เมื่อเห็นว่าเขากินมันลงไปแล้ว เธอก็นำช้อนกลับมาวางในชาม เอ่ยถามเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวังว่า “รสชาติเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“อร่อยมากครับ” เปปเปอร์กลืนโจ๊กลงไปแล้วพยักหน้า
มายมิ้นท์ยิ้มขึ้น “ดีจังค่ะ”
ไม่เสียแรงที่เธอพยายามต้มโจ๊กให้จนเหนียว ทั้งแช่ข้าว ทั้งหลังตุ๋นด้วยไฟอ่อนและคอยคนอยู่ตลอด
“ทานต่อนะคะ” มายมิ้นท์ใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมาอีกคำหนึ่งแล้วยื่นส่งไป
ทั้งสองคนทำแบบนี้ไปมา คนหนึ่งป้อน คนหนึ่งกิน ในไม่ช้าโจ๊กก็หมดถ้วย
มายมิ้นท์ลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “เอาอีกไหมคะ?”
“อิ่มแล้วครับ” เปปเปอร์ส่ายหน้า
มายมิ้นท์มองดูถ้วยในมือของตนแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “อะไรกันคะ แค่นี้ก็อิ่มแล้วเหรอ? คุณยังกินไปได้ไม่เท่าไหร่เลย”
อีกทั้งชามนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โต
เขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซนติเมตร เธอไม่เชื่อหรอกว่าโจ๊กเพียงชามเดียวจะทำให้เขาอิ่มได้
“ผมอิ่มแล้ว” เปปเปอร์รับน้ำที่พยาบาลส่งมาให้เพื่อกลั้วปากแล้วตอบกลับว่า “ตอนบ่ายที่คุณไม่อยู่ ผมได้รับน้ำเกลือมาขวดหนึ่ง น้ำเกลือนั้นทำให้รู้สึกอิ่มจนพะอืดพะอมอยู่นะครับ”
“อ๋ออย่างนี้เองเหรอคะ” มายมิ้นท์เงยหน้าขึ้นมองเขา “ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงไม่บังคับคุณแล้วล่ะค่ะ ที่เหลือฉันจะเอาไปใส่ตู้เย็นเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าคุณให้พยาบาลนำไปเวฟเป็นอาหารเช้าแล้วกันนะคะ”
“ครับ” เปปเปอร์ตอบรับ
มายมิ้นท์หยิบกล่องอาหารเก็บอุณหภูมิเดินไปทางห้องครัวเล็กๆ ภายในห้อง หลังจากที่เธอเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาอีกครั้ง
ภายในห้องเหลือเพียงแค่เปปเปอร์คนเดียว เธอมองซ้ายมองขวาแล้วจึงถามขึ้นว่า “พยาบาลไปไหนแล้วล่ะคะ?”
“ผมให้หล่อนเลิกงานแล้วล่ะครับ” เปปเปอร์ใช้มือข้างหนึ่งหยิบหนังสือขึ้นอ่านแล้วตอบกลับเธอ
มายมิ้นท์เดินตรงเข้าไปหาเขา “คุณให้หล่อนเลิกงานแล้ว? แล้วตอนกลางคืนคุณจะทำยังไงล่ะคะ?”
“ผมไม่ได้ขาพิการสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องให้คนมาคอยดูแลตอนกลางคืนทั้งคืน”
มายมิ้นท์พยักหน้า เธอเองก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดังนั้นจึงเช็ดไม้เช็ดมือแล้วเดินไปที่กระเป๋าของตนเอง
เปปเปอร์เห็นท่าทางของเธอดังนั้น แววตาเป็นประกายแวบเข้ามา “คุณจะไปแล้วเหรอ?”
“นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้วนะคะ ฉันควรจะกลับได้แล้ว”
มายมิ้นท์จัดแจงกระเป๋าของเธอแล้วตอบกลับ
เปปเปอร์วางหนังสือในมือลง “เดี๋ยวค่อยกลับไม่ได้เหรอครับ?”
“ทำไมล่ะคะ?” มายมิ้นท์มองไปทางเขาอย่างสงสัย
“อยากให้คุณอยู่คุยเป็นเพื่อนกับผมสักพักก่อน” เปปเปอร์สบตากับเธอ “ได้ไหม?”
มายมิ้นท์มองดูนาฬิกา หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดเธอก็พยักหน้าตอบตกลง “ก็ได้ค่ะ แต่ว่าก่อนสี่ทุ่มฉันจะต้องกลับแล้วนะคะ เพราะว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องเดินทางไปนอกเมืองอีก”
“ครับ” เปปเปอร์เผยอยิ้มขึ้น
มายมิ้นท์วางกระเป๋าลงแล้วกลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง
แม้เปปเปอร์จะบอกว่าต้องการให้เธออยู่เป็นเพื่อนสนทนากับเขา แต่ที่จริงแล้วดูเหมือนทั้งสองจะไม่ได้สนทนากัน
เพราะว่าระหว่างการสนทนานั้น เปปเปอร์ได้สอนมายมิ้นท์ในเรื่องของการทำธุรกิจต่างๆ อีกทั้งวิธีที่ดีที่สุดซึ่งใช้สำหรับการจัดการดูแลเทนเดอร์กรุ๊ป อนาคตของบริษัทและแนวทางที่จะพัฒนา อีกทั้งอุตสาหกรรมที่เหมาะกับการลงทุนของเทนเดอร์กรุ๊ปเป็นต้น
เดิมทีสิ่งเหล่านี้ในตอนแรกเปปเปอร์ตั้งใจว่าจะค่อยๆ สอนเธอ
แต่ตอนนี้ ตัวเขาอาจจะมีอายุอยู่ได้เพียงแค่สามปีเท่านั้น อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขาก็จะค่อยๆ อ่อนแอลงไปในที่สุด
ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาจะค่อยๆ สอนเธออีกต่อไป เขาทำได้เพียงสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เธอเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะหมดแรงลง
ในแวดวงธุรกิจนั้น เสมือนกับสถานที่กินคนโดยไม่เหลือแม้แต่กระดูก ตอนนี้เธอเพิ่งจะเข้าไปในแวดวงธุรกิจจึงยังไม่เคยพบเห็นกับกลอุบายต่างๆ มากมายว่ามันน่ากลัวสักเพียงใดและมืดมนแค่ไหน
หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าแวดวงนี้น่ากลัวเพียงใด เนื่องจากเขาจะคอยปกป้องเธอไม่ให้เธอถูกความมืดมิดของวงการธุรกิจเข้ามาทำร้าย
แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เขาจะมีชีวิตรอดต่อไปนั้นน้อยเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะปกป้องเธอได้ตลอดไป ทำได้เพียงให้เธอแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากชีวิตในอนาคตต่อจากนี้เธอจะต้องเดินไปด้วยตนเอง
แม้มายมิ้นท์จะรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ เปปเปอร์สอนเรื่องราวเหล่านี้ให้แก่เธอ ดูเหมือนว่าเขากำลังสั่งเสียอะไรบางอย่าง
แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และตั้งใจฟังเขา เนื่องจากเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ของผู้อยู่ในวงการธุรกิจมาอย่างโชกโชน มันเป็นวิธีที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ได้ในแวดวงธุรกิจซึ่งยากที่จะหาได้ แน่นอนว่าเธอไม่อยากจะพลาดมัน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ดำเนินมาถึงเวลาห้าทุ่ม
มายมิ้นท์ลืมไปเลยว่าเธอเคยบอกเอาไว้จะกลับบ้านตอนสี่ทุ่ม เพราะว่าตัวเธอในตอนนี้นอนฟุบอยู่ข้างเตียงและผล็อยหลับไปเสียแล้ว
เปปเปอร์มองไปที่เธอและเรียกเบาๆ ว่า “มายมิ้นท์?”
ริมฝีปากของมายมิ้นท์ขยับเล็กน้อยแต่ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เนื่องจากเธอกำลังหลับสนิท
เมื่อมองดูใบหน้าที่หลับสนิทของเธอ เขาก็ไม่กล้าจะปลุกให้เธอตื่น
เขามองซ้ายมองขวาแล้วหันไปเห็นเสื้อคลุมที่แขวนอยู่บนชั้นข้างเตียงผู้ป่วย เปปเปอร์ดึงผ้าห่มบนร่างกายของตนออกแล้วยืดตัว ออกไปหยิบมันมาก่อนจะห่มไปที่หลังของมายมิ้นท์
หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ เขาสามารถใช้แขนได้เพียงข้างเดียวละก็ เขาคงจะอุ้มเธอขึ้นมาแล้วพาเธอไปยังห้องพยาบาลให้เธอพักผ่อนอยู่ข้างในอย่างเต็มที่
เมื่อมองดูแขนของตนที่หุ้มเฝือกอยู่ เปปเปอร์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
ทันใดนั้น ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกกะทันหัน
ผู้ช่วยเหมันตร์เดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกับเอกสารฉบับหนึ่งในมือ “ประธานเปปเปอร์ครับ ผม……”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกดวงตาอันเยือกเย็นของเปปเปอร์เข้ามาขัดจังหวะเอาไว้
ในตอนแรกผู้ช่วยเหมันตร์ก็ไม่รู้ว่าตนทำผิดอะไร แต่ดีที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็พบมายมิ้นท์นอนหลับอยู่ข้างเตียง จึงเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมประธานเปปเปอร์จึงมองตนด้วยสายตาเช่นนั้น
นั่นเป็นเพราะว่าการที่ตนเปิดประตูเข้ามาและเอ่ยขึ้นเมื่อสักครู่เกือบจะทำให้มายมิ้นท์ตื่น
“ขอโทษครับประธานเปปเปอร์ ผมไม่รู้ว่าคุณมายมิ้นท์อยู่ที่นี่” ผู้ช่วยเหมันตร์เดินย่องเข้ามาแล้วกระซิบตอบ
เปปเปอร์จึงละสายตามาจากเขาและอนุโลมให้ในครั้งนี้ “อุ้มเธอเข้าไปในห้องข้างใน นอนอยู่อย่างนี้เธอจะไม่สบายตัว”
“ผมอุ้ม?” ผู้ช่วยเหมันตร์ชี้มาที่ตนเอง คิดว่าเขาฟังอะไรผิดไปเสียอีก!
เปปเปอร์หรี่ตาลง “จะให้ผมอุ้มด้วยมือข้างเดียวหรือไง?”
เขาไม่อยากจะให้คนอื่นต้องแตะต้องมายมิ้นท์หรอก
แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
หากว่าเขาสามารถอุ้มเธอเองได้ จะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นเหรอ?
ผู้ช่วยเหมันตร์มองไปทางแขนด้านซ้ายของเปปเปอร์ที่เข้าเฝือกอยู่ เขาเองจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่วางเอกสารลงแล้วค่อยๆ อุ้มมายมิ้นท์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“เบาๆ หน่อย อย่าทำให้เธอตื่น” เปปเปอร์เอ่ยเตือน
ผู้ช่วยเหมันตร์พึมพำว่า “ผมก็เบามากแล้วนะ”
“หลังจากที่พาเธอเข้าไปข้างในแล้วก็ให้รีบออกมาเลย อย่ามัวอยู่ข้างใน” เปปเปอร์โบกไม้โบกมือเป็นความหมายว่าให้เขารีบพาเธอเข้าไปข้างในได้แล้ว
ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบรับแล้วอุ้มมายมิ้นท์เข้าไป ในห้องพยาบาล
เปปเปอร์หันศีรษะไปจ้องมองตามหลังเขา ราวกับกลัวว่าเขาจะทำอะไรมายมิ้นท์
ผู้ช่วยเหมันตร์รู้สึกอึดอัดใจทำตัวไม่ถูก แม้แต่หนังศีรษะของเขาก็รู้สึกชาไปหมด
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเขาวางมายมิ้นท์ลงบนเตียงแล้วก็ได้รีบออกไปทันที ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ
เปปเปอร์จึงได้มองเขาอย่างพึงพอใจ “ดึกขนาดนี้แล้วมีเรื่องอะไรหรือถึงได้เดินทางมา?”
เมื่อพูดถึงเรื่องการงาน ผู้ช่วยเหมันตร์จึงได้ละสายตากลับมาแล้วหยิบเอกสารขึ้น “คือเรื่องเป็นแบบนี้ครับ บรรดาสนามบินหลักเหล่านั้นส่งข่าวกลับมาแล้ว พวกเขาตรวจไม่พบข้อมูลการขึ้นเครื่องขององอาจและคนอื่นเลย
“ตรวจไม่พบอย่างงั้นเหรอ?” สีหน้าของเปปเปอร์ดูประหลาดใจ
“ใช่ครับ”
“เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะใช้เอกสารปลอม?” เปปเปอร์มองไปทางเขา
ผู้ช่วยเหมันตร์ส่ายหน้า “ตอนแรกผมก็เข้าใจว่าพวกองอาจจะใช้เอกสารปลอมในการขึ้นเครื่องบิน แต่ท้ายที่สุดแล้วการคาดเดานี้ก็ถูกผมปฏิเสธ เนื่องจากตอนนี้การใช้เอกสารปลอมเป็นไปได้สูงที่จะถูกจับได้ อีกอย่างราเม็งก็เป็นแฮกเกอร์ ตัวเขาเองคงจะตรวจเอกสารของทางสนามบินแล้ว หากว่าพวกองอาจใช้เอกสารปลอมในการขึ้นเครื่องบินล่ะก็ ทางด้านของราเม็งน่าจะไม่อยู่เฉย ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดนั่นก็คือ บรรดาองอาจไม่ได้ใช้เอกสารปลอมในการขึ้นเครื่อง พวกเขายังคงหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
เปปเปอร์เงยหน้าขึ้น “ผมจำได้ว่ามีเรือข้ามฟากที่เมืองเดอะซีใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้าตอบรับก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาพูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อว่า “ประธานเปปเปอร์ครับ คุณกำลังสงสัยว่าองอาจอาจจะหลบหนีออกจากประเทศทางเรืออย่างงั้นเหรอ?”
“หากว่าเขาต้องการจะออกไปนอกประเทศ การหลบหนีเช่นนี้ปลอดภัยที่สุดและเป็นวิธีที่ไม่ถูกจับได้ง่ายๆ ดังนั้นผมว่าการที่เขาจะลักลอบหลบหนีโดยเรือมีเปอร์เซ็นต์สูงมาก” เปปเปอร์หรี่ตาลงแล้วพูดขึ้น