจ้ามีวิธีที่จะกลับไปหรือไง? เจ้าอาจจะกลับไปไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าไปด้วยล่ะ?” สมแล้วที่เป็นหวังฉิง ไม่นานหลังจากที่เขาหายตกใจ เขาก็ได้สติและคิดวิเคราะห์ถึงเรื่องทุกอย่าง ถึงแม้มู่เทียนจะหายตัวได้ แต่เขาก็มั่นใจว่าพวกเธอจะต้องมีปัญหาอื่นที่ทำให้หนีไปไม่ได้อีก ไม่งั้นทำไมต้องเสียเวลามาโน้มน้าวเขาแบบนี้ด้วย

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ทุกอย่างก็เริ่มที่จะกระจ่างขึ้นมากขึ้นเท่านั้น หวังฉิงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา จะวางใจไม่ได้เลยสักนิด มู่เทียนเหมือนจิ้งจอกเจ้าเสน่ห์ ถ้าไม่ระวังก็อาจจะถูกจูงจมูกไปได้ง่ายๆ

มู่หรงเสวี่ยแอบกัดฟันกรอด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธออยากที่จะหลอกเขาด้วยกลเรื่องการหายตัวนี้ อย่างไรก็ตามหวังฉิงฉลาดมากกว่าที่เธอคิดไว้มากและนี่ก็หลอกอะไรเขาไม่ได้เลย เธอเองก็อยากให้เขาปล่อยเฟิงจือหลิงด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะคิดแผนอะไรดีๆออกแล้วล่ะ

“เอาละ ข้าจะไปเจอผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง!” มู่หรงพูด ไม่ว่ายังไงเธอก็อยากที่จะเจอผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงก่อน

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” หวังฉิงพูด

เขาอยากจะเห็นว่ามู่เทียนจะไปเจอผู้ปกครองของดินแดนนี้ยังไง ขนาดเขาที่เป็นองค์ชายของดินแดนแห่งไฟก็ยังไม่กล้าที่จะไปเจอเขาซึ่งๆหน้าเลย นี่ไม่ต้องพูดถึงมู่เทียนที่เป็นใครก็ไม่รู้เลย

“เจ้ารอก่อน!” แล้วมู่หรงก็เข้าไปในมิติลับทันที แล้วย้อมผมให้กลับเป็นสีดำ หวังฉิงไม่ตกใจกับผมสีม่วงของเธอเลยสักนิด

ถึงแม้เขาจะเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งแต่เมื่อได้เห็นอีกครั้ง หวังฉิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่ดี จู่ๆคนจะหายตัวไปเฉยๆได้ยังไงกัน?!

คนแบบนี้มันเหนือธรรมชาติเกินไปแล้ว!!!

เมื่อมู่เทียนปรากฏกายกลับมาอีกครั้ง หวังฉิงก็เห็นว่าเธอเปลี่ยนผมกลับเป็นสีดำแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “คนที่โลกของเจ้าผมสีม่วงกันหมดเลยงั้นเหรอ?”

“เปล่าหรอก ส่วนใหญ่พวกเขาก็ผมสีดำกันแต่ก็ยังมีผมสีอื่นๆอีก เช่น สีเหลืองแล้วก็อีกมากมาย

“เจ้าเปลี่ยนมันได้ยังไง?”

“อยากจะรู้งั้นเหรอ?! ข้าจะบอกเจ้าถ้าเจ้าปล่อยพวกเราสองคนไป” มู่หรงพูด

“คิดว่าข้าจะยอมเอาเจ้าสองคนมาแลกกับเรื่องความลับเล็กๆแค่นี้งั้นเหรอ?! ไม่รู้หรือไงว่าเจ้าน่ะมีค่ามากกว่านั้นมาก?” หวังฉิงแสยะยิ้มและพูดออกมา

“ถ้าเจ้าไม่อยากรู้ งั้นก็ช่างมันเถอะ!”

บ้านของท่านผู้ปกครองอยู่ไม่ห่างนัก เดินกันไม่นานทั้งสองก็มาถึงประตูบ้านของท่านผู้ปกครอง

เขาถูกหยุดไว้ก่อนที่จะไปเดินเข้าประตูไป

“เจ้าเป็นใคร? ต้องการอะไร?” องครักษ์ของบ้านท่านผู้ปกครองรีบหยิบปืนพกออกมาและเล็งตรงมาที่พวกเธอทั้งสองและถามออกมา

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอยหลบปากกระบอกสีดำ ถ้าพวกองครักษ์ยิงออกมาล่ะ ตอนนี้เธอไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณนะ “นี่เจ้า อย่าเล็งปืนมาที่ข้าสิ เรามาที่นี่เพื่อเจอผู้ปกครองของดินแดนนี้”

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ ก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าขององครักษ์เปลี่ยนไป คนที่จะรู้เรื่องปืนนี่มีแต่เจ้าหน้าที่ภายในเท่านั้น จะมีคนนอกที่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง องครักษ์หลายคนต่างก็มองหน้ากันไปมา หนึ่งในพวกเขาซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำของพวกองครักษ์ ลดปืนลง เดินมาหามู่หรงเสวี่ยและถามออกมา “เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงอยากจะเจอท่านผู้ปกครองของดินแดนเรา?”

มู่หรงเสวี่ยหยิบกระดาษออกมาจากแขนของเธอซึ่งเธอเขียนไว้ก่อนหน้านี้ที่โรงแรม “เอาจดหมายนี่ให้ผู้ปกครองของเจ้า เขาจะต้องยอมพบข้าเอง!”

หวังฉิงรู้สึกทรมานจนแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายเลย เขามองไปที่มู่เทียนและจดหมายที่เขียนคำสองสามคำ เช่น โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, ปืน, และอื่นๆ

เขาคิดว่าเธอเขียนเล่น ใครจะรู้ว่ามันจะถูกส่งให้กับผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง เขายิ้มที่มุมปากและรอให้มู่เทียนถูกซ้อม

หลังจากที่ได้รับจดหมายจากมุ่เทียน องครักษ์ก็ตรวจสอบอีกครั้งแล้วจึงเดินเข้าไปในคฤหาสน์

ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีคนมากมายเข้ามาเพื่อขอพบกับผู้ปกครองของเมืองและคนพวกนั้นก็ต้องกลับไปพร้อมกับความไม่พอใจ แต่มู่เทียนเป็นคนแรกที่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาถืออยู่ในมือคือปืน ไม่งั้นเขาเองก็คงจะเตะพวกเธอออกไปแล้วและคงไม่คิดที่จะเข้าไปรบกวนท่านผู้ปกครองของเมืองแน่ๆ

แน่นอนว่าไม่นานหลังจากนั้น เธอก็เห็นองครักษ์ที่รับจดหมายไปวิ่งออกมาด้วยความเร่งรีบ

“ใครเป็นคนที่เขียนจดหมายนี้ขอรับ?” องครักษ์ถาม

มู่หรงยกมือขึ้น “ข้าเอง!”

“ท่านหญิงคนนี้ เชิญตามข้ามา ท่านผู้ปกครองของเมืองบอกว่าท่านอยากที่จะพบท่าน” องครักษ์ดูเหมือนจะสุภาพมากกว่าก่อนหน้านี้