ท่านไม่กลัวใบหน้าดวงน้อยที่งดงามของข้าเสียโฉมหรือ

 

 

 

“ท่านปู่ กว่าเสบียงจะมาถึงก็อีกสี่ห้าวัน ท่านวางแผนไว้ว่าอย่างไร” เสี่ยวตี๋ล้างผลไม้ป่าหนึ่งจานเข้ามา เป็นผลไม้ป่าที่พวกเขาเก็บมาระหว่างทาง เสิ่นเวยหยิบมาหนึ่งลูก กัดเสียงดังกรวม

 

 

คิ้วของท่านเสิ่นโหวขมวดมุ่นทันที เมืองชายแดนไม่มีเสบียงเขาเองก็ไม่สามารถแลกของเปล่าๆ ได้ใช่หรือไม่ ส่งคนไปซื้องั้นหรือ ค่าใช้จ่ายในกองทัพเดิมก็ไม่เยอะอยู่แล้ว จะเอาเงินมาจากไหน เขาเองก็เป็นทุกข์ “เจ้ามีวิธีใช่หรือไม่” ท่านเสิ่นโหวถาม

 

 

เสิ่นเวยเคี้ยวกรวมไม่หยุด “ท้องพระคลังว่างเปล่า สิ่งที่ฮ่องเต้ชอบทำมากที่สุดก็คือค้นบ้านยึดทรัพย์ ยึดทรัพย์ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ชั่วพริบตาท้องพระคลังก็เต็มกว่าครึ่ง กองทัพขาดเสบียงรู้หรือยังว่าต้องทำเช่นไร” เสิ่นเวยตั้งนิ้วชี้เป็นความลับ

 

 

ท่านเสิ่นโหวถลึงตามองนางอย่างหงุดหงิด “รีบพูด! ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ทำไม”

 

 

“ปราบโจรอย่างไรเล่า! หารังโจร รังโจรภูเขา รังโจรที่ขี่ม้าปล้น แล้วจับตัวเสีย เช่นนี้เสบียงก็มีแล้ว เงินทองก็มีแล้วเช่นกัน นี่เรียกว่าใช้ของที่ได้จากสงครามมาทำสงคราม หวังจะพึ่งเสบียงแค่นั้นที่ราชสำนักจัดให้งั้นหรือ ฮ่าๆ ตายยังไม่รู้เลยว่าตายได้อย่างไร ท่านปู่ รู้หรือไม่ว่าราชสำนักจัดเสบียงมาให้เท่าไร หนึ่งหมื่นต้าน! หลานท่านยังหามาให้ท่านสามหมื่นต้าน แต่ราชสำนักที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นกลับให้เพียงหนึ่งหมื่นต้าน ผิดหวังหรือไม่ ฟังว่าหนึ่งหมื่นต้านนี้ยังไม่รู้ว่าหยิบยืมมาได้อย่างไร แต่ท่านเป็นคนสำคัญของจักรพรรดิ พวกเขาไม่กล้ายึกยัก มิเช่นนั้นหากยังถกเถียงกันอีก ขูดรีดอีก กว่าจะจัดสรรเสบียงได้เมืองชายแดนก็คงถูกตีแตกหมดแล้ว ดังนั้นจึงบอกว่าพึ่งพาราชสำนักไม่ได้ ยังต้องคิดหาวิธีเอง” เสิ่นเวยกินไปพลางพูดไปพลาง เอ่ยถึงราชสำนักก็เหยียดหยาม หนึ่งหมื่นต้าน ฮ่าๆ ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือไร

 

 

“ดังนั้นตอนที่ยังรักษาตัวอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นเจ้าจึงชอบไปจับกุมรังโจรใช่หรือไม่” ท่านเสิ่นโหวกล่าวต่อ

 

 

“ถูกต้อง!” เสิ่นเวยพอใจอย่างยิ่ง “จับกุมโจรนอกจากจะกำจัดอันตรายให้ประชาชนได้แล้ว ยังสามารถสะสมทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว ไยจะไม่เต็มใจทำ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามพึ่งพาตัวเองไว้จึงจะมั่นคงที่สุด หากข้าหวังแต่จะพึ่งแต่จวน เหอะ หญ้าที่สุสานก็คงขึ้นสูงหมดแล้ว” นึกถึงเรื่องในอดีตเสิ่นเวยก็คับแค้นใจอย่างอดไม่ได้

 

 

“เช่นนั้นเจ้าจะต้องมีแผนรับมือแล้วใช่หรือไม่” ท่านเสิ่นโหวถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

“ถูกต้อง!” เสิ่นเวยตอบอย่างไม่ทันคิด ทันใดนั้นก็ได้สติกลับมา ถลึงตาใส่ท่านปู่อย่างอดไม่ได้ ในเมื่อในเมื่อพลั้งปากแล้ว เช่นนั้นก็พูดเลยแล้วกัน

 

 

“ไม่เห็นหรือว่าทหารลับไม่อยู่ ทั้งหมดถูกข้าส่งออกไปสืบดูสถานการณ์แล้ว” เสิ่นเวยกัดผลไม้ป่าหนึ่งคำใหญ่อย่างแรง ออกแรงเคี้ยวราวกับระบายความแค้น “ห่างจากที่นี่ไปร้อยลี้มีเขาลูกหนึ่งชื่อเขา

 

 

เอ้อร์หลง ข้างบนนั้นมีโจรหนึ่งกลุ่มใหญ่ หลานเตรียมพาคนไปจับ เสบียงที่ว่านี้ก็มีแล้วไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยพูดแผนการของตนออกมา

 

 

ตั้งแต่ที่ทำลายล้างโจรกลุ่มนั้นระหว่างทางเสิ่นเวยก็ตัดสินใจเรื่องเขาเอ้อร์หลงแล้ว มาเมืองชายแดนซีเจียงคราวนี้นางเสียหายเยอะอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงเงินที่ใช้จ่ายออกไปราวกับน้ำ ยังต้องนำคนมาคุมส่งเสบียง สำนักคุ้มภัยและร้านค้าต้องขาดคน ตกอยู่ในสภาพปิดครึ่งวันด้วยเหตุนี้ รายได้ลดลงไปเท่าไร เพื่อที่จะชดใช้ความเสียหายเหล่านี้ นางจึงตัดสินใจที่จะทลายรังโจร

 

 

ตอนนี้ท่านปู่รู้แผนการของนางแล้ว การวางแผนในบัญชีเงินหลวงย่อมคว้าน้ำเหลว คิดๆ ดูแล้วก็ยังเจ็บทั้งใจเจ็บทั้งกายจริงๆ

 

 

“ท่านปู่ๆ นี่เป็นเงินส่วนตัวที่หลานเก็บออม ตอนนี้มอบให้ท่านหมดแล้ว ท่านจะ…”

 

 

“รู้แล้วๆ กลับไปก็ต้องแบ่งเงินทองของล้ำค่าให้เจ้าเยอะหน่อยใช่หรือไม่” เสิ่นเวยยังพูดไม่ทันจบ ท่านเสิ่นโหวก็พูดต่ออย่างทนไม่ได้แล้ว “วางใจ ปู่เจ้ายังมีทรัพย์สินส่วนตัว ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก”

 

 

เสิ่นเวยแทบจะร้องไห้จริงๆ เสียใจจนอย่างจะตบหน้าตัวเองสักสองฉาด ใครให้เจ้าปากไวใครให้เจ้าอวดตนหลงระเริง เห็นได้ชัดว่าอยู่เงียบๆ ก็ได้เงินก้อนโตแล้ว ตอนนี้ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น แต่ว่าได้ยินท่านปู่สัญญาว่าจะแบ่งเงินให้นางจึงโล่งอกเล็กน้อย

 

 

เสิ่นเวยเสียเงินก้อนใหญ่เช่นนี้ บทสนทนาภายหลังก็ไม่ค่อยมีกำลังวังชาแล้ว ท่านเสิ่นโหวทั้งโมโหทั้งตลก ตระกูลมีเด็กสาวที่มีความสามารถเช่นนี้ ทั้งยังเห็นแก่เงิน

 

 

“เงินสำคัญเพียงนั้นเลยหรือ” ท่านเสิ่นโหวถามอย่างอดไม่ได้

 

 

“แน่นอน” เสิ่นเวยตอบอย่างมั่นใจ “เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่หากไม่มีเงินก็ซื้อไม่ได้สักอย่าง ในสังคมนี้ จะทำอะไรก็ต้องใช้เงินเปิดทาง ไม่มีเงิน หลานจะแลกเสบียงสามหมื่นต้านมาให้ท่านได้อย่างไร”

 

 

ท่านเสิ่นโหวถูกขัดจนพูดไม่ออก

 

 

เสิ่นเวยเห็นท่าทางยอมแพ้เช่นนั้นของปู่นาง ในใจดีใจขึ้นมาเงียบๆ นางกลอกตากล่าว “ท่านปู่ รอสู้ศึกครั้งนี้เสร็จแล้วท่านก็ขอพระราชโองการกลับเมืองหลวงเถอะ ทำงานหนักมาทั้งชีวิตก็ควรจะเสวยสุขได้แล้ว” ยุคปัจจุบัน นายทหารอายุสี่สิบกว่าปีก็เกษียณแล้ว ปู่นางอายุเกินมานานแล้ว อายุปูนนี้แล้วยังสู้รบฆ่าฟัน ทำให้คนเป็นห่วงยิ่งนัก

 

 

ท่านเสิ่นโหวค่อนข้างประหลาดใจ “เหตุใดเล่า” เขาสู้รบมาทั้งชีวิต เคยคิดจะกลับเมืองหลวงไปเสวยสุขกับครอบครัว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อชนรุ่นหลังใจไม่สู้ ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาว รู้สึกเสียดาย “หากเจ้าเป็นผู้ชาย อาชีพนี้ของปู่ก็มอบให้ได้ แต่เจ้าดันเป็นเด็กผู้หญิง น้องชายเจ้าก็ยังเล็ก ปู่เองก็หมดหนทาง”

 

 

เหตุใดจักรพรรดิถึงให้ความสำคัญกับจวนจงอู่โหว ไม่ใช่เพราะว่าเขากุมกองทัพใหญ่แปดหมื่นนายของซีเจียงอยู่หรือ

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่สนใจ “ไม่ใช่ยังมีพี่ใหญ่หรอกหรือ อ้อจริงสิ พอได้ยินว่าท่านถูกธนูยิงหมดสติ ท่านลุงใหญ่ก็ไปขอร้องต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิ อยากมาเยี่ยมที่ซีเจียง สุดท้ายจักรพรรดิก็เมตตา จัดทหารรักษาพระองค์ห้าร้อยนายเดินทางมาพร้อมพี่ใหญ่ อืม ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันยังมีญาติผู้พี่ของข้า ทำไมน่ะหรือ เป็นข้าที่เสนอเอง คิดว่าลูกผู้พี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว ถือโอกาสนี้สร้างคุณูปการทางทหาร ไต่เต้าตำแหน่งขุนนางเพื่อที่จะได้แต่งภรรยาอย่างไรเล่า…

 

 

…ท่านปู่เองก็ไม่อาจเป็นห่วงชนรุ่นหลังไปทั้งชีวิตได้จริงหรือไม่ ข้าว่าเป็นเพราะท่านเก่งเกินไป พ่อข้าติดตามท่านลุงและคนอื่นๆ ถึงได้อ่อนแอเพียงนั้น หากท่านวางมือแต่เนิ่นๆ บีบบังคับให้พวกเขาจำใจต้องพัฒนา ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะรับหน้าที่เพียงคนเดียวได้แล้ว ท่านเองก็บอกว่าหลานมีความสามารถ แต่ความสามารถนี้ของข้าก็ถูกบีบบังคับออกมาเช่นกัน ไม่มีท่านแม่ ท่านพ่อพึ่งไม่ได้ ยังมีน้องชายที่ต้องดูแล หากข้าไม่พยายามก็มีชีวิตต่อไปไม่ได้ มนุษย์น่ะ ต้องอับจนหนทางจึงจะระเบิดความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดออกมาได้” เสิ่นเวยถอนหายใจ

 

 

จากนั้นเสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “ถือโอกาสที่พี่ใหญ่มาเมืองชายแดน ท่านก็สั่งสอนเขาให้ดี ให้เขาสั่งสมประสบการณ์อยู่ที่นี่ เมืองชายแดนซีเจียงนี้ล้วนแต่เป็นคนสนิทของท่าน จะไม่ดูแลพี่ใหญ่ได้อย่างไร พี่ใหญ่อายุสิบแปดปีแล้ว ในเมื่อท่านลุงใหญ่มีความสามารถไม่พอ เช่นนั้นก็ต้องเป็นเขามาแทน ใครให้เขาเป็นลูกของท่านลุงใหญ่เล่า อย่าบอกว่าไม่ได้ โยนเขาเข้าไปในกองทัพซีเหลียงก็ได้แล้ว ท่านปู่ต้องตัดใจจึงจะทำได้!”

 

 

ท่านเสิ่นโหวคล้ายกำลังครุ่นคิด เสิ่นเวยเห็นท่าทีแล้วจึงลุกขึ้นยืน หาวหนึ่งคราเตรียมตัวจะเดินออกไป “ท่านปู่ลองคิดดีๆ หลานขอตัวก่อน โอ๊ย เอวข้า เหตุใดถึงปวดเช่นนี้ ท่านอาอันฉง ห้องข้าอยู่ไหน ข้าง่วงแล้ว” เสิ่นเวยยืดเอว ท่าทางอ่อนเพลียอย่างถึงที่สุด

 

 

ห้องอภิปรายงานบนเขาเอ้อร์หลงกลับสว่างจ้าราวกับกลางวัน โจรหนึ่งกลุ่มกำลังรวมหัวกันดื่มสุราสังสรรค์ บรรยากาศครึกครื้นมากเป็นพิเศษ

 

 

คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือหัวหน้าใหญ่เขาเอ้อร์หลง ท่าทางประมาณสี่สิบกว่าปี กำยำล่ำสัน หน้าตาดุร้ายอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาโอบสาวงามมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือจอกสุรา “ดื่ม สหายพี่น้องดื่ม! สุขใจนัก! ครั้งนี้พวกเราแลกเงินมาได้ไม่น้อย ฮ่าๆ ดื่ม!” เขาแหงนหน้าหัวเราะร่า สุราหนึ่งจอกก็ถูกเขากรอกลงไปในคอ

 

 

ในห้องโถงใหญ่มีเสียงร้องยินดีดังขึ้นทันที

 

 

“สมกับที่เป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา คอแข็งจริงๆ ใจป้ำยิ่งนัก” หัวหน้าสี่ฝั่งขวาข้างล่างชูนิ้วหัวแม่มือชื่นชม

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ พี่ใหญ่พวกเราเป็นใคร เป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่ห้าวหาญเก่งกาจ! ทั่วทั้งร้อยลี้ใครบ้างไม่เคยได้ยินชื่อเสียงบารมีพี่ใหญ่ของพวกเรา มีเพียงหลี่ชังเซิ่งคนโง่ผู้นั้นที่ไม่รู้จักเจียมตัวอยากจะสู้กับพี่ใหญ่ ไม่ดูเลยว่าพวกเราเห็นด้วยหรือไม่” คนที่ประจบสอพลอผู้นี้คือหัวหน้าสาม

 

 

หัวหน้าใหญ่ตาลุกวาว ยกมือกล่าว “เอ๋ เหล่าซานเจ้าอย่าพูดเช่นนี้ เหล่าเอ้อร์เองก็เป็นพี่น้องพวกเรา ระหว่างพี่น้องต้องมีไมตรีจิตต่อกัน เหล่าเอ้อร์ดื้อรั้นเล็กน้อย พี่ใหญ่เช่นข้าจะพูดอะไรกับเขาได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขาอยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” ท่าทางเขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง

 

 

“พี่ใหญ่ของเราใจกว้าง เหล่าจางของคารวะ! มา พี่ใหญ่ น้องขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” นี่คือหัวหน้าเจ็ด ไว้หนวดเครา

 

 

คนที่เหลือก็พากันลุกขึ้นชนแก้ว ทุกคนหัวเราะร่าฮ่าๆ ผลประโยชน์อยู่ตรงหน้าไม่อาจปฏิเสธ กำจัดความทุกข์ในใจไป เขาย่อมอารมณ์ดีอย่างมาก

 

 

หลี่ชังเซิ่งเอ๋ยหลี่ชังเซิ่ง เจ้าคิดจะมาสู้กับข้างั้นหรือ เป็นอย่างไร กลายเป็นผีเร่ร่อนไปแล้วกระมัง

 

 

แต่ไหนแต่ไรหัวหน้าใหญ่เขาเอ้อร์หลงกับรองหัวหน้าไม่ถูกกัน เหตุผลน่ะหรือ รองหัวหน้าหลี่ชังเซิ่งไม่ใช่คนในท้องที่ เขาพาคนมาขอที่พึ่ง ทักษะการต่อสู้ของเขาดีกว่าหัวหน้าใหญ่ แน่นอนว่าไม่ค่อยเห็นหัวหน้าใหญ่อยู่ในสายตา

 

 

ครั้งนี้หัวหน้าใหญ่ส่งรองหัวหน้าออกไปสืบข่าวราชสำนักขนส่งเสบียง อันที่จริงก็ตั้งใจจะฆ่าปิดปาก คนส่งข่าวที่เฝ้าดู บอกว่ากลุ่มของรองหัวหน้าตายหมดแล้ว หัวหน้าใหญ่กวาดล้างกำลังคนของรองหัวหน้าบนเขาทันที จึงเกิดงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้ขึ้น

 

 

เจิ้งป้าเทียนผู้นำบนเขาเช่นเขาจะยอมให้มีคนที่ไม่เชื่อฟังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้อย่างไร บังอาจไม่เชื่อฟัง ฆ่าเขาไม่ได้หรอก!

 

 

คนหนึ่งกลุ่มดื่มสุราจนเมามาย หัวหน้าใหญ่ลุกขึ้นอยากกลับห้องไปนอน แต่หญิงงามที่เขาโอบอยู่ไหนเลยจะรับน้ำหนักเขาไหว คนทั้งสองแทบจะสะดุดล้ม ยังคงเป็นหัวหน้าสามที่ประคองเขาไว้

 

 

หัวหน้าใหญ่ลูบหน้าอกหญิงผู้นั้นหนึ่งครา หลังจากนั้นจึงกล่าวกับหัวหน้าสาม “ต้อนรับแขกฝั่งตะวันตกเรียบร้อยแล้วหรือ”

 

 

หัวหน้าสามพยักหน้า “วางใจเถิด พี่ใหญ่ ทั้งหมดทำตามคำสั่งของท่าน ข้าจัดการด้วยตัวเอง” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อย “พี่ใหญ่ นั่นคือคนซีเหลียง พวกเราเป็นคนต้ายง เก็บพวกเขาไว้จะ…?” คำพูดที่พูดไม่จบมีเจตนาอย่างไรต่างฝ่ายต่างรู้ดี

 

 

ทว่าหัวหน้าใหญ่กลับโบกมือ “ใครจะสนว่าเขาเป็นคนซีเหลียงหรือคนต้ายง ผู้ใดให้เงินข้าผู้นั้นก็คือคนของของข้า” พูดจบ เขาก็หัวเราะร่าโอบหญิงสาวเดินออกไปนอกประตู

 

 

ไหนเลยจะรู้ว่าบทสนทนาของกลุ่มโจรในคืนนี้ต่างก็อยู่ในหูของทหารลับที่มาสืบข่าวแล้ว เสิ่นเวยได้รับรายงานก็ตกใจ มิน่าเล่าถึงหาทหารเดนตายซีเหลียงที่เผายุ้งข้าวผู้นั้นไม่เจอ พวกเขาซ่อนไว้ในเขา

 

 

เอ้อร์หลงนี่เอง

 

 

สมคบคิดกับศัตรูขายชาติ! สมควรตาย! สมควรตายทั้งหมด! เสิ่นเวยกำหมัดแน่น ดวงตาปรากฎเจตนาสังหาร!