ตอนที่ 1937 ฝุ่นผงร่วงหล่น สิ้นสุดเรื่องราว (1)
“วิชาเปลี่ยนวิญญาณ” จวินอู๋เหยาส่งเสียงเยาะ
เย่กูที่อยู่ด้านข้างไม่สนใจบาดแผลที่หลังของตน แต่รีบเดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าจวินอู๋เหยา
“นายท่านต้องการให้ข้าไปสืบเรื่องนี้ไหมขอรับ?”
จวินอู๋เหยามองจวินอู๋เสียที่เต็มไปด้วยเลือดในอ้อมแขนของเขาแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
“ในเมื่อพวกมันกล้าใช้วิชาเปลี่ยนวิญญาณต่อหน้าข้า พวกมันก็คงตัดการเชื่อมโยงทั้งหมดไปแล้ว เจ้าสืบไม่เจอหรอก แต่ที่น่าสนใจก็คือวิชาเปลี่ยนวิญญาณของอาณาจักรบนมาปรากฏที่เด็กหนุ่มของอาณาจักรกลางนี่สิ……”
ในขณะที่จวินอู๋เหยาบดขยี้กู่อิ่งกับลูกน้องของเขา เขาได้กำจัดภูติประจำตัวทั้งหมดที่ต่อสู้พัวพันอยู่กับพวกเย่ฉาไปด้วย ประมุขวิหารต่างๆที่กำลังต่อสู้อย่างขมขื่นอยู่กับพวกเฉียวฉู่ก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว พวกเขาต่อสู้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย หวังว่าหลังจากที่กู่อิ่งจัดการจวินอู๋เสียได้ พวกเขาจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่การปรากฏตัวของจวินอู๋เหยาได้ทำลายความหวังเสี้ยวสุดท้ายจนกลายเป็นฝุ่นผง เหล่าประมุขที่สิ้นหวังไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและตกตายภายใต้คมดาบของพวกเฉียวฉู่
ทันใดนั้น ทั้งสถานที่ประชุมก็กลายเป็นพื้นที่กว้างมากขึ้นเมื่อประมุขสิบสองวิหารเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว แม้ว่าพวกเฉียวฉู่จะมีบาดแผลอยู่ไม่น้อย แต่หนี้เลือดของพวกเขาได้รับการสะสางแล้ว ต่อให้เจ็บจนถึงกระดูกและเส้นลมปราณได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่สามารถลบล้างความเบิกบานใจของพวกเขาในตอนนี้ได้
“พี่ใหญ่อู๋เหยา!” เฉียวฉู่ร้องออกมาขณะถอดถุงมือมังกรเพลิงออก มือทั้งสองข้างของเขาไหม้เกรียมจากเปลวไฟอันร้อนระอุ ยากจะจินตนาการได้ว่าเฉียวฉู่ใช้มือคู่นั้นต่อสู้กับประมุขวิหารปีศาจเพลิงมาโดยตลอด
แม้ว่าถุงมือมังกรเพลิงจะทรงพลัง แต่การใช้มันอย่างเต็มกำลังเป็นระยะเวลานานมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก ด้วยระดับของเฉียวฉู่ในตอนนี้ เขายังไม่สามารถใช้มันได้อย่างอิสระตามที่ต้องการ วันนี้เขาทุ่มสุดตัวจริงๆเพื่อแก้แค้นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของเขา
“วางข้าลง” จวินอู๋เสียกระตุกคอเสื้อของจวินอู๋เหยา ฝุ่นผงกำลังร่วงหล่น เหลือเพียงกองทัพของสิบสองวิหารที่ยังต่อสู้อยู่กับฉูหลิงเย่และคนของนาง เมื่อประมุขของทุกวิหารตายหมดแล้ว คนของพวกเขาก็อยู่ได้อีกไม่นาน
“อะไรหรือ?” จวินอู๋เหยาวางจวินอู๋เสียลงตามที่บอก
จวินอู๋เสียส่ายหน้าเบาๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลเข้าตา พยายามทำให้มองเห็นชัดขึ้นอีกสักเล็กน้อย โชคร้ายที่ทุกอย่างตรงหน้ายังคงพร่ามัว นางมองเห็นแต่ภาพเงาเบลอๆไม่ชัดเจน แต่เด็กสาวยังคงเดินตัวตรงไปที่ด้านข้าง
กู่ซินเยียนนอนนิ่งอยู่กลางกองเลือด ดวงตาปิดสนิทราวกับตายไปแล้ว แต่พลังในดาบที่แทงลงไปนั้น จวินอู๋เสียย่อมรู้ดีกว่าใคร
ในวินาทีสุดท้ายที่กู่ซินเยียนปรากฏตัว จวินอู๋เสียได้รวบรวมกำลังทั้งหมดบังคับให้ปลายดาบเบี่ยงไปเล็กน้อย
แต่กระทั่งจวินอู๋เสียเองก็ไม่รู้ว่าปลายดาบที่เบี่ยงไปเล็กน้อยนี้จะช่วยให้กู่ซินเยียนรอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้ได้หรือไม่
จวินอู๋เสียนั่งยองๆ และตรวจอาการของกู่ซินเยียน นางโล่งอกเมื่อสัมผัสได้ว่าชีพจรของกู่ซินเยียนนั้น แม้จะอ่อนแต่ก็ไม่ได้หยุดลง
[นางยังสามารถช่วยได้!]
จวินอู๋เสียคลำหาทันที และหยิบขวดยาขึ้นมาสองสามขวด แต่ทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัวไปหมด นางไม่สามารถรักษาบาดแผลของกู่ซินเยียนด้วยตนเองได้
“เย่ฉา”
“ขอรับ คุณหนู” เย่ฉาเดินเข้ามาหาจวินอู๋เสียทันที
จวินอู๋เสียวางขวดยาลงบนมือเย่ฉาและรีบสอนวิธีใช้ให้กับเขา เย่ฉามองจวินอู๋เสียอย่างเคร่งขรึมและทำตามคำสอนของจวินอู๋เสีย แต่มีความไม่เห็นด้วยแฝงอยู่ในดวงตาของเขา
“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังจะมีเวลาสนใจว่าคนอื่นจะอยู่หรือตายอีกหรือ?” จวินอู๋เหยาเฝ้าดูการกระทำของจวินอู๋เสีย แล้วเดินเข้ามาโอบจวินอู๋เสียเอาไว้อ้อมแขน เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ตอนที่ 1938 ฝุ่นผงร่วงหล่น สิ้นสุดเรื่องราว (2)
ถ้าเป็นตอนอื่น เขาก็คงไม่ว่าอะไร จวินอู๋เหยาเห็นจวินอู๋เสียบาดเจ็บหนักเช่นนี้ เขาก็รู้สึกปวดใจมากอยู่แล้ว และสงสัยว่านางอยากจะทำอะไร
สุดท้าย……
“ข้าไม่อยากฆ่านาง” จวินอู๋เสียกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว
เย่กูที่ยืนอยู่ด้านข้างเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้จวินอู๋เหยาฟังอย่างคร่าวๆ จวินอู๋เหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
สำหรับคนที่นางต้องการฆ่า นางสามารถลงมือได้อย่างไร้หัวใจและไร้ความปราณีใดๆทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นคนที่นางไม่ได้ตั้งใจให้ติดร่างแหไปด้วยแล้วล่ะก็ หัวใจของนางจะยังมีความเมตตากรุณาอยู่ ถึงจะบอกว่านางเย็นชา แต่ที่ซ่อนอยู่ภายในคือหัวใจอันอบอุ่นยิ่งนัก
“เอาล่ะ เจ้าช่วยคนๆนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ควรรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้แล้วใช่ไหม?” จวินอู๋เหยาจะไม่เถียงกับจวินอู๋เสียด้วยเรื่องเล็กน้อยจากมุมมองของเขาเช่นนี้ ไม่ว่าจวินอู๋เสียอยากทำอะไร เขาก็จะไม่คัดค้าน
ตราบใดที่มันไม่ทำร้ายนาง
จวินอู๋เสียพยักหน้าแต่โดยดี เรื่องคราวนี้ทำให้นางตระหนักถึงจุดบอดในแผนการของตน นางเตรียมการเอาไว้แล้วจริงๆ ตอนที่พวกเฉียวฉู่กินยาแปลงวิญญาณเข้าไป พวกเขาก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องสูญเสียพลังวิญญาณไปหมดสิ้นตลอดปีหน้า สูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเองอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ว่าจวินอู๋เสียจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน นางก็จะไม่กินยาแปลงวิญญาณ นางต้องการทำให้แน่ใจว่าจะมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องพวกเฉียวฉู่ตอนที่พวกเขาไร้พลังปกป้องตัวเอง
แต่นางไม่คิดว่ากู่อิ่งจะนำกลุ่มคนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นมา นี่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของจวินอู๋เสีย
ประมุขสิบสองวิหารถูกฆ่าหมดแล้ว เมื่อข่าวกระจายออกไป ศิษย์ของสิบสองวิหารที่พ่ายแพ้ล่าถอยก็หมดกำลังใจสู้อีกต่อไปและเริ่มพากันวิ่งหนี ฉูหลิงเย่และเหล่าทหารของนางก็จงใจเว้นช่องว่างในวงล้อมเอาไว้เพื่อปล่อยให้ศิษย์ที่ไม่คิดจะต่อสู้วิ่งหนีไปได้
นอกจากคนที่เลวทรามต่ำช้ามากๆที่จะถูกดูแลเป็นพิเศษ ศิษย์คนอื่นๆได้หนีไปแล้ว เหลือเพียงคนที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรมากนักแต่เข้าร่วมต่อสู้ด้วยความจงรักภักดี ก็จะถูกทหารของฉูหลิงเย่จัดการจนต้องล้มลงไปนอนหน้าซีดกับพื้น
พวกเขาเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว ศิษย์คนอื่นก็หนีกันไปหมด ประมุขกับผู้อาวุโสก็ตายแล้ว พวกเขาเฝ้ามองฉูหลิงเย่และคนของนางสังหารศิษย์บางคนของสิบสองวิหารด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง คิดว่าตนจะต้องตายแน่แล้ว
น่าเสียดาย……
พวกเขาไม่ตาย ศิษย์สิบสองวิหารที่ได้รับบาดเจ็บและเคลื่อนไหวไม่ได้ทุกคนถูกสั่งให้อยู่กับที่ จวินชิงทิ้งทหารกองทัพรุ่ยหลินเอาไว้กลุ่มหนึ่งเพื่อเฝ้าดูพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาไม่รนหาที่ตาย จวินชิงก็จะไม่ส่งพวกเขาลงสู่ปรโลก
ในที่สุดการต่อสู้ที่วางแผนไว้อย่างละเอียดรอบคอบมาหลายปีก็จบลง หลังจากที่จวินชิง หลงฉี ฉูหลิงเย่ และคนของพวกเขาจัดการกับ “เชลยศึก” แล้ว พวกเขาก็ไปยังสถานที่จัดประชุมทันทีเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในนั้น
เมื่อพวกเขาเห็นจวินอู๋เหยาอุ้มจวินอู๋เสียที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งตัวเดินออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไปทันที แทนที่ด้วยความตกใจและสิ้นหวัง
“อู๋เสีย!” จวินชิงใจหายวาบและรีบพุ่งเข้าไปหา
ร่างของฉูหลิงเย่โอนเอนเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเล่ยเฉินรีบประคองนางเอาไว้ นางก็อาจจะล้มลงกับพื้นแล้ว
“ท่านอา ข้าไม่เป็นไร แค่แผลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” ดูเหมือนจวินอู๋เสียจะสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลในน้ำเสียงของจวินชิง นางจึงเงยหน้าขึ้นและพยายามเพ่งมองใบหน้าของจวินชิงอย่างเต็มที่
จวินชิงมองจวินอู๋เสียด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก แม้นางจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่เมื่อเห็นนางอยู่ในสภาพนี้ ใครจะเชื่อว่านางไม่เป็นไรจริงๆ?
“เด็กโง่ เจ้ากำลังโกหกอางั้นหรือ? เจ้า……สภาพเจ้าเป็นเช่นนี้จะไม่เป็นไรได้อย่างไร?” จวินชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดอย่างมาก
ตอนที่ 1939 ฝุ่นผงร่วงหล่น สิ้นสุดเรื่องราว (3)
“เสี่ยวเสียเอ๋อร์ต้องการพักผ่อน” จวินอู๋เหยาเอ่ยขึ้นมา
สิ่งที่จวินอู๋เสียต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการรักษา
จวินชิงผงะไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงสิ่งสำคัญที่ต้องทำได้ และรีบส่งคนไปเรียกมู่เฉินมาทันที
จวินอู๋เหยาพาจวินอู๋เสียไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนที่นั่นชั่วคราว และสั่งให้คนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามายกเว้นหมอ
สิ่งที่จวินอู๋เสียไม่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือทำให้ครอบครัวต้องเป็นกังวล ถ้าจวินชิงยังเห็นนางในสภาพเช่นนี้ต่อไป เขาก็จะกังวลต่อไปอีก เช่นนั้นก็แยกตัวนางออกมาชั่วคราวจะดีกว่า นอกจากจะทำให้จวินอู๋เสียได้พักรักษาตัวอย่างสงบแล้ว จวินชิงก็จะกังวลน้อยลงด้วย
“เจ้านาย……ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้?” บัวน้อยทรุดตัวลงที่ข้างเตียงจวินอู๋เสียพร้อมน้ำตานองหน้า เจ้าแมวดำใช้ปากคาบถ้วยอยู่ข้างๆ คอยเก็บน้ำตาของบัวน้อยอย่างเงียบๆ
[น้ำตาเจ้าเด็กปัญญาอ่อนนี่เป็นของดี จะปล่อยให้เสียของไม่ได้ เก็บแล้วจะได้เอาไปปรุงยาให้เจ้านายกิน]
จวินอู๋เสียมองไม่เห็นบัวน้อยว่าเป็นยังไง ได้ยินแต่เสียงเขาร้องไห้สะอึกสะอื้น
บัวน้อยร้องไห้อย่างหนักราวกับเป็นวันสิ้นโลก แล้วจู่ๆเขาก็ถูกอุ้มขึ้นมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขาเบิกกว้างทันที เขาหันไปมองอย่างตื่นตระหนกและเห็นดวงตาสีม่วงของจวินอู๋เหยาซึ่งทำให้เขาตกใจกลัวมากจนขดตัวเป็นลูกบอลทันที
จวินอู๋เหยาพาบัวน้อยมาตรงหน้าจวินอู๋เสีย แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “บัวหิมะจักรพรรดิมีผลดีมาก ใช้มันบำรุงเจ้าก่อน”
“………” บัวน้อยตื่นตระหนกทันที……
อิงซู่ที่อยู่ข้างๆแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่ต่อหน้าจวินอู๋เหยา เขาไม่กล้ากำเริบเสิบสานมากเกินไป จึงทำได้แค่กลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ข้าก็ว่ามันได้ผล” เจ้าแมวดำวางถ้วยที่เต็มไปด้วยน้ำตาลงอย่างระมัดระวัง พร้อมกับพยักหน้าอย่างจริงจัง
บัวน้อยตัวสั่นขณะมองใบหน้าเปื้อนเลือดของจวินอู๋เสีย จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆเหยียดแขนเล็กๆป้อมๆที่กำลังสั่นระริกออกมา
“เจ้านาย……ท่านกินสักคำเถอะ ข้าช่วยบำรุงได้ดี……”
“………..” จวินอู๋เสียรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
มู่เฉินรีบเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเห็นจวินอู๋เหยา เขาก็ยืนนิ่งงงอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งจวินอู๋เหยาเลิกคิ้วกวาดตามอง ทำให้มู่เฉินตัวสั่นทันที ก่อนจะรีบเข้าไปตรวจอาการของจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียไม่มีบาดแผลบนร่างกายมากนัก ก่อนที่เกราะภูติไม้จะแตก มันปกป้องนางได้ดีมาก และหลังจากนั้นเย่กูก็ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องนางเอาไว้จากการโจมตีส่วนใหญ่ บาดแผลที่ร้ายแรงที่สุดบนร่างกายของจวินอู๋เสียก็คือบาดแผลที่หน้าผากของนาง
ขนาดของแผลไม่เล็กเลย เนื้อฉีกออกจนเห็นถึงกะโหลกศีรษะ ที่กะโหลกมีรอยร้าวอยู่ ยากจะจินตนาการว่าจวินอู๋เสียยังคงสติอยู่ได้อย่างไรทั้งที่บาดเจ็บขนาดนี้ เมื่อมู่เฉินเห็นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
โชคดีตอนที่เย่กูปกป้องนาง จวินอู๋เสียได้เอายาให้ตัวเองกินไปไม่น้อยเพื่อป้องกันไม่ให้อาการบาดเจ็บแย่ลง ไม่เช่นนั้นนางอาจจะหมดสติไปก่อนที่จวินอู๋เหยาจะมาถึง
มู่เฉินรักษาบาดแผลของจวินอู๋เสียอย่างระมัดระวังมาก จวินอู๋เหยายืนเงียบๆอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองใบหน้าที่ซีดขาวเนื่องจากเสียเลือดไปมากของจวินอู๋เสีย คราบเลือดถูกเช็ดออกจากใบหน้าของนาง เหลือเพียงบาดแผลบนหน้าผากที่ยังไม่ได้จัดการ เลือดที่อยู่บนใบหน้าขาวผ่องไร้ที่ตินั้นดูบาดตาเป็นพิเศษ ทำให้จวินอู๋เหยาอยากยื่นมือไปเช็ดมันออกนับครั้งไม่ถ้วน
เนื่องจากแผลใหญ่เกินไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเย็บแผล มู่เฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า
“คุณหนูต้องการใช้ยาชาไหมขอรับ?” แม้ว่าการใช้ยาชาจะทำให้ไม่เจ็บปวด แต่ก็จะสร้างความเสียหายให้กับเส้นประสาทอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น บาดแผลของจวินอู๋เสียก็อยู่บนหน้าผากซึ่งใกล้กับสมอง