บทที่ 87 สสารต้นกำเนิดสายฟ้า
วันแห่งความสุขของซูเฉินและกู่ชิงลั่วมาถึงในที่สุด
ในวันนั้น มีแขกเข้าออกคฤหาสน์ตระกูลกู่ไม่ขาด พวกเขาพากันมาแสดงความยินดี คฤหาสน์ตระกูลกู่จึงยุ่งวุ่นวายด้วยเหตุดีเช่นนี้
เพราะเป็นพิธีหมั้นและยังไม่ใช่งานแต่ง บรรยากาศจึงยุ่งวุ่นวายแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นพิธีการมาก รื่นเริงแต่ไม่ได้ดีใจล้นพ้น หากเทียบกับงานแต่งจริง ๆ บรรยากาศตอนนี้จะเบาสบายกว่านัก
จุดประสงค์หลักของพิธีหมั้นก็คือการแนะนำลูกเขยหรือสะใภ้ให้กับมิตรสหายและครอบครัวทั้งสองฝั่ง ยิ่งตระกูลสายเลือดชั้นสูงใหญ่เพียงไหนก็ยิ่งมีสหายมีครอบครัวมาก หมายความว่าจะจัดงานย่อมต้องเตรียมการ
ซูเฉินเป็นเจ้าของกิจการการให้บริการและเครือข่ายเรือเหาะเมืองกลืนธารา ดังนั้นจึงรู้สึกคนสำคัญในเมืองบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ทุกคน ไม่ว่าเขาจะปราดเปรื่องเพียงไหนก็ไม่อาจจำได้หมดทุกคน
ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงถูกกู่เซวียนเหมี่ยนลากไปทักทายผู้คนตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น
คนแรกที่พบคือบรรพชนตระกูลกู่ กู่เหยาเยี่ย
หลังการต่อสู้กับราชันอสูรกาย กู่เหยาเยี่ยและคนอื่น ๆ เอาชนะมันไปได้ด้วยกำลังเสริมจากคนด่านผลาญจิตวิญญาณอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงกลับมาพักผ่อนทันที ดังนั้นนี่จึงเป็นการพบหน้าครั้งแรกหลังจากการต่อสู้
ในสวนหลังคฤหาสน์ตระกูลกู่มีห้องหินที่โดดเดี่ยวตั้งอยู่ ดูธรรมดา ทว่ามองดี ๆ จะเห็นว่าเป็นหินบุปผาน้ำแข็งที่ขุดจากภูเขานภาเหนือ หินบุปผาน้ำแข็งให้ผลในการเสริมสมาธิ คนส่วนมากใช้ก้อนเดียวก็ทำให้มีสมาธิได้ หรือก็มันมีประโยชน์ต่อคนที่ฝึกพลังจิตนั่นเอง
ซูเฉินรู้ว่าหากเขาถึงด่านผลาญจิตวิญญาณก็ต้องฝึกพลังจิตเป็นพื้นฐาน หาไม่แล้วพลังจิต 400 หน่วยของเขาอาจนับว่าน่าดูชมในหมู่ด่านสู่พิสดาร แต่ก็ไม่มากหากเทียบกับด่านผลาญจิตวิญญาณ
หินบุปผาน้ำแข็งนั้นหายาก และภูเขานภาเหนือไม่ได้อยู่ในอาณาเขตอาณาจักรหลงซาง ดังนั้นจึงมีราคาสูง คนส่วนมากได้มาก้อนขนาดหนึ่งว่ายากแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ากู่เหยาเยี่ยจะหาหินบุปผาน้ำแข็งมามากพอจะสร้างเป็นห้องบ่มเพาะพลังส่วนตัวได้
ซูเฉินรู้สึกว่าหินบุปผาน้ำแข็งนี่อาจไม่ใช่กู่เหยาเยี่ยหามาคนเดียว แต่เป็นคนอื่น ๆ ในตระกูลกู่ช่วยด้วย
นี่คือประโยชน์ข้อหนึ่งของการอยู่ตระกูลใหญ่
พวกเขาอาจไม่สามารถหยิบหินพลังต้นกำเนิดนับหลายร้อยล้านมาได้เลย แต่หากเป็นสมบัติล้ำค่าก็อาจไม่ยากนัก
“อะไรกัน ? ห้องสงบใจของบรรพชนต้องตาเจ้าหรือ ?” ประตูห้องหินบุปผาน้ำแข็งเปิดออก เผยให้เห็นกู่เหยาเยี่ยที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในราวกับรูปปั้นที่แกะมาจากหินบุปผาน้ำแข็งเช่นกัน กู่เหยาเยี่ยอยู่ภายในห้อง แต่กลับรู้ว่าซูเฉินสนใจสิ่งใด ชี้ให้เห็นว่าเขามีพลังจิตกล้าแข็ง
“ซูเฉินเคารพบรรพชน เดิมทีข้าสงสัยว่าของขวัญพบหน้าบรรพชนของข้าจะเป็นอะไร ตอนนี้ดูท่าจะไม่ยากแล้ว ขอหินสักก้อนสองก้อนจากห้องนี้เป็นพอ” ซูเฉินตอบยิ้ม ๆ ดูไม่กังวลใจที่จู่ ๆ ก็เห็นบรรพชนเลย
กู่เหยาเยี่ยเอ่ยพร้อมยิ้มบาง “พบกันแล้วก็ถามถึงของขวัญพบหน้าเลยหรือ ? เหมือนไม่ใช่คนที่โปรยเงินไปทั่วเมื่อก่อนหน้าคนนั้นเลยนะ”
ซูเฉินตอบตามตรง “เรื่องนั้นจำเป็นต้องลงทุน วันนี้อาจเป็นวันดีที่ได้จะได้เก็บกำไรจากการลงทุนแล้ว”
กู่เหยาเยี่ยหัวเราะเสียงดัง “เอาล่ะเจ้าหนู ! ดูท่าเจ้าจะไม่เสแสร้งอีกต่อไปแล้ว !”
ซูเฉินตอบ “ต่อหน้าบรรพชน ใครยังกล้าเสแสร้งไหว ?”
กู่เหยาเยี่ยส่งเสียงฮึ่ม “แต่เปิดปากเมื่อไหร่กลับกล้าขอของเลยนะ”
ซูเฉินยิ้มไม่ตอบคำ
กู่เหยาเยี่ยนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กลัว แต่ก็ไม่โกรธ กลับหัวเราะขึ้น “เจ้าหนู เจ้านี่ไม่เหมือนใคร ความกล้าหาญของเจ้ายามสัตว์อสูรบุกเมืองไม่เพียงช่วยพวกเรา แต่ช่วยชีวิตชาวบ้านไว้ด้วย หากจำไม่ผิดก็กระทั่งยอมสละเรือเคลื่อนเมฆาด้วย ถูกต้องหรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบ “มันสร้างมาจากจักรพรรดิอสูรกาย ราคาสูงพอสมควร”
กู่เหยาเยี่ยส่ายหน้าจนใจ โยนมุกเม็ดหนึ่งให้ซูเฉิน “นี่คือผลึกต้นกำเนิดสายฟ้า กลั่นจากแก่นภายในของราชันอสูรกายสายฟ้านั่น แม้จะเทียบเรือเหาะจักรพรรดิอสูรกายไม่ได้เพราะมันมาจากราชันอสูรกาย แต่ก็เหนือกว่าตรงที่พลังสายฟ้าภายในยังอยู่ครบถ้วนดี แต่เรือเหาะจองเจ้านั้นเสียหายจากการใช้มานาน เท่านี้ก็คงพอแทนเรือเหาะจักรพรรดิอสูรกายได้”
ซูเฉินรับมาแล้วมองสังเกต
เกือบทุกคนจะเห็นว่ามุกเม็ดนั้นมีลูกบอลสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะอยู่ แค่ถือก็สัมผัสได้ถึงพลังภายใน
หากแต่เนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉินนั้นเห็นว่าภายในเต็มไปด้วยสสารต้นกำเนิดสายฟ้าที่สามารถดูดซับได้
ซูเฉินเคยเห็นผลึกแก้วต้นกำเนิดมามาก แม้ทุกก้อนจะเต็มไปด้วยสสารต้นกำเนิด แต่ก็ไม่เคยเห็นที่เข้มข้นเช่นนี้ ดังนั้นเวลานำมาใช้จึงยากอยู่เสมอ
ไม่คิดเลยว่าผลึกต้นกำเนิดของราชันอสูรกายจะมีสสารต้นกำเนิดสายฟ้าอยู่มาก
สังเกตไปเรื่อย ๆ แล้วสายตาซูเฉินยิ่งเป็นประกาย
เมื่อสสารต้นกำเนิดสายฟ้าเข้มข้นมากพอ การนำมาใช้ก็จะง่ายขึ้นมาก
ก็เหมือนกับความต่างระหว่างหินธรรมดากับแร่เหล็ก อย่างแรกก็นำมาทำเป็นเหล็กได้หากใช้แรงและเวลา แต่ไม่มีใครทำ
ซูเฉินไม่เคยมีผลึกต้นกำเนิดระดับราชันอสูรกายมาก่อน ดังนั้นได้เห็นพลังภายในของมันจึงตกใจ
ในสายตาเขาคงไม่มีอะไรที่สามารถนำมาใช้งานได้ดีไปกว่านี้แล้ว ส่วนเรือเคลื่อนเมฆาเขาซื้อใหม่ได้ แม้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากจะดีมาก แต่ก็หาใหม่ได้ไม่ยาก แต่ของธรรมชาติลึกลับอย่างสสารต้นกำเนิดมีประโยชน์กับเขามากกว่า อย่างแรกเป็นแค่ต้นไม้ แต่อย่างหลังเป็นเมล็ด เมื่ออยู่ในมือซูเฉินย่อมเติบใหญ่กลายเป็นป่ากว้าง
มีสสารสายฟ้านี่แล้ว วิชาต้นกำเนิดทั้งหลายของซูเฉินก็จะได้รับการพัฒนาขึ้นมาก
ดังนั้นเมื่อเขาได้ผลึกสายฟ้าจึงดีใจเป็นล้นพ้น “ขอบพระคุณบรรพชนที่เมตตา !”
กู่เหยาเยี่ยหัวเราะ “แม้ผลึกสายฟ้าจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่มีพลังไร้ขีดจำกัด ให้ค้นไม้ไร้รากเช่นนี้กับคนอื่นคงเสียเปล่า แต่ให้มันอยู่ในมือเจ้าย่อมกลายเป็นของมีราคา”
ได้ยินแล้ว ซูเฉินก็รู้ว่าตระกูลกู่สืบเรื่องเขามาดี กู่เหยาเยี่ยรู้กระทั่งว่าเขากับฉือไคฮวงคือคนที่สร้างวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดขึ้นมา
ซูเฉินไม่ปฏิเสธธและว่าต่อ “ในเมื่อบรรพชนว่าเช่นนั้น หากต่อไปได้พวกมันมาอีกก็คงดียิ่ง”
กู่เหยาเยี่ยฮึ่มฮั่มร้องขึ้น “ฝันไปเถอะ ! เจ้าก็เห็นแล้วว่ารับมือกับราชันอสูรกายยากเพียงไหน ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะสังหารอีกตัวได้ ? แล้วข้าจะไปหามาให้เจ้าอีกได้ที่ไหน ? พอใจกับสิ่งที่มีเถอะ”
“ตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่มานาน ไม่สมควรมีเก็บไว้บ้างหรือ ?” ซูเฉินหนังหน้าหนานัก เขาหัวเราะแล้วว่าต่อ “อย่างไรข้าก็ไม่ได้ขอมากมาย หากได้มาทำการทดลองสักหน่อยก็พอ”
“อ้อ ?” กู่เหยาเยี่ยดูสนใจ “เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร ?”
“ของที่เกี่ยวกับไฟ” ซูเฉินตอบไม่ลังเล
วิชาที่แกร่งที่สุดของเขาในปัจจุบันคือวิชาตระกูลเพลิงเงา แต่พลังของมันไม่เคยใช้สสารต้นกำเนิดประเภทไฟมาก่อนเพราะเขาหามาใช้ไม่ได้เลย สองสาเหตุที่มันทรงพลังได้เป็นเพรา ข้อแรก เขาพัฒนามันมากว่ายี่สิบปี จนมันกลายเป็นวิชาที่เขาคล่องมือที่สุด และข้อสองเป็นเพราะสสารเงา
หรือก็คือ วิชาตระกูลเพลิงเงาเป็นวิชาไฟที่ต้องใช้แบบอ้อม ๆ ยังต้องพัฒนากันอีกมาก
ซึ่งก็จะจบลงหากซูเฉินได้สสารต้นกำเนิดไฟมา
ซูเฉินหามันมาตลอดแต่ไม่เคยได้มา หินสีดำพวกนั้นให้สสารต้นกำเนิดเงา ปลามังกร และสสารราคะเสน่ห์ แต่ไร้สสารต้นกำเนิดไฟ ซึ่งเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้า อย่างน้อย ๆ หากไม่ลองถามก็น่าเสียดาย
ซูเฉินเองเพียงลองเสี่ยงดวง ทว่ากู่เหยาเยี่ยกลับตอบ “เจ้าว่าไฟหรือ ? รู้สึกจะมีของราว ๆ นั้นอยู่พอดี”