ภาคที่ 4 บทที่ 86 รอบรู้

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 86 รอบรู้

“ตระกูลกู่ก็รู้ความสัมพันธ์ของเรา และก็ยอมรับเงียบ ๆ งั้นหรือ ?” ซูเฉินว่าพลางใช้ศีรษะหนุนตักกู่ชิงลั่ว

“ใช่แล้ว !” กู่ชิงลั่วหัวเราะคิก “เจ้านี่โชคดี พอเผ่าสัตว์อสูรเข้าโจมตีก็แก้ปัญหาได้หมดเลย หากอสรพิษสายฟ้ามาเร็วกว่านี้สักครึ่งปี เจ้าอาจไม่มีโอกาสอวดพลังเช่นนี้ก็ได้”

“อ้อ เช่นนั้นข้าจะยอมทิ้งทุกอย่างแล้วพาเจ้าหนีไปเสียให้ไกล ๆ ข้าเชื่อว่าถึงตอนนั้นตระกูลกู่คงไม่มีแรงเหลือมาหยุดเราหรอก”

กู่ชิงลั่วกลอกตาแล้วฟาดเขา แต่ก็เห็นเขาเหมือนเหม่อไปและดูไม่อยากคุย

“ทำไมเจ้าดูไม่ดีใจเล่า ?” นางถาม

“ข้าต้องดีใจสิ” ซูเฉินฝืนยิ้มออกมา

เขาจะมีความสุขได้อย่างไร ?

เรื่องจูเซียนเหยายังแก้ไม่ได้เลย

เขาใช้กำลังแรงกายไปมากเพื่อจัดการกับเรื่องฝั่งตระกูลกู่ แต่ยังไม่ได้จัดการเรื่องจูเซียนเหยา

ซูเฉินไม่รู้ว่าหากพูดเรื่องจูเซียนเหยาตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฝุ่นยังตลบ รอก่อนน่าจะดี เขาคิดเช่นนั้น

ชายหนุ่มรู้ว่าตนเองเห็นแก่ตัวไปสักนิด ไม่ยุติธรรมต่อกู่ชิงลั่ว แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยมือจากทั้งกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยา ดังนั้นเขาจึงได้แต่รับมือเช่นนี้

เช่นนี้ก็เรียกว่าไม่ยอมแพ้ได้หรือไม่ ?

เวรเอ๊ย !

ซูเฉินสบถด่าตนเอง

ปัญหาใหญ่ไม่นับ แต่เขาก็ยังนับว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่ดี

รู้สึกสับสนนัก

ข้างหนึ่งเขาเป็นพ่อพระที่รับผิดชอบพัฒนาความเป็นอยู่ของชีวิตคนนับหมื่น อีกข้างหนึ่งเขาเองก็เป็นคนเห็นแก่ตัว

แต่เช่นนี้ก็คือธรรมชาติมนุษย์ไม่ใช่หรือไร ?

แท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ขัดกัน เพียงแต่อยู่ควบร่วมกันมาระหว่างศีลธรรมและสันดานมนุษย์

ช่วยชีวิตคนนับหมื่นเป็นเรื่องของศีลธรรม เป็นพื้นฐานการเป็นมนุษย์ การทำเพื่อผลประโยชน์ตนนั้นเป็นสัญชาตญาณ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต

ในเมื่อสองอย่างอยู่คู่กันมาเช่นนี้ จึงทำให้ดูเหมือนว่ามันต่อสู้ขัดกัน

อ้อ แล้วจะมาคิดอะไรให้ได้ตอนนี้เล่า ?

มีเรื่องน่ายินดีขนาดนี้ จะหมองหม่นไปไย

เขาลืมตามองกู่ชิงลั่ว “เช่นนั้นอีกไม่กี่วัน เราก็จะหมั้นกันอย่างเป็นทางการแล้วหรือ ?”

“อะไร ? เจ้าไม่ดีใจหรือ ?” กู่ชิงลั่วถาม

“เปล่า ข้าแค่อยากได้ประโยชน์จากการได้เป็นคู่หมั้นน่ะซี” ซูเฉินหัวเราะ

“ประโยชน์อะไร ?” กู่ชิงลั่วถามมึน ๆ

เวลานางทำบื้อเช่นนั้น ทำให้เขานึกถึงเยี่ยเม่ยขึ้นมา

ซูเฉินทำปากจู๋

กู่ชิงลั่วเข้าใจ พลันส่งสายตาดุร้ายใส่เขา

ซูเฉินอดได้จูบที่ตั้งตารอจึงผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับไม่ตื้อนางอย่างผิดนิสัย

ทั้งหมดเป็นเพราะเรื่องจูเซียนเหยาที่กระทบอารมณ์เขา

กู่ชิงลั่วไม่รู้เรื่อง เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับเขาไม่พอใจ นางคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงมาจูบเขาแผ่วเบา

จูบนั้นทั้งรวดเร็วทั้งแผ่วเบา ซูเฉินยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ กู่ชิงลั่วหน้าแดงฉ่า “พอใจหรือยัง ?”

“แตะแค่นิดเดียวไม่พอหรอก” ซูเฉินว่า

“เช่นนั้นต้องการอะไร ?” กู่ชิงลั่ว

“ล้ำลึกกว่านี้……” ซูเฉินพูดเบา ๆ เงาร่างจูเซียนเหยาในใจค่อย ๆ จางลงยามผ่อนคลาย น้ำเสียงยามเอ่ยคำยังติดความสัปดนไปด้วย

“อ้อ ล้ำลึกกว่านั้นหรือ……” กู่ชิงลั่วหัวเราะคิก

ทันใดนั้น ซูเฉินก็รู้สึกเจ็บหน้าท้อง เขาพลันร้องลั่นขึ้น “โอ๊ย !”

แล้วลุกขึ้นนั่งทันที

กู่ชิงลั่วใช้ท่าดัชนีใส่ท้องเขา ทิ้งรอยช้ำสีม่วงขนาดใหญ่ไว้

กู่ชิงลั่วหัวเราะ “เป็นอย่างไร ? ล้ำลึกพอหรือไม่ ? อยากล้ำลึกมากกว่านี้ไหม ?”

“…… ไม่ต้องแล้ว” ซูเฉินหน้าคว่ำ กลิ้งตัวไปอีกฟากของเตียง เมินเฉยใส่นางเสีย

เห็นแล้วกู่ชิงลั่วจึงเอ่ยเสียงอ่อน “นี่ โกรธหรือ ?”

“ข้าเปล่า” ซูเฉินเอ่ยเสียงคร้าน

“แค่เสียงเจ้าก็รู้แล้วว่าโกรธ คนขี้ใจน้อยนี่ ข้าแค่หยอกเล่นเท่านั้น” กู่ชิงลั่วกระทุ้งเขา

ซูเฉินไม่สนใจ

กู่ชิงลั่วเขยิบเข้าใกล้เขาแต่ไม่ทันระวังตัว ถูกซูเฉินที่พลิกมากะทันหันกอดไว้

“อ๊ะ !” กู่ชิงลั่วร้อง

ซูเฉินโน้มหน้าเข้ามา “เจ้าไม่ให้ ข้ามาเอาเองก็ได้”

กู่ชิงลั่วพลันรู้สึกสติพร่ามัวกับจูบที่ลึกซึ้งนี้……

หลายวันต่อมา กู่ชิงลั่วกับซูเฉินก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นคู่รัก เป็นที่รู้จักไม่น้อย

นอกเหนือจากอุปสรรคสุดท้ายที่ยังไม่ถูกทำลายแล้ว ทุกอย่างที่เกิดก็เกิดหมดแล้ว

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหลงใหลได้ปลื้มกับความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว

ยามว่าง ซูเฉินยังคอยดูแลกิจการตนเอง แต่ไม่ได้สนใจพวกมันแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงกำลังส่งต่อกิจการให้ลูกน้องตระกูลกู่

ตระกูลสายเลือดชั้นสูงส่วนมากไม่ทำกิจการเอง หลายตระกูลอยู่มานานจึงมีลูกน้องตระกูลที่มีฝีมือมากมาย ทั้งยังมีลูกหลานรุ่นใหม่ที่ไว้ใจได้ หลังจากตัดสินใจเลือกทางเดินกิจการแล้ว คนเหล่านี้ก็จะรับช่วงต่อบังเหียนในการดูแลกิจการต่อไป

ส่วนพวกคนสำคัญในตระกูลนั้นมุ่งมั่นเรื่องการบ่มเพาะพลัง คนอื่น ๆ ก็ยังคงหลงอยู่ในความสุขของมนุษย์ปุถุชน

ซูเฉินก็เช่นกัน หลายวันมานี้ เขาส่งต่อกิจการให้ลูกน้อง เพื่อที่จะได้มีเวลาบ่มเพาะพลังและทำการค้นคว้ามากขึ้น

หลังจากการต่อสู้กับเผ่าสัตว์อสูร ซูเฉินก็พบว่าตนเองไม่เหมือนแต่ก่อน

กลิ่นอายเขาหนาแน่นขึ้น พลังในร่างไหลเวียนอิสระขึ้น ราวกับคอในการฝึกฝนขวดถูกทำลาย ทำให้พลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ไม่ต้องใช้เนตรมองโลกจุลภาคก็รู้ได้ว่าพื้นฐานพลังเขาเพิ่มขึ้น สัญชาตญาณในการต่อสู้ก็พัฒนา แต่ก่อนเขาใช้แผนยามต่อสู้ ตอนนี้เริ่มมีสัญชาตญาณบ้างแล้ว

เป็นสิ่งที่กู่เซวียนเหมี่ยนบอกเขายามประลองกัน

กู่เซวียนเหมี่ยนเป็นคนด่านสู่พิสดารเจ็ดแท่นบงกช แม้ซูเฉินจะแกร่งขนาดรับมือด่านสู่พิสดารได้แล้ว แต่ก็ยังรับมือได้แค่พวกอ่อนแอเท่านั้น

ดังนั้นยามประลองกับกู่เซวียนเหมี่ยน เขาจึงมีชะตากลายเป็นกระสอบทราย

กระนั้นกู่เซวียนเหมี่ยนก็ชมเขาไม่หยุด

ด่านสู่พิสดารเจ็ดแท่นบงกชคนใดได้เห็นเด็กหนุ่มด่านทะลวงลมปราณสามารถแลกกระบวนท่าได้สิบกว่ากระบวนท่ากับพวกเขาได้ก็คงชมเช่นนี้ ทั้งยังมีแรงมาโต้กลับอีกต่างหาก

ดังนั้นกู่เซวียนเหมี่ยนจึงแนะกลยุทธ์ยามต่อสู้ให้

ฉือไคฮวงเป็นอาจารย์ที่ดี แต่เขาสอนแค่วิธีจับปลา ไม่ได้มอบปลาให้

กู่เซวียนเหมี่ยนนั้นเรียบง่ายกว่า เขาไม่ได้มองไกลเท่าฉือไคฮวง ดังนั้นสิ่งที่สอนจึงเป็นวิชาการต่อสู้แบบตรงไปตรงมา ซึ่งไม่ช่วยเพิ่มความแกร่งแฝงของซูเฉิน แต่ก็ช่วยให้เขามีความสามารถยามสู้จริงมากขึ้น

และอาจเพราะเขามีรากฐานแข็งแกร่ง ความแกร่งของซูเฉินจึงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเพิ่มสูงขึ้น

เขายังเชี่ยวชาญการใช้วิชามากขึ้น ทั้งเรื่องพลังที่ปล่อยออกมาและการปรับใช้วิชาต่าง ๆ

ช่วงเวลาดี ๆ มักผ่านไปเร็วนัก พริบตาเดียวก็ผ่านไป 6 วันแล้ว

วันพรุ่งนี้คือวันแต่งงาน

ตระกูลกู่จึงอยู่ในอารมณ์รื่นเริง ทั่วทั้งพื้นที่ตกแต่งด้วยโคม แขกทั้งหลายพากันหลั่งไหล กระทั่งเมืองกลืนธาราทั้งเมืองยังมีอารมณ์เริงรื่น ข่าวที่ซูเฉินช่วยเมืองกลืนธาราระบือไปไกล ทุกคนที่รอดชีวิตมาได้รู้สึกติดค้างเขา

ทั้งเมืองจึงตื่นเต้นกับซูเฉินด้วย

แต่กลับไม่มีใครเห็นสายตาชั่วร้ายที่ส่งมาทางซูเฉินจากเงามืดเลย