คนพวกนั้นไม่ทันเอ่ยมากความ มองไฟค่อยๆ ลามคลอกตัวเอง
ประตูถูกปิดลงแล้ว ตัดขาดเงาร่างของสตรีผู้นั้นหายไป
นัยน์ตาพวกเขาเต็มไปด้วยความคับแค้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อตัวเองได้ แม้กระทั่งเอ่ยวาจายังไม่ทัน ซ้ำยังจนปัญญาจะเข้าใจว่า ตนเองในยามนี้เสียใจมากกว่าหรือแค้นเคืองมากกว่ากัน…
ที่เสียใจที่สุดคือตนทำเรื่องไม่สมควร ส่วนที่คั่งแค้นที่สุดคือสตรีสมควรตายผู้นั้น…
……
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ พวกเขาคิดอย่างไร เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจ
นางออกจากประตู มองเด็กหลายคนนั้น ถามพวกเขาว่า “บ้านพวกเจ้าอยู่ที่ไหน”
เด็กบางคนยังนิ่งอยู่ สายตาเหม่อลอย ไร้สติสัมปชัญญะ มีเด็กบางคนเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมพูดจา
ยามนี้เยี่ยเม่ยอยากไปสับบุตรชายนายอำเภอผู้นั้นเป็นพันหมื่นชิ้น แต่สถานการณ์ตอนนี้เด็กๆ สำคัญที่สุด นางมองเหล่าลูกสมุนหน้าประตูที่นำทางนางมา สั่งการเสียงเย็นเยียบ “ไปหาเสื้อผ้าให้พวกเขา อย่าคิดหนี หากไม่อยากตายแบบคนพวกนั้น!”
เยี่ยเม่ยพูดพลางหันมองห้องที่ไฟลามลุก
เสื้อผ้าเด็กๆ ถูกพวกเดียรัจฉานฉีกทิ้งไว้ในห้องหมดแล้ว ยามนี้ไม่มีคนอื่นอีก นางต้องส่งเด็กๆ กลับบ้านเองถึงวางใจ
ลูกสมุนหลายคนเห็นไฟลุกโหมใหญ่ในห้อง รู้ว่านางกำลังฆ่าคนแล้ว แตกตื่นเสียจนปัสสาวะราด กล้าไม่ฟังคำนางที่ใดกัน รีบวิ่งไปยังถนนใหญ่หาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เด็กๆ
เยี่ยเม่ยอยู่กับพวกเขาที่คฤหาสน์ เดินออกมาประมาณยี่สิบเมตร ห่างจากห้องที่มีไฟลุกโหมกันไม่ให้เด็กๆ สำลักควันไฟ
บุตรชายนายอำเภอทำเรื่องโฉดชั่ว ดังนั้นจึงตั้งใจเลือกเรือนที่ห่างไกล เพราะเหตุนี้จุดไฟก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ยิ่งไม่มีใครมาช่วย
เยี่ยเม่ยมองเด็กเหลานั้น นางไม่ถนัดปลอบโยนเด็กๆ พูดคำอ่อนโยนออกจากปากไม่ได้เท่าไหร่ ทำได้แต่กอดพวกเขา
จนกระทั่งพวกคนที่ไปซื้อเสื้อผ้ากลับมา เยี่ยเม่ยช่วยพวกเขาแต่งตัวเรียบร้อย สายตาเด็กๆ ถึงได้ไม่เลื่อนลอยอีก
เด็กบางคนที่ตกใจจนสติหลุดลอย ยามนี้พุ่งเข้ามากอดนาง เริ่มร้องไห้
นางไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ไม่รู้จะแสดงความห่วงใยอย่างไร ได้แต่ลูบหัวพวกเขาเบาๆ
แต่เยี่ยเม่ยไม่รู้หรอกว่า การช่วยเหลือและความห่วงใยที่ไม่อ่อนโยนของนาง มอบความอบอุ่นราวแสงอาทิตย์ให้กับจิตใจเด็กทั้งห้าคนหลังถูกทารุณ หวังว่าภายหน้าพวกเขาเติบโตขึ้น อยู่โลกน่ากลัวมืดหม่นและเลวร้าย ยังสามารถรักษาจิตใจที่ดีงามเอาไว้ได้
เยี่ยเม่ยหันมองพวกสมุน เสียงเย็นชา “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านของพวกเขาอยู่ที่ไหน”
“ไม่…” คนผู้หนึ่งเตรียมตอบว่าไม่รู้ ทว่าสายตาเยี่ยเม่ย ทำให้เขา… “ระ…รู้!”
ความจริงตอนที่คุณชายจับเด็กพวกนี้ก็ให้พวกเขาไปจับตาดู ต่างก็เป็นเด็กหน้าตาดีในละแวกนี้ ดังนั้นเด็กเหล่านี้บ้านอยู่ที่ไหน พวกเขารู้ดีชัดเจน
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น จูงมือเด็กๆ “พาข้าไป!”
……
ภายใต้การนำทางของเหล่าสมุน นางจึงส่งเด็กๆ กลับถึงบ้าน
ทว่านางไม่รู้ว่า คนที่อยู่บนหลังคาบ้านไม่ไกลออกไป มองแผ่นหลังนางด้วยดวงตาเล่ห์ร้ายคู่นั้น
เขามีกำลังภายในล้ำลึก คิดเร้นกาย นางย่อมไม่รู้สึกได้ เขากวาดตามองบ้านที่กำลังลุกไหม้ หัวเราะออกท่าทางน่าดู เอ่ยเสียงเนิบว่า “ไม่เลว เป็นการสังหารโหดจริงๆ …..”
อวี้เหว่ยลอบเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เขารู้ว่าเตี้ยนเซี่ยยังจำครั้งแรกที่ได้พบกับแม่นางท่านนั้น นางบอกว่าตัวเองชอบการสังหารโหด
อวี้เหว่ยมองเตี้ยนเซี่ย ถามขึ้น “เตี้ยนเซี่ย ท่านจะเตรียมช่วยแม่นางท่านนั้นอย่างไร”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง จัดชุดยาวของตนด้วยท่วงท่าสง่างาม เดินช้าๆ ติดตามเยี่ยเม่ยไป
เขามีท่วงท่าน่าชม น้ำเสียงไพเราะ เอ่ยไม่เร่งร้อนว่า “อวี้เหว่ยเจ้าก็รู้ เยี่ยนเป็นคนมีเมตตามาตลอด ไม่ชินกับความโหดร้ายโสมมของโลกใบนี้ ดังนั้นหากนางต้องการให้ข้าช่วย ข้าย่อมลงมือช่วย!”
อวี้เหว่ย “…”
เตี้ยนเซี่ยคำพูดเหลวไหลพวกนี้ท่านเชื่อหรือไม่
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่ฝ่าบาทตำหนิด้วยโทสะว่าเตี้ยนเซี่ยไม่มีคุณธรรม…
เตี้ยนเซี่ยตอบว่า คุณธรรม คือสิ่งที่คนอยากเป็นวีรบุรุษใช้หลอกลวงชาวบ้านโง่เขลา มีแต่พวกโง่งมถึงใส่ใจ
ไฉนวันนี้เตี้ยนเซี่ยถึงบอกว่าตนมีคุณธรรมเมตตาเล่า!
เขามองตามแผ่นหลังเตี้ยนเซี่ย ทั้งไม่กล้าเอ่ยวาจา รีบติดตามไป
ตามไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินน้ำเสียงของเตี้ยนเซี่ยตนส่งมาว่า “นางมีความตื่นตัวมาก เจ้าระวังหน่อย อย่าทำให้นางพบเข้า”
อวี้เหว่ยสีหน้าขรึมลง “ขอรับ เตี้ยนเซี่ยวางใจได้!”
วรยุทธ์ของอวี้เหว่ยถึงจะไม่เป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง แต่ความสามารถในการเร้นกายไม่ด้อยกว่ายอดฝีมือ ไม่อาจถูกแม่นางผู้นั้นพบได้ แต่ในเมื่อเตี้ยนเซี่่ยจงใจสั่งการ ก็หมายความต้องเพิ่มความระวังแล้ว…
……
เยี่ยเม่ยส่งเด็กๆ เหล่านั้นกลับบ้าน
บิดามารดาของเด็กๆ คราแรกก็ไม่เชื่อ เห็นสีหน้าหวาดกลัวของเหล่าสมุน ถึงเชื่อว่าเยี่ยเม่ยเป็นคนดี ช่วยลูกๆ ของพวกเขากลับมาจริง
บิดามารดาของเด็กๆ หลายคนร้องไห้คุกเข่าให้เยี่ยเม่ย
บอกว่าพวกเขาไปตามหาในที่ที่มีความเป็นไปได้หลายที่แล้ว ทั้งยังไปจวนนายอำเภอด้วย ล้วนถูกตีกลับมา พ่อแม่หลายคู่ร่างกายบาดเจ็บ เป็นบาดแผลถูกตี
นางไม่เอ่ยคำพูดปลอบโยนอันใด เพียงแต่เอ่ยเสียงเย็นว่า “วางใจเถอะ ความเป็นธรรมต้องมีแน่ พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม!”
หากแสงอาทิตย์มาช้า นางจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปิดฉากราตรีอันมืดนี้ก่อนเวลา
บิดามารดาของเด็กๆ มองนางด้วยความสายตาราวกับได้พบผู้กอบกู้โลก
นางไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งส่งเซียนเซียนถึงบ้าน พ่อแม่ของแม่นางน้อยล้วนกลับมาหมดแล้ว เมื่อเห็นเซียนเซียนก็ร้องไห้เจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ลืมขอบคุณเยี่ยเม่ย พวกเขาไม่ขอร้องอะไรอีกได้แต่กอดลูก ร้องไห้เอ่ย “มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ดี!”
รอจนพวกเขาสงบอารมณ์ลงได้
เยี่ยเม่ยถาม “จิ่วหุนเล่า”
แม่ของเซียนเซียนปาดน้ำตา ร้องไห้ตอบ “คุณชายท่านนั้นได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งพวกเรากลับมาก็จากไป เขาบอกว่าท่านไม่ต้องรอเขา เมื่อเขาจัดการธุระเสร็จจะไปหาท่าน!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงเย็นชา “ได้ ข้าไปก่อนแล้ว ยังมีคนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนกับเรื่องนี้!”
นางเอ่ยจบก็หมุนกายจากไป
เดินไปถึงปากประตู เซียนเซียนเห็นแผ่นหลังนาง เอ่ยว่า “พี่สาว…”
นางชะงักฝีเท้า
เซียนเซียนร้องไห้ “พี่สาว รอข้าโตแล้ว จะเป็นคนเช่นท่านเหมือนกับจอมยุทธ์หญิง ช่วยเหลือคน!”
เยี่ยเม่ยใจกระตุก พลันรู้สึกปวดร้อนที่จมูก นางหันกลับมา เดินช้าๆ ไปเบื้องหน้าเซียนเซียน
จูบลงที่หน้าผากแม่นางน้อย
สองมือนางโอบกอดเด็กหญิง เสียงนิ่งเอ่ย “อย่าเป็นคนแบบข้าเลย พวกเจ้าเป็นแค่เด็กน้อย การขจัดความชั่วเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ภาระของพวกเราคือปกป้องเจ้า ให้อนาคตของพวกเจ้าเติบโตขึ้นมาอยู่ในโลกที่ไม่ต้องการวีรบุรุษ! ข้าหวังว่ายามเจ้าเติบโต โลกใบนี้จะไม่เหลือคนชั่วร้ายเช่นนั้นอีก”
นางพูดจบก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ก้าวเท้าจากไป
นี่เป็นยุคศักดินา เป็นยุคที่กฎหมายไม่อาจควบคุมได้ทั่วถึง หากราชสำนักนี้ไร้ความเป็นธรรม ไม่มีกฎหมายยุติธรรมจริงๆ อย่างนั้นก็ให้นางเป็นคนเขียนกฎใหม่ขึ้นมาเถอะ!
เซียนเซียนเห็นนางเดินจากไป นางยังเด็กปานนั้น ไม่เข้าใจคำพูดของเยี่ยเม่ย
แต่ภายหลังนางเข้าใจว่า พี่สาวที่ช่วยนาง ในอนาคตจะเป็นคนที่ต่อสู้เพื่อคนทั้งหมดในยุคสมัยนี้ เพื่อทำให้คำพูดของพี่สาวในวันนี้เป็นจริง
……
เยี่ยเม่ยออกจาประตู
มองเหล่าลูกสมุนทั้งหลาย เสียงนิ่ง “พาข้าไปจวนนายอำเภอ!”