เล่ม 14 ตอนที่ 3

Memorize

ตอนที่ 3

 

คำพูดของคิมฮันบยอลทำให้ผมเบนสายตาลงมองยูนิคอร์นที่แบกอยู่ เรื่องนี้เป็นปัญหาที่จะต้องลองคิดดูสักหน่อย ถ้าเดินไปทั้งอย่างนี้ตอนนี้ พวกเราจะสามารถขึ้นไปด้านบนหุบเขาได้ภายในประมาณห้าสิบนาที เอาจริงๆ ผมคิดว่าลูกยูนิคอร์นตัวอื่นจะรับรู้แล้วมาหาภายในสี่สิบนาทีเสียอีก แต่กลับไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูกเลย

 

จะเอาศพของยูนิคอร์นไปเฉยๆ เลย หรือจะคืนศพให้กับลูกยูนิคอร์นดี เดิมทีผมวางแผนจะเลือกอย่างหลัง แต่ต่อให้บอกว่ามีความเป็นไปได้สูงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงแค่การคาดการณ์เท่านั้น ตอนนี้ผมไม่สามารถเชื่อเพียงแค่การคาดการณ์อย่างหนึ่งแล้วรอคอยยูนิคอร์นที่ไม่รู้ว่าจะมาหรือเปล่าไปเรื่อยๆ ได้

 

คงได้ยินบทสนทนาของผมกับคิมฮันบยอล ความวุ่นวายเล็กน้อยที่เกิดขึ้นหลังจากเห็นน้ำในแม่น้ำจึงทุเลาลงทันที ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกผู้ได้รับบาดเจ็บที่อยากรีบกลับเมืองโดยเร็ว แต่ผมก็ไม่สนใจ อุปกรณ์ผมก็เตรียมให้แล้ว ถ้าไม่พอใจกับการตัดสินใจของผม พวกเขาจะกลับไปเองก็ได้

 

“อืม…”

 

ผมเดินต่อไปพร้อมกับกลุ้มใจอยู่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ถ้าทำให้ดี นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับยูนิคอร์น ผมใช้นิ่วเคาะตรงส่วนท้องของยูนิคอร์นสองสามครั้งแล้วลูบไปมา จากนั้นจึงเปิดปากพูดอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยพลัง

 

“พวกเราจะไม่ขึ้นไปทันทีครับ”

 

“…”

 

“ก่อนเข้าเมืองไป สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่น่าจะได้เจอลูกยูนิคอร์นอีกสักครั้งก่อนครับ ก่อนที่พวกเราจะเดินทางต่อ เราจะรออยู่ตรงนั้นประมาณสามสิบนาทีครับ ถ้าหากว่าผ่านไปสามสิบนาทีแล้วยูนิคอร์นที่ตามหาศพยังไม่ปรากฏตัวขึ้น ผมก็จะออกเดินทางกลับเมืองทันทีครับ”

 

ถ้าเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ เจ้าตัวก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ระยะห่างจากตรงนี้ถึงโมนิก้า อย่างน้อยที่สุดก็สิบวัน อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่มีคนเจ็บไปด้วย เพราะฉะนั้นก็อาจจะใช้เวลานานกว่าสิบวันได้ ต่อให้บอกว่าจะออกเดินทางช้ากว่าเดิมเพียงสามสิบนาทีในสถานการณ์แบบนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างกันเลย

 

ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองด้านหลังโดยมีความหมายว่าถ้ามีความเห็นที่แตกต่างกันก็ให้พูด ใบหน้าบางคนมีเงามืดทาบทับอยู่อย่างที่คิด แต่นั่นก็เพียงครู่เดียว สมาชิกเผ่าก็แน่นอนอยู่แล้วว่าตกลง ผู้เล่นคนอื่นๆ ก็แสดงความเห็นพ้องกับคำพูดของผมด้วยการพยักหน้าเบาๆ

 

ผมมองดูปฏิกิริยาตอบสนองนั้นแล้วพยายามที่จะส่งเสียงให้นุ่มนวลสักหน่อย จากนั้นจึงเปิดปากพูด

 

“บางทีถ้าเดินไปอีกประมาณยี่สิบถึงสามสิบนาทีก็น่าจะเจอจุดที่ว่าครับ ถ้างั้นจะเดินไปทางด้านนั้นนะครับ”

 

ผมโพล่งขึ้นราวกับยืนยันแล้วจึงหมุนตัวไปทางด้านหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็คลำทิศทางในหัว ตามหาจุดที่ผมเคยทำหินหล่นลงมาแล้วได้เจอกับลูกยูนิคอร์นพร้อมกับเคลื่อนแถวไป

 

เป็นไปตามคาด พอเดินตรงมาประมาณยี่สิบนาที พวกเราจึงมาถึงสถานที่ที่เคยเจอกับยูนิคอร์น หินตรงจุดที่ลูกยูนิคอร์นถูกทับแบนถูกโยนลงไปในน้ำแล้ว แต่หินก้อนอื่นยังคงอยู่แบบเดิม

 

ผมสั่งให้พักตรงนี้เป็นเวลาสามสิบนาที ถึงแม้ไม่รู้ว่าผู้เล่นที่ตื่นแล้วตั้งสติได้หรือยัง แต่ร่างกายของพวกเขายังคงไม่ได้ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะอย่างนั้นจึงมีแค่อันซลคนเดียวที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ แต่เธอก็ทั้งร่ายเวทและรักษาอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่มีทีท่าอิดออดเลยแม้แต่นิดเดียว

 

ผมเองก็วางศพของยูนิคอร์นลงตรงที่ที่เห็นได้ชัดเจน จากนั้นก็นั่งลงตรงก้อนหินด้านข้างเพื่อพักผ่อนร่างกาย จากนี้ไปจะต้องเดินแถวไปเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบวัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็เป็นเรื่องที่จิ๊บจ๊อยกว่าออกกำลังกายหลังอาหารอีก แต่สำหรับผมในตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงข้อจำกัดของตัวเองเพราะร่างกายกลายเป็นภาระของผมในระดับหนึ่งแล้ว ผมเพียงแค่ไม่เผยท่าทีออกมาในฐานะแคลนลอร์ดเท่านั้น

 

“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”

 

“?”

 

จู่ๆ เสียงของผู้ชายที่ฟังดูภูมิฐานก็ดังเข้ามาในหู พอหันหน้าไปด้านข้างก็เห็นผู้เล่นชายที่ตื่นเป็นคนแรกที่ปราสาทกำลังจ้องมองผมอยู่ เขากำลังอมยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่โดยรวมแล้วสีหน้ากลับแฝงด้วยความเศร้าสร้อย

 

พอมองเขานิ่งๆ ชายหนุ่มจึงก้มหัวลงในไม่ช้าพร้อมกับยื่นมือมาทางผม

 

“เมื่อกี้ไม่มีเวลาก็เลยไม่ทันได้ทักทายอย่างถูกต้องครับ ผู้เล่นปีที่สี่ ชื่อว่าชินแจรยงรับ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ”

 

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมทำไปเพราะได้รับการมอบหมายมาทั้งหมดเลยน่ะ ยังไงก็ตาม ผมผู้เล่นปีที่ศูนย์ คิมซูฮยอนครับ”

 

‘ข้อมูลผู้เล่น’

 

 

ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)

 

  1. ชื่อ (Name) : ชินแจรยง (ปีที่ 4)

 

  1. คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal Priest Expert)

 

  1. ถิ่นกำเนิด (Nation) : บาร์บาร่า

 

  1. ชนเผ่า (Clan) : ชายฝั่งน้ำตื้น (Rank : C Plus)

 

  1. นามแท้ · สัญชาติ : ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ, ความตั้งใจที่ไม่สามารถละทิ้งได้ · สาธารณรัฐเกาหลี

 

  1. เพศ (SEX) : ชาย (42)

 

  1. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 176.2 ซม. · 73.8 กก.

 

  1. อุปนิสัย : ดีงาม · กระตือรือร้น (Good · Passion)

 

[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]

 

[เปรียบเทียบค่าความสามารถ]

 

1. คิมซูฮยอน : 544/600

 

(แต้มของค่าความสามารถมีสถานะเหลืออยู่ 12 พอยต์)

 

[พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 72] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)]

 

2. ชินแจรยง : 486/600

 

(ไม่มีแต้มของค่าความสามารถหลงเหลืออยู่)

 

[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]

 

 

ผมจับมือของชินแจรยงพร้อมกับไล่อ่านข้อมูลผู้เล่นของเขาไปด้วย จากนั้นพอผมเห็นอายุของเขาก็ตกใจไปหนึ่งครั้ง และพอเห็นคลาสของเขาก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ไม่สิ ต้องเรียกว่ารู้สึกสนุกน่าจะถูกต้องกว่าตกใจหรือเปล่านะ

 

ถึงแม้จะนับเอาความยอดเยี่ยมของค่าความสามารถที่มีเป็นเรื่องรองแต่ผมก็ไม่เข้าใจการที่เลือกคลาสนักบวชเลยจริงๆ แน่นอนว่าค่าพลังเวทก็อยู่ในระดับที่ไม่เลว และต่อให้บอกว่าการเลือกคลาสนั้นเลือกได้ตามอิสระก็เถอะ…บางทีถ้าอยู่ในคลาสสายต่อสู้ระยะประชิด ตอนนี้ชื่อเสียงอาจจะเลื่องลือไปไกลแล้วก็ได้

 

‘ไม่ใช่บาทหลวงสายต่อสู้ด้วย’

 

“เป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์จริงๆ ด้วยสินะครับ โอ้ พระเจ้า ผู้เล่นปีที่ศูนย์สร้างเผ่าขึ้นแล้วพาราชินีแห่งเงามืดผู้โด่งดังคนนั้นเข้ามาไว้ในเผ่าด้วย ผมตกใจมากจริงๆ ครับ”

 

“โอ๊ะ รู้ด้วยเหรอครับ”

 

“ครับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารักที่ช่วยรักษาพวกเราเล่าให้ฟังน่ะครับ ไม่มีการเกริ่นนำอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับการปลอบโยนมากจริงๆ ครับ ฮ่าๆ”

 

“ฮ่าๆ อย่างนั้นสินะครับ”

 

ผมอยากพุ่งเข้าไปจับคอเสื้อของอันซลมาเขย่าๆ แล้วถามว่าเล่าอะไรออกไปกันแน่เสียตอนนี้ แต่พอบอกตัวเองว่าจะต้องอดทนซ้ำๆ จึงสามารถกดความรู้สึกนั้นลงไปได้อย่างยากลำบาก จากนั้นชินแจรยงก็นั่งลงตรงข้างๆ ผมแล้วขอร้องอย่างสุภาพว่าอยากคุยด้วยสักครู่ ผมอนุญาตอย่างยินดีด้วยการพยักหน้ากลับไป

 

บทสนทนาอันต่อเนื่องกับชินแจรยงดีใช้ได้ ผมค่อนข้างชอบคนที่รู้จักกาลเทศะ ถ้าเขาพูดเรื่องอย่างเช่นขอร้องให้คืนอุปกรณ์ที่เหลือหรือบอกว่าจะต้องกลับเมืองเลยตอนนี้ ผมก็น่าจะอารมณ์เสียมากๆ แต่เขากลับไม่ยกเรื่องแบบนั้นออกมาพูดเลย

 

เรื่องหลักๆ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นคือขอบคุณที่ช่วยชีวิตไว้ และอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องหลังจากถูกจับไปตั้งแต่ออกเดินทางไปสำรวจกับเผ่าชายฝั่งน้ำตื้น

 

ในระหว่างนั้น ผมก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อมีฮีด้วยเหมือนกัน เขาบอกว่าเธอเป็นผู้เล่นหญิงที่หลังจากชินแจรยงเข้ามาในฮอลล์เพลน ต่างคนก็ต่างใจตรงกัน แล้วลงหลักปักฐานกันเป็นครอบครัว ถึงแม้ว่าจะสูญเสียคนสำคัญไป แต่ท่าทีกล้ำกลืนความเศร้าโศกไว้แล้วตั้งใจจะตัดสินตามหลักการที่ถูกต้องนั้นดูใช้ได้เลยทีเดียว

 

“ถ้างั้นหมายความว่าสมาชิกเผ่าชายฝั่งน้ำตื้นสามในเจ็ดคนกับทีมกู้ภัยรอบแรกสี่คน…ความเสียหายของเผ่าคงจะมากมายทีเดียวนะครับ”

 

“ไม่ใช่แค่มากมายนะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับพังทลายไปเลย พวกเราเป็นเผ่าขนาดเล็กที่มีสมาชิกทั้งหมดไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำครับ ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความภาคภูมิหนึ่งเดียวว่าพยายามอย่างแข็งขันมาจนถึงตอนนี้แล้วใช้ชีวิตมาอย่างยืนหยัดมากๆ แต่ก็เสีย…ทั้งเพื่อน ทั้งคนรักในการออกสำรวจเพียงครั้งเดียว ผมรู้สึกเหมือนว่า เลือกผิดแค่ครั้งเดียวแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลาสี่ปีมันพังครืนลงมาเลยครับ ผมถือว่าการช่วยชีวิตผมนั้นเหมือนกับการบำรุงขวัญ ต่างกับเพื่อนร่วมเผ่าคนอื่นๆ แต่ว่า…”

 

ชินแจรยงยิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีใครรู้ว่าจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น ข้อมูลผู้เล่นของชินแจรยงก็อยู่ในระดับใช้ได้ เพียงแค่มีความมุ่งมั่นว่าจะทำอีกครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนก็จะไม่อดตายแน่นอน

 

“ถึงอย่างนั้นทางฝั่งนั้นคงไม่มองอยู่เฉยๆ หรอกครับ น่าจะช่วยเหลือให้สมกับเป็นเผ่าใต้บังคับบัญชาของอีสตันเทลลอว์ สถานการณ์คงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอก เพราะสวัสดิการอย่างหนึ่งของผู้เล่นก็เปรียบเทียบได้กับบาร์บาร่า ยังไงก็ต้องดีแน่ๆ อยู่แล้วครับ”

 

“พูดถึงขนาดนั้น ทางผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอบคุณแล้วละครับ ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนจะเหนื่อยไปอีกสักระยะเลยนะครับ ผมเป็นคนจิตใจอ่อนไหวมาตั้งแต่เกิด ถ้าตั้งใจจะฝังเรื่องในวันนี้ไปคงต้องใช้เวลาครับ ฮ่าๆ เฮ้อ…”

 

ชินแจรยงถอนหายใจ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พอได้พูดคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ เวลาสามสิบนาทีจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และยูนิคอร์นก็ไม่ได้โผล่ออกมา ผมมีความรู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อย แต่ผมคิดว่าออกเดินทางตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า

 

“ก่อนอื่นเลย การกลับเข้าเมืองน่าจะมาก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ ไม่ว่ายังไง ออกเดินทางเลยตอนนี้น่าจะดีนะครับ”

 

“อ๊ะ แต่เห็นบอกว่ารอยูนิคอร์น…”

 

พอลุกขึ้นจากที่แล้วยืน เสียงของชินแจรยงก็ดังขึ้นต่อ ผมส่ายหน้าไปมาแล้วบิดขี้เกียจจนสุดตัว

 

“สามสิบนาทีที่บอกไปเมื่อกี้มันผ่านไปแล้วนี่ครับ”

 

“อ้อ ถ้าเป็นเพราะพวกเราก็ไม่เป็นไรเลยนะครับ รอต่ออีกได้ครับ แน่นอนว่าผมรู้สึกอยากกลับเมืองด้วยก็จริง แต่การได้พักอยู่ที่นี่พร้อมกับฟื้นฟูกำลังกายก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าเป็นเพราะพวกเราล่ะก็ ผมมีความรู้จักมักคุ้นกับผู้เล่นในทีมกู้ภัยรอบแรกดีครับ ผมมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ครับ”

 

ชินแจรยงลุกตามผมพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ แน่นอนว่าคำพูดของเขาก็มีเหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของพวกเขาเมื่อครู่นี้ก็มีสีหน้าบอกว่าอยากรีบกลับเมืองแล้ว

 

และถึงไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น แต่ถ้ายูนิคอร์นซึ่งมีจิตสำนึกต่อเผ่าพันธุ์เดียวกันสูงไม่ปรากฏตัวออกมาเกินกว่าหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะออกไปจากหุบเขาลึกได้แล้ว นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะสิ้นเปลืองเวลาเปล่าๆ

 

คงเห็นพวกเราพูดคุยกันพักหนึ่งแต่แล้วก็ลุกขึ้น สมาชิกเผ่ากับพวกผู้เล่นจึงจับจ้องมา ผมมองพวกเขาพร้อมกับตัดสินใจจะหยุดพักเพียงแค่นี้

 

“อีกห้านาที…”

 

กุกกัก กุกกัก

 

ตอนนั้นเอง ในตอนที่กำลังจะพูดต่อให้จบว่า ‘จะออกเดินทางนะครับ’ ผมก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาตรงด้านนอกการรับรู้ที่ผมกางออกไว้รอบๆ ผมจ้องมองไปทางนั้นด้วยใบหน้ามีความหวัง พอผมพูดแต่อยู่ๆ ก็หยุดพูดแล้วจ้องไปทางด้านขวา คนอื่นๆ จึงพลอยหันหน้าไปยังทิศทางที่ผมมองไปด้วย และตอนนั้น…

 

ฮี้…

 

เสียงฝีเท้าของสัตว์สี่ขาที่เดินย่ำพื้นดังกุกกัก และถึงแม้จะแผ่วเบาแต่เสียงร้องอันคุ้นเคยก็เข้ามาในหูของผมอย่างชัดเจน

 

คิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว และคงออกจากหุบเขาลึกไปแล้ว แต่ในตอนที่กำลังจะแจ้งให้ออกเดินทาง ผมก็จับสัญญาณการมีอยู่ของยูนิคอร์นได้ราวกับโกหก จู่ๆ ภาพของลูกยูนิคอร์นที่เคยเอาหน้ามาถูกับขาผมก็แวบผ่านเข้ามาในหัว ในตอนที่ผมกำลังนึกตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะคิดว่าจะได้เจอกันอีกนั้น

 

กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก

 

‘หืม เสียงฝีเท้ามัน…มากเกินไปหน่อยนะ’

 

ผมรับรู้ได้ถึงสัญญาณมากมายที่เข้ามาในเขตของการรับรู้ที่ผมกางเอาไว้อย่างกะทันหัน นี่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าที่สัตว์เพียงตัวเดียวจะทำได้ อย่างน้อยที่สุดเลยก็สิบตัว ไม่สิ บางทีอาจจะเกินยี่สิบตัวเสียด้วยซ้ำ

 

พอจ้องมองไปทางด้านขวานิ่งๆ ก็เห็นอันฮยอนแอบจับหอกเอาไว้ ทันใดนั้น เด็กๆ ก็เริ่มจับอาวุธทีละคนสองคนตามเขา ผมรีบยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้เก็บอาวุธลง ยูนิคอร์นมีความระมัดระวังในตัวมนุษย์สูงมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องไปกระตุ้นพวกมันอย่างเปล่าประโยชน์

 

พอสังเกตรอบๆ ไอบางอย่างที่เหมือนกับหมดสีขาวขุ่นกำลังค่อยๆ ลามเข้ามารอบๆ ผมก้าวเดินอย่างช้าๆ ให้ตรงกับทิศทางที่พวกมันจะมา สมาชิกเผ่าเองก็คงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติเพราะไอที่โอบล้อมรอบข้าง พวกเขาจึงประคองผู้เล่นคนอื่นๆ เดินย้ายที่มาด้านหลังผม

 

จากนั้นเจ้าของเสียงฝีเท้าก็เริ่มเผยรูปร่างออกมาจากด้านหน้านู้น พอเพ่งมองดู ผมก็มองเห็นรูปร่างของพวกมันได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น พวกมันมีรูปร่างเหมือนกับม้า แต่มีขนสีขาวเงินปกคลุมทั่วทั้งร่าง มีเขาที่ส่องแสงสีเงินยื่นออกมาจากตรงกลางหน้าผาก และมีดวงตาที่ส่องแสงสีดำเป็นประกายอยู่

 

ไม่ใช่ยูนิคอร์นเพียงตัวเดียวที่ปรากฏออกมาตามการคาดการณ์ ฝูงยูนิคอร์นที่มีถึงยี่สิบตัวกำลังเดินมาโดยมีลูกยูนิคอร์นเดินนำหน้า

 

และด้านข้างลูกยูนิคอร์นนั้น มียูนิคอร์นตัวโตเต็มวัยรูปร่างดูใหญ่เป็นสองเท่ากว่ายูนิคอร์นตัวอื่นๆ กำลังเดินมาด้วยกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรพลังไม่ธรรมดาที่หลั่งไหลออกมานั้นทำให้รู้สึกเหมือนบนใบหน้าของมันถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘ผมน่ะลูกพี่เลยคร้าบ’ เลย