เล่ม 14 ตอนที่ 4

Memorize

ตอนที่ 4

 

เวลาผ่านไปสักพักโดยที่ผมเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ แบบนั้น ยูนิคอร์นที่เดินมาเรื่อยๆ ในตอนนั้นกำลังร่นระยะห่างกับพวกเราจนสามารถมองได้ด้วยตาเปล่า

 

และเป็นไปตามที่คิด พอเห็นพวกยูนิคอร์นที่ย่ำเท้าเข้ามาจึงเกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้นพักหนึ่งท่ามกลางสมาชิกเผ่าและพวกผู้เล่น

 

“พี่! นะ นั่นมัน…”

 

“พระเจ้า”

 

“โว้ว เจ้าฮี้ๆ มากันเต็มเลย”

 

“ชู่”

 

พอผมรีบหันหน้าไปเอานิ้วชี้มาแตะริมฝีปาก เสียงดังโวยวายก็เงียบหายไปในพริบตา เพราะเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวมากๆ การต้อนรับด้วยความเงียบจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

“ห้ามทำให้พวกยูนิคอร์นตกใจเป็นอันขาดนะ”

 

ผมขออันฮยอนซึ่งกำลังจะเอาอาวุธออกมาเป็นพิเศษ แล้วผมจึงหันไปจ้องมองทางที่พวกยูนิคอร์นกำลังมาอีกครั้ง

 

เสียงร้องที่พวกยูนิคอร์นโตเต็มวัยเปล่งออกมาแตกต่างกับลูกยูนิคอร์นอย่างชัดเจน จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงราวกับเห็นพวกเราแล้ว จากนั้นจึงหยุดเดินโดยทิ้งระยะห่างประมาณสิบเมตร

 

“…”

 

ความเงียบเหมือนรู้สึกหายใจติดขัดเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ ยูนิคอร์นที่ดูเป็นจ่าฝูงเพียงแค่ส่งเสียงเบาๆ ออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทั้งผมทั้งสมาชิกเผ่าต่างก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมาเลย

 

พวกเราเผชิญหน้ากันและกันแบบนั้นได้สิบวินาที แล้วผมจึงชำเลืองมองศพของยูนิคอร์นที่วางไว้ใกล้ริมแม่น้ำเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้น จ่าฝูงยูนิคอร์นเองก็เหลือบมองทางด้านนั้นเช่นเดียวกัน ตอนนั้นเอง

 

ฮี้!

 

ในตอนนั้นลูกยูนิคอร์นที่เพียงแค่ยืนนิ่งกลับพุ่งออกมาด้านหน้าอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เหมือนจะเดินเตาะแตะไปทางด้านยูนิคอร์นที่นอนอยู่แล้วก็เริ่มเดินวนรอบศพช้าๆ ดูเหมือนจะอยากยืนยันว่ายูนิคอร์นที่ตายไปเป็นใคร

 

และคงจะพิจารณาเสร็จแล้ว ลูกยูนิคอร์นจึงหยุดเดินวน จากนั้นก็หันหน้าไปทางยูนิคอร์นที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของฝูงเงียบๆ พลางร้องขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

 

ฮี้…

 

ฮฮฮฮี้

 

ฮี้ ฮี้ๆ ฮี้ๆๆ ฮี้ๆๆๆ

 

ในตอนที่คำตอบจากจ่าฝูงยูนิคอร์นตอบกลับมาก็มีน้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาของลูกยูนิคอร์น มันพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วทรุดนั่งลงตรงนั้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าสร้อย ดูจากการที่เอาหัวถูไถตรงศพไม่หยุดแม้จะร้องไห้อยู่แบบนั้น คงจะมีความสัมพันธ์บางอย่างอันลึกซึ้งกับยูนิคอร์นที่ตายไปแน่

 

จ่าฝูงยูนิคอร์นมองภาพนั้นแล้วหลับตาลงอย่างแผ่วเบา จากนั้นเสียงหายใจอันอ่อนเปลี้ยก็หลั่งไหลอย่างต่อเนื่องออกมาจากท่ามกลางฝูงยูนิคอร์นที่ยืนอยู่เงียบๆ ด้านหลัง

 

ฮฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮฮฮี้

 

ลูกยูนิคอร์นที่ร้องไห้ฟูมฟายมองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำตาไหลแหมะๆ ท่าทางของมันที่ร้องไห้คอตกเหมือนกับกำลังมองเด็กน้อยร้องคร่ำครวญถามว่าทำไมไม่พามาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

 

ผมเพียงแค่มองอยู่นิ่งๆ พักหนึ่งแล้วพอไม่เห็นวี่แววว่าจะหยุดร้อง ผมจึงตัดสินใจที่จะก้าวออกไปด้านหน้าเงียบๆ ทันใดนั้น จ่าฝูงยูนิคอร์นซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็เริ่มค่อยๆ เดินออกมาข้างหน้าตามผมเช่นกัน

 

พวกเราขยับเข้าใกล้กันทีละก้าวสองก้าว ถึงแม้สายตาของจ่าฝูงยูนิคอร์นที่จ้องมองผมซึ่งกำลังเดินเข้าไปจะฉายแววระแวดระวัง แต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรู

 

ผมกับจ่าฝูงยูนิคอร์นหยุดเดินพร้อมกันโดยให้ลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าอยู่ตรงกลาง ผมไม่ขยับตัวตามอำเภอใจไปมากกว่านี้เพราะรู้ดีถึงนิสัยของพวกมันที่มีจิตสำนึกต่อเผ่าพันธุ์เดียวกันสูง และหวงแหนลูกหลานของพวกมันเป็นอย่างมากด้วย

 

สายตาของพวกเราประสานกันกลางอากาศ แววตาของมันเหมือนกำลังพิจารณาดูผมอย่างตั้งใจ แล้วจากนั้นผมจึงเห็นมันพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่าอนุญาตแบบไร้เสียง

 

พอจ่าฝูงอนุญาต ผมจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นแขนทั้งสองข้างไปทางลูกยูนิคอร์นซึ่งยังคงฝังใบหน้าลงกับศพ

 

“ขอโทษนะ”

 

ฮี้…

 

ลูกยูนิคอร์นเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่ยังคงมีน้ำตาคลอเต็มหน่วยแล้วยื่นขาหน้าเข้ามาให้ผมกอดราวกับรออยู่ ผมตบหลังของลูกยูนิคอร์นซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้าไปเรื่อยๆ ในอ้อมกอดของผม พร้อมทั้งกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบาตรงข้างหู

 

“ขอโทษที่ช่วยเร็วกว่านี้ไม่ได้นะ ตอนที่พวกเราไปเจอเข้าก็…”

 

ฮี้…ฮี้…

 

พอลูบหลังโดยใส่ความรู้สึกของการปลอบโยนลงไปด้วย จ่าฝูงยูนิคอร์นก็ย่นระยะห่างกับผมมากยิ่งขึ้นโดยไมม่ได้ละสายตาไปจากลูกยูนิคอร์นเลย

 

ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดสูงมากๆ ถ้าได้ฟังเรื่องราวว่าเจอกับพวกเราจากลูกของมันแล้วก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ก่อนหลังได้คร่าวๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ตัดสินใจว่าจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเผื่อเอาไว้ก่อน

 

“จะบอกเผื่อเอาไว้นะ ว่าศพนั้นน่ะ พวกเราไม่ได้เป็นคนทำ”

 

ฮฮฮฮี้

 

จ่าฝูงยูนิคอร์นพยักหน้าเบาๆ ราวกับรู้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็เตรียมพร้อมพอสมควรเพราะไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่พอได้ฟังคำตอบ ผมจึงคลายความกังวลอันใหญ่หลวงลงก่อนได้

 

“คนร้ายคือสัตว์ประหลาดที่เคยอาศัยอยู่ในกำแพงของหุบเขาลึกนี้ เป็นจอมเวทที่จะว่าเป็นคนก็ไม่ใช่เชิง พวกเรามีธุระเลยมาเพื่อจัดการจอมเวทคนนั้น แล้วก็เลยเจอศพนี้ในระหว่างนั้นด้วย ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ลังเลว่าจะเอาศพไปเฉยๆ เลยไหม แต่…แต่ว่าจู่ๆ ก็นึกถึงยูนิคอร์นตัวนี้ขึ้นมา ก็เลยเอามาให้”

 

ฮฮฮฮี้

 

“อ้อ สัตว์ประหลาดนั่น ฉันจัดการร่วมกับพวกเพื่อนร่วมกลุ่มที่อยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว ชำระแค้นให้แน่ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากกว่านี้ก็ได้”

 

ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้

 

จู่ๆ ผมก็คิดว่านี่ไม่ยุติธรรมนิดหน่อย พวกมันดูเหมือนฟังที่ผมพูดเข้าใจ แต่ผมกลับฟังพวกมันไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ผมเพียงแค่มองดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของผมแล้วคาดเดาไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกอึดอัดใจจริงๆ

 

เสียงร้องไห้ของลูกยูนิคอร์นเงียบสงบลงทีละนิดโดยไม่ทันตั้งตัว ยังคงมีเสียงสะอื้นอยู่นิดหน่อย แต่เสียงร้องไห้อย่างสะเทือนใจเหมือนเมื่อครู่นี้ค่อยๆ เงียบไปแล้ว

 

จ่าฝูงยูนิคอร์นมองลูกยูนิคอร์นซึ่งร้องไห้สูดน้ำมูกโดยที่ถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของผมนิ่งๆ จากนั้นจึงยื่นหัวเข้ามาตรงหน้าผมเงียบๆ

 

‘หมายความว่าให้ขึ้นไปด้านบนหรือเปล่านะ’

 

ผมตีความตามอำเภอใจ พอกำลังจะปล่อยมือแล้วผละออกมา ลูกยูนิคอร์นก็งับมือผมไม่ปล่อย และการที่ถูกดึงไปทางด้านตัวเองนั้น ดูเหมือนการกระทำที่บอกว่าอย่าไปเลย

 

แต่นั่นก็เพียงแค่ครู่เดียว พอหางยาวๆ ของจ่าฝูงยูนิคอร์นยกขึ้นมาราวกับสะบัดแล้วลูบหัวของลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังกัดมือของผมอยู่ มันก็เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นหางบางๆ ที่เคยส่ายไปมาไม่หยุดตอนเจอกันครั้งแรกก็ห้อยลงด้านล่างแล้วจึงปล่อยมือที่งับอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

 

ฮฮฮฮี้!

 

จ่าฝูงยูนิคอร์นร้องออกมาเสียงดังหนึ่งครั้ง นั่นคงเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ยูนิคอร์นตัวอื่นซึ่งยืนอยู่อย่างกระจัดกระจายจนถึงตอนนี้จึงขยับเท้าทั้งสี่ของมัน

 

ผมจับตามองการกระทำของพวกมันโดยถอยออกจากจุดที่มียูนิคอร์นที่ตายไปแล้วสองสามก้าว พวกยูนิคอร์นล้อมรอบศพเป็นวงกลมทันที จากนั้นประทับริมฝีปากลงไปทีละตัว พิธีกรรมของพวกมันซึ่งมีความรักในเพื่อนร่วมฝูงอย่างแรงกล้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก่อนที่จะจากยูนิคอร์นที่ตายแล้วไป

 

ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น พวกยูนิคอร์นที่ประทับริมฝีปากเรียบร้อยแล้วก็แสดงให้เห็นถึงการกระทำอันปลอบโยน อย่างเช่น เลียตรงหลังหรือไม่ก็เอาหน้าไปถูกับลูกยูนิคอร์นที่อยู่ข้างหลังจ่าฝูงยูนิคอร์น

 

ผมระมัดระวังไม่ให้รบกวนพิธีของพวกยูนิคอร์นแล้วถอยหลังไปจนถึงจุดที่พวกสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ อยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะรอให้การกระทำของพวกเขาเสร็จเรียบร้อย

 

พิธีกรรมของพวกยูนิคอร์นไม่ได้ใช้เวลานาน แต่ละตัวใช้เวลาแค่ตัวละประมาณสามสิบวินาทีเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าใช้เวลาไปทั้งหมดไม่ถึงสิบนาทีดี

 

ผม สมาชิกเผ่า และผู้เล่นคนอื่นๆ เพียงแค่อยู่กันอย่างเงียบสงบเท่านั้น แม้จะแค่มองดูยูนิคอร์นที่ตายไปตอนแรกแต่พวกเขาก็มองกันตาโต แต่พอเห็นพวกมันที่มีมากกว่ายี่สิบตัวและเห็นพิธีกรรมของพวกมันด้วย ทุกคนจึงกำลังเฝ้าดูกันอย่างใจจดใจจ่อ

 

ถ้าบอกว่าการที่ได้พบกับลูกยูนิคอร์นเมื่อก่อนหน้านี้โดยบังเอญเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ครั้งนี้จะมองว่าเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นสักครั้งไหมไม่รู้ในระหว่างที่ทำกิจกรรมอยู่ในฮอลล์เพลนก็ได้

 

ถ้าเด็กๆ ส่งเสียงดังโวยวายเหมือนตอนที่เห็นยูนิคอร์นครั้งแรกผมก็คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีแต่โชคดีที่พวกเขาเข้าใจถึงบรรยากาศนี้อย่างถ่องแท้ พวกเขาเพียงแค่พูดกระซิบกระซาบกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น พร้อมทั้งรักษาความเงียบสงบเอาไว้แทน

 

ไม่นานก็ดูเหมือนว่าพิธีกรรมของพวกมันได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย โดยมีการกระทำของยูนิคอร์นขนาดตัวเกือบจะเท่ากับลูกยูนิคอร์นแต่ตัวใหญ่กว่านิดหน่อยเป็นตัวสุดท้าย พอจ่าฝูงส่งเสียงต่ำๆ ออกมาหนึ่งครั้ง ยูนิคอร์นตัวบึกบึนสองสามตัวก็เดินออกมางับศพของยูนิคอร์นตัวนั้นขึ้นไปให้พาดอยู่บนหลังของยูนิคอร์นสองตัว

 

และเมื่อพิธีกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น จ่าฝูงยูนิคอร์นก็พาฝูงของตัวเองเดินเข้ามาทางผมกับพวกคนอื่นๆ

 

ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้

 

‘ก็บอกแล้วไงว่าฟังไม่รู้เรื่อง’

 

แน่นอนว่ามันตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พูดตามตรงว่าผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่ากำลังพูดเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกมันติดหนี้บุญคุณผมได้สำเร็จอย่างแน่นอน ผมกังวลว่าหากต้องการผลตอบแทนอย่างเปิดเผยที่นี่ ก็จะทำลายความสัมพันธ์เพราะคิดว่าได้รับมันมาอย่างง่ายดายมากๆ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นผมตัดสินใจที่จะพอใจกับตรงนี้แล้วและจะบอกให้รู้ว่าจะออกเดินทางไปตอนนี้เลย

 

“พวกเราส่งมอบยูนิคอร์นที่ตายไปให้แล้วนะ เพราะอย่างนั้นพวกเราก็คงต้องไปแล้วเหมือนกัน อย่างที่เห็น ทางพวกเราก็มีผู้เล่นที่ถูกกระทำโดยสัตว์ประหลาดนั่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคงต้องรีบเดินทางกลับเมืองไปรับการรักษาแล้ว”

 

พอผมบอกไปทีละคำๆ อย่างชัดเจน สายตาของยูนิคอร์นทุกตัวโดยเริ่มจากจ่าฝูงยูนิคอร์นก็จับจ้องไปยังด้านหลังของผมอย่างพร้อมเพรียงกัน ดูจากการที่ดวงตาของพวกมันย่นเข้าหากันเล็กน้อย บางทีคงมองผู้เล่นที่ถูกตัดแขนและขาทั้งสองข้างก็ได้

 

‘ดีแล้ว สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมาด้วยเรื่องนี้แหละ’

 

ด้วยคำคำเดียวนั้นหมายความว่า ทั้งฉันทั้งนายต่างก็มีความเศร้าโศกเช่นเดียวกันเพราะสูญเสียเพื่อนร่วมกลุ่มเนื่องจากสัตว์ประหลาดนั่นเหมือนๆ กัน แน่นอนว่าจริงๆ แล้วพวกผู้เล่นพวกนี้เป็นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเลย แต่หากทำแบบนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ เพราะฉะนั้นผมเองก็เลยคิดว่าแค่ลองดู

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปจริงๆ แล้ว ผมหมุนตัวไปมองสมาชิกเผ่าเพื่อประกาศว่าจะกลับเมืองกันแล้ว อันซลกับอียูจองดูลังเล พอพยักหน้าโดยแฝงสายตาที่ถามว่าเป็นอะไรกัน อันซลจึงทำปากยื่นพลางเปิดปากพูดขึ้นโดยที่สายตาจับจ้องไปทางลูกยูนิคอร์น

 

“คือว่า ท่านพี่…”

 

“ทำไม”

 

“พวกเราลูบเจ้ายูนิสักครั้งแล้วค่อยไปไม่ได้เหรอคะ มันดูเหมือนกำลังเศร้ามากๆ เลย…ไปเฉยๆ ทั้งอย่างนี้มันปวดใจมากนะคะ ฉันอยากปลอบใจมันก่อนค่ะ”

 

ยูนิ(?)ยังคงห้อยตัวราวกับตายอยู่บนหลังของจ่าฝูง ถึงแม้บอกให้รู้ว่าจะไปแล้วแต่มันก็ไม่แม้แต่จะเงยหัวขึ้นมา ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของมันและเพียงแค่รู้สึกเสียใจมากกว่าที่จะเศร้าสร้อย ผมจ้องมองลูกยูนิคอร์นครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกสงสาร จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมา

 

พอมาตอนนี้แล้ว คำพูดของอันซลร้องขออะไรที่มากเกินไปหน่อย ถ้าเป็นตอนที่ก้าวออกไปด้วยกันเพื่ออธิบายสถานการณ์เมื่อครู่นี้ก็อาจจะได้ แต่ตอนนี้รอบข้างลูกยูนิคอร์นมียูนิคอร์นจำนวนมากยืนอยู่ แน่นอนว่าถึงไม่รู้ว่าจะสามารถฝ่าพวกมันเข้าไปลูบได้หรือเปล่า แต่การแยกจากกันตรงนี้เสียเฉยๆ มันรอบคอบที่สุดแล้ว

 

“ก็แค่…หืม”

 

เพราะอย่างนั้นผมจึงส่ายหน้าไปมา และในตอนที่กำลังจะบอกว่าให้ไปกันเลยนั้น

 

ฮฮฮฮี้

 

คราวนี้ผมได้ยินเสียงร้องอันคุ้นหูพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินฝ่าเข้ามาหาพวกเรา พอเอี้ยวตัวไปด้วยความตกใจจึงเห็นยูนิคอร์นที่เดินเข้ามาตรงหน้าคนอื่นๆ ทีละตัว และจ่าฝูงยููนิคอร์นที่เจอกันครั้งแรกก็เข้ามาทอดสายตามองผมอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าผมเช่นกัน

 

ในตอนที่ผมรู้สึกงุนงงขึ้นมา การกระทำของยูนิคอร์นต่อจากนั้นก็ทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก จ่าฝูงยูนิคอร์นงอขาทั้งสี่ข้างแล้วนั่งลงตรงหน้าผมอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยกหางยาวๆ นั้นขึ้นมาตีเพียะลงบนหลังของตัวเอง

 

“…หืม”

 

ฮฮฮฮี้ เพียะ!

 

“ทีนี้กำลังบอกให้ขึ้นหลังเหรอ”

 

หงึกๆ

 

 พอมองรอบข้างด้วยแววตาสับสน ผมก็ได้เห็นพวกยูนิคอร์นแต่ละตัวย่อตัวลงตรงหน้าสมาชิกเผ่าและผู้เล่นแต่ละคน

 

“พะ พี่! นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”

 

“ไม่รู้สิ ลองถามยูนิคอร์นที่อยู่ตรงหน้านายดู เรื่องนี้ฉันเองก็…”

 

“คะ คือว่านะ กำลังบอกให้ฉันขึ้นขี่งั้นเหรอ จริงเหรอ”

 

ยูนิคอร์นที่นั่งอยู่ตรงหน้าอันฮยอนมีขนตายาว มันปรายตามองเขาอย่างสวยๆ แล้วจึงพยักหน้าให้เหมือนกันกับจ่าฝูง อันฮยอนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งแล้วใช้หลังมือถูๆ ตรงดวงตา ยูนิคอร์นจ้องมองเขาด้วยใบหน้าเวทนาอะไรบางอย่าง

 

ถึงแม้จะดูสับสนนิดหน่อย แต่ผมก็ได้เห็นว่าใบหน้าของผู้เล่นที่ช่วยชีวิตมาได้มีสีหน้าตื่นเต้นกึ่งโล่งอก แน่นอนว่าการขี่พวกมันไปดีกว่าการเดินไป พวกเราไม่สามารถขี่พวกมันไปจนถึงเมืองเลยก็จริง แต่ถ้าสามารถขี่ยูนิคอร์นไปได้ ก็จะสามารถย่นระยะเวลาที่ใช้ในการกลับเมืองลงได้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว

 

ผมเอียงหัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะยอมรับไมตรีจิตของพวกมัน มองอย่างไรก็เป็นสถานการณ์ที่อาจจะเป็นโอกาสอันดีกว่าเดิมก็ได้

 

ผมยิ้มบางๆ แล้วเปิดปากพูดขึ้นกับสมาชิกเผ่าบางคนที่ไม่กล้าตัดสินใจ

 

“ดูเหมือนว่าพวกยูนิคอร์นตั้งใจจะมอบความปรารถนาดีให้พวกเรานะครับ มีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่พอดี เพราะฉะนั้นมองยังไงก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทีเดียว ให้เอาตัวผู้เล่นที่ยังคงไม่ได้สติขึ้นขี่ด้วยกันสองคนและช่วยปฏิบัติต่อยูนิคอร์นอย่างระมัดระวังด้วยครับ”

 

ผมพูดจบแล้วจึงขึ้นไปนั่งบนหลังของจ่าฝูงยูนิคอร์นก่อนเพื่อแสดงเป็นตัวอย่าง ทันใดนั้นมันก็ยืดขาที่เคยงอลงแล้วลุกขึ้น และผมก็รู้สึกได้ว่าขาของตัวเองค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นด้วยเช่นกัน