ตอนที่ 1940-1942

Genius Doctor Black Belly Miss

ตอนที่ 1940 ฝุ่นผงร่วงหล่น สิ้นสุดเรื่องราว (4)
  “ไม่ต้อง” จวินอู๋เสียส่ายหัว นางต่อต้านการใช้ยาชาอย่างมาก ความรู้สึกหมดหนทางที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ทำให้นางคิดถึงอดีตตอนที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของปีศาจนั่นและไม่สามารถหลุดพ้นเป็นอิสระได้
  มู่เฉินยืนยันกับจวินอู๋เสียอีกสองสามครั้ง แม้ว่าใช้แล้วจะไม่ดี แต่ความเจ็บปวดจากการเย็บแผลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะทนได้
  จวินอู๋เหยาเดินไปที่ข้างเตียงและนั่งลงข้างๆจวินอู๋เสีย โอบแขนรอบตัวนาง จับมือเล็กๆของนางเอาไว้ ยิ้มเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับมู่เฉินว่า “เริ่มได้เลย”
  จวินอู๋เสียเพียงสัมผัสได้ถึงพลังอันอบอุ่นจากฝ่ามือของจวินอู๋เหยาที่แผ่กระจายไปทั่วร่างนาง ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดบนร่างจะลดลงไปไม่น้อย
  มู่เฉินเย็บแผลของจวินอู๋เสียอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะชักช้าเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาจะเทียบกับจวินอู๋เสียไม่ได้ แต่ความสามารถของคนที่เคยเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของพรรคชิงอวิ๋นก็โดดเด่นเช่นกัน
  จวินอู๋เสียไม่ได้ส่งเสียงร้องเลยสักนิด แค่หลับตาอดทนต่อความเจ็บปวด
  จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น มู่เฉินก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
  “คุณหนูมีความรู้เรื่องการรักษามากกว่าข้า ท่านน่าจะรู้ว่ารอยร้าวที่กะโหลกของท่านค่อนข้างเป็นปัญหาทีเดียว” มู่เฉินมองจวินอู๋เสีย โชคดีที่มันเป็นแค่รอยบางๆ ไม่ได้แตกลึกเข้าไปในกะโหลก ไม่เช่นนั้น……ผลของมันคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
  จวินอู๋เสียพยักหน้า นางรู้ว่าอาการบาดเจ็บของนางในครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือนางอาจได้รับความเสียหายต่อระบบประสาทในสมอง ไม่งั้นการมองเห็นของนางคงไม่พร่ามัวเช่นนี้
  เนื่องจากความรู้ด้านการแพทย์ของมู่เฉินด้อยกว่าจวินอู๋เสีย เขาจึงไม่มีอะไรจะพูดไปมากกว่านี้ได้แล้ว จวินอู๋เสียสั่งจ่ายยากับมู่เฉินเพื่อให้คนของเขาไปจัดการ เจ้าแมวดำกระโดดออกมาและใช้อุ้งเท้าของมันดันถ้วยใส่น้ำตาของบัวน้อยไปตรงหน้ามู่เฉิน
  ยาที่ต้มด้วยน้ำธรรมดาจะเทียบกับน้ำตาของบัวน้อยได้อย่างไร?
  มู่เฉินถือถ้วยน้ำตาเดินออกไป ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
  “นอนพักสักหน่อย พอยาเสร็จแล้ว ข้าจะปลุกเจ้า” จวินอู๋เหยาพูดอย่างอ่อนโยน เห็นเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขาเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
  จวินอู๋เสียพยักหน้า นางเหนื่อยมากจริงๆ
  เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียหลับไปแล้ว จวินอู๋เหยาก็วางนางบนเตียงอย่างนุ่มนวล พอยืนขึ้นดวงตาของเขาก็ตวัดมองไปที่บัวน้อยซึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้น บัวน้อยก็เอาสองมือปิดปากทันที ไม่กล้าส่งเสียงใดๆอีก
  “ดูแลนางให้ดี” จวินอู๋เหยาพูดกับพวกที่ไม่ใช่มนุษย์ในห้อง
  อิงซู่พยักหน้าอย่างจริงจัง ขณะที่เจ้าแมวดำแกว่งหางอย่างรับรู้
  เมื่อก้าวออกจากห้องของจวินอู๋เสีย เย่ฉากับเย่เม่ยกำลังยืนเฝ้าอยู่นอกประตู
  “เย่กูไปพักผ่อนก่อนแล้วขอรับ อาการบาดเจ็บของเขาครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง แต่เขายังพยายามจะมาขออภัยนายท่านเจว๋ ข้าเกรงว่าคุณหนูจะรู้สึกผิด จึงบอกให้เขาไปพักผ่อนที่ห้องก่อน” เย่ฉารายงาน เย่กูได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องจวินอู๋เสีย จากนิสัยของจวินอู๋เสียแล้ว ถ้าเย่กูไม่หายให้เร็วที่สุดล่ะก็ นางจะต้องโทษตัวเองอย่างแน่นอน
  หลังจากติดตามจวินอู๋เสียมานาน เย่ฉาก็รู้จักนิสัยของจวินอู๋เสียเป็นอย่างดี
  จวินอู๋เหยาพยักหน้า ไม่แสดงท่าทีคัดค้านใดๆต่อการจัดการของเย่ฉา
  “นายท่านเจว๋ กู่อิ่งใช้วิชาเปลี่ยนวิญญาณและยังไม่ตาย ตอนนี้เขารู้ตัวตนของนายท่านแล้ว……ต้องกำจัดเขาโดยเร็วขอรับ ไม่งั้นหากข่าวรั่วออกไป มันอาจจะดึงคนพวกนั้นมา” เย่เม่ยที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งพูดขึ้นด้วยความกังวล เขารีบมาที่นี่พร้อมกับจวินอู๋เหยา และได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว
  สามารถหลบหนีจากงานศพเลือดของจวินอู๋เหยาไปได้ ความสามารถของกู่อิ่งไม่ใช่เล่นๆเลย
ตอนที่ 1941 ซ่อนเร้น (1)
  สามารถหลบหนีจากงานศพเลือดของจวินอู๋เหยาไปได้ ความสามารถของกู่อิ่งไม่ใช่เล่นๆเลย
  กู่อิ่งหนีไปได้นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งที่เย่เม่ยเป็นกังวลมากกว่าก็คือข่าวที่ว่าจวินอู๋เหยายังมีชีวิตอยู่จะแพร่กระจายออกไป
  “ในเมื่อข้ากลับมาที่อาณาจักรกลางแล้ว ไม่ช้าก็เร็วคนพวกนั้นก็จะรู้อยู่ดี” จวินอู๋เหยายิ้มมุมปาก ดวงตาส่องประกายเย็นชา
  “นายท่านเจ๋ว งั้นเราควรกลับไปที่อาณาจักรล่างกันเลยไหมขอรับ?” น้ำเสียงของเย่เม่ยเต็มไปด้วยความกังวล กลุ่มอำนาจในอาณาจักรกลางนั้นซับซ้อนมาก ขอบเขตที่คนพวกนั้นเอื้อมมือไปถึงมีมากมาย เกรงว่าคงไม่ง่ายที่จะจัดการในทันที
  สายตาของจวินอู๋เหยาหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
  “เรื่องในอาณาจักรล่างให้พวกเขาทำต่อไป อีกสักพักเจ้าค่อยกลับไปที่ราชอาณาจักรแห่งความมืด” จวินอู๋เหยาพูด
  “กลับไปที่ราชอาณาจักรแห่งความมืด?” เย่ฉาและเย่เม่ยมีสีหน้าประหลาดใจทันที
  ถ้านายท่านเจว๋สั่งให้เย่เม่ยกลับไปที่ราชอาณาจักรแห่งความมืด นั่นเท่ากับบอกให้ส่งข่าวว่าเขายังมีชีวิตอยู่กลับไปที่ราชอาณาจักรแห่งความมืดไม่ใช่หรือ?
  “นายท่านโปรดพิจารณาด้วย! อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี ไม่สมควรจะลงมือกับคนพวกนั้นในตอนนี้ นายท่านเจว๋ได้โปรดให้เวลากับพวกเรามากกว่านี้ด้วย พวกเราจะจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น……” เย่เม่ยคุกเข่าลงตรงหน้าจวินอู๋เหยาทันที อ้อนวอนด้วยถ้อยคำที่จริงใจ
  จวินอู๋เหยายกมือขึ้นขัดคำพูดของเย่เม่ย
  “แม้ว่าข้าจะเต็มใจรอ แต่เกรงว่าคนพวกนั้นจะนั่งเฉยไม่ได้แล้ว” จวินอู๋เหยายิ้มเยาะ “ตอนนี้วิชาเปลี่ยนวิญญาณปรากฏขึ้นในอาณาจักรกลาง เกิดเรื่องน่าสนใจเช่นนี้ขึ้น ข้าว่าพวกเขาคงลงมือเคลื่อนไหวไปแล้ว เก้าอารามมักจะรอบคอบระมัดระวังอยู่เสมอ นี่ดูไม่เหมือนวิธีการของพวกเขาเลย”
  แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับอาณาจักรกลางมานาน แต่ข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรกลางก็มาถึงหูของจวินอู๋เหยาอยู่ตลอด
  หนึ่งราชอาณาจักร, สี่ดินแดน, เก้าอาราม, สิบสองวิหาร
  กลุ่มอำนาจต่างๆในอาณาจักรกลาง ก่อนที่จวินอู๋เหยาจะมีความคิดรวมอาณาจักรกลางให้เป็นหนึ่งเดียว สี่ดินแดนแยกตัวจากโลกภายนอก มีเพียงเก้าอารามและสิบสองวิหารที่ดุเดือดก้าวร้าวที่สุด เก้าอารามถูกสร้างขึ้นก่อนสิบสองวิหารและรวบรวมพลังที่แข็งแกร่งเอาไว้มาก ยิ่งกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างเก้าอารามก็มีความกลมเกลียวกันมากกว่าสิบสองวิหาร เมื่อไม่มีความขัดแย้งใดๆระหว่างกัน พวกเขาจึงกดสิบสองวิหารไว้ได้ด้วยความแข็งแกร่งที่เทียบไม่ติด
  แต่จากข้อมูลที่พวกเย่เม่ยรวบรวมได้ในช่วงหลายปีนี้ หลังจากจักรพรรดิแห่งความมืดสิ้นลง ราชอาณาจักรแห่งความมืดแยกตัวโดดเดี่ยว เก้าอารามก็เก็บตัวทันที พฤติกรรมกลายเป็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว ทำให้สิบสองวิหารมีโอกาสโงหัวขึ้นมา
  สำหรับคนอื่นๆอาจจะไม่สังเกตเห็นอะไร แต่ในสายตาของจวินอู๋เหยา นี่มันน่าสนใจมาก
  ต้องรู้ว่าประมุขของเก้าอารามและสิบสองวิหารแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เก้าอารามถูกสร้างขึ้นมา ประมุขของแต่ละอารามไม่เคยเปลี่ยนเลยสักครั้ง!
  เป็นเวลานานก่อนที่จวินอู๋เหยาจะปรากฏตัวในอาณาจักรกลาง ประมุขของเก้าอารามก็ครองอำนาจในอารามของตนแล้ว ตอนที่จวินอู๋เหยารวมอาณาจักรกลางก็ไม่ได้เปลี่ยน จวบจนบัดนี้ หลังจากผ่านมาหนึ่งพันปี ประมุขทั้งเก้าของเก้าอารามก็ยังเป็นคนเดิม
  อยู่มาหลายพันปี จู่ๆก็กลายเป็นคนเฉยเมยไม่ทะเยอทะยานไปได้ยังไง?
  “ถ้าข้าจำไม่ผิด กู่อิ่งที่หนีไปนั่น ครอบครัวทางแม่ของเขาเป็นคนของอารามหลิงซวีไม่ใช่หรือ?” จวินอู๋เหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย
  “นายท่านเจว๋ ท่านหมายความว่า……อาณาจักรกลางเริ่มแผนของพวกเขาแล้วหรือ?” เย่เม่ยตกใจ
  จวินอู๋เหยาหัวเราะเบาๆ
  “ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาเริ่มแล้วหรือยัง แต่ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้อยู่เฉยๆแน่ คงทำไปหลายอย่างแล้ว”
  “เช่นนั้นนายท่านเจว๋ยิ่งต้องไม่ไปเจอกับพวกเขาตอนนี้ ไม่อย่างนั้น……” เย่เม่ยกัดฟันและพูดไม่จบ แต่ความเกลียดชังในแววตาของเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ตอนที่ 1942 ซ่อนเร้น (2)
  “ถ้าเจอแล้วจะเป็นยังไง? พวกเขาจะฆ่าข้าได้งั้นหรือ?” จวินอู๋เหยาเลิกคิ้ว เห็นความเย่อหยิ่งในดวงตาได้อย่างชัดเจน
  เย่เม่ยก้มหน้า เขารู้ว่าต่อให้เจอกับคนพวกนั้นอีกครั้งและพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คนพวกนั้นก็ไม่สามารถเอาชีวิตของนายท่านเจว๋ได้อย่างแน่นอน แต่……
  จวินอู๋เหยามองไปประตูที่ปิดสนิท รอยยิ้มเย็นชาของเขาอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
  “คงถึงเวลาที่ข้าควรพาเด็กน้อยไปเที่ยวที่สี่ดินแดนแล้ว”
  เย่เม่ยชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ
  “นายท่านเจว๋ ท่านจะบอกคุณหนูเรื่องนั้นหรือขอรับ?”
  จวินอู๋เหยาลูบคาง
  “สติปัญญาของเสี่ยวเสียเอ๋อร์ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้ เมื่อนางรู้เรื่องนี้ นางอาจจะมีวิธีจัดการกับพวกเขา แบบนั้นต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าก็เชื่อว่านางจะสามารถจัดการกับมันได้ด้วยความสามารถของนาง”
  “นายท่านเจว๋! ท่านพูดคำที่เป็นลางไม่ดีเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ!” กระทั่งเย่ฉาก็ร้อนใจจนคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง
  จวินอู๋เหยาเลิกคิ้วมองผู้ใต้บังคับบัญชาของตนซึ่งทำหน้าเคร่งขรึม แล้วเขาก็หัวเราะออกมา
  “ตามข้ามาหลายปีแล้ว เมื่อไรพวกเจ้าจะเปลี่ยนนิสัยสักที? สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าสองคนในวันนี้ พวกเจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี สิ่งที่เป็นของข้าก็คือของเสี่ยวเสียเอ๋อร์ ราชอาณาจักรแห่งความมืดเป็นของข้า และก็เป็นของนางเช่นกัน รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีด้วย พวกเจ้ารู้นี่ว่าต้องจัดการยังไง” จวินอู๋เหยาพูดสบายๆ แต่เย่ฉาและเย่เม่ยได้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจถูกมีดเฉือน
  คำพูดของนายท่านเจว๋ทำให้พวกเขาตกใจมาก มันฟังเหมือนเขากำลังสั่งเสีย……
  พูดจบจวินอู๋เหยาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องทันที และนั่งลงข้างเตียงเพื่อมองดูใบหน้าตอนหลับของจวินอู๋เสีย แววตาของเขาอ่อนโยนอย่างที่แทบไม่เคยเห็น
  [เด็กน้อย เจ้าต้องโตเร็วๆนะ]
  เย่ฉาและเย่เม่ยไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น สีหน้าของพวกเขาไม่น่าดูอย่างยิ่ง แม้แต่มู่เฉินก็ยังสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งหม่นหมองของคนทั้งสองในตอนที่เขานำยาเข้ามา
  การมองเห็นของจวินอู๋เสียดีขึ้นในวันที่สอง พอรู้สึกดีขึ้นแค่เล็กน้อย นางก็ทนอยู่เฉยไม่ได้แล้ว และรีบออกไปข้างนอกทันที
  ผลที่ตามมาของยาแปลงวิญญาณที่พวกเฉียวฉู่กินเข้าไปออกฤทธิ์โจมตีพวกเขาเร็วมาก กลุ่มผู้เยาว์ทำท่าเหมือนป่วยหนัก หลังจากล้มคว่ำไปก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ อาการของพวกเขาทำให้มู่เฉินตกใจมาก เนื่องจากเขาไม่พบอาการบาดเจ็บร้ายแรงบนร่างกายของเด็กพวกนี้เลย แล้วจู่ๆเด็กวัยรุ่นที่แข็งแรงสุขภาพดีพวกนี้กลายเป็นอ่อนแอเปราะบางขนาดนี้ได้ยังไง?
  ขณะที่มู่เฉินกำลังงุนงงอยู่นั้น จวินอู๋เสียก็เข้ามาพอดี
  ภายในห้องพวกเฉียวฉู่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟานุ่มๆ ใบหน้าสวยหล่อที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาบัดนี้ซีดเผือด จวินอู๋เสียยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่นางไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณจากร่างพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
  ผลข้างเคียงของยาแปลงวิญญาณเล่นงานพวกเขาอย่างเต็มที่ พวกเฉียวฉู่สูญเสียพลังวิญญาณทั้งหมดไปแล้ว
  “เฮ้ เสี่ยวเสีย……เจ้าดูสบายดีแล้วนี่ วันนั้นทำให้พวกเรากลัวแทบแย่” เฉียวฉู่ยกมือขึ้นโบกไปมาอย่างเหนื่อยๆ ราวกับไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย เขาอยากกระโดดไปมารอบๆเหมือนเคย แต่ร่างกายที่อ่อนแอปวกเปียกของเขาทำให้เขาไม่มีแรงเลยสักนิด
  ยาแปลงวิญญาณให้ผลดีอย่างมหาศาล และมันก็ส่งผลเสียในระดับเดียวกัน
  จวินอู๋เสียหรี่ตามองเพื่อนๆที่หน้าซีดขาว นางเดินเข้าไปจับชีพจรของพวกเขาทีละคน
  ผลจากการวินิจฉัยเป็นเหมือนที่นางคิดเอาไว้
  พวกเขาที่เคยมีร่างกายแข็งแรง ตอนนี้สุขภาพกลับย่ำแย่ ชีพจรอ่อน เลือดลมติดขัด ถ้านางไม่รู้จักพวกเขามาก่อน นางคงคิดว่านายน้อยกลุ่มนี้มารวมตัวกันเพื่อให้นางรักษาให้
  “ข้าเตือนพวกเจ้าแล้ว ถ้าไม่สุดวิสัยจริงๆ อย่าใช้ยาแปลงวิญญาณ” หลังจากจับชีพจรของพวกเขาแล้ว แม้แต่จวินอู๋เสียก็ยังรู้สึกว่ายากจะรับได้