“หากว่าเป็นแบบนี้พวกเราก็ช้าไปตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว ตอนนี้ดีไม่ดีองอาจอาจจะเดินทางไปถึงต่างประเทศแล้ว” ผู้ช่วยเหมันตร์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เปปเปอร์พยักหน้า “ใช่ หากว่าองอาจเดินทางไปถึงต่างประเทศแล้ว การที่จะตามตัวเขาจนพบก็เป็นเรื่องยากแล้วล่ะ”
เนื่องจากโลกนี้ช่างใหญ่โต ใครจะรู้เล่าว่าองอาจเดินทางไปที่ประเทศไหน
แม้ว่าเขาพอจะมีกำลังและอิทธิพลอยู่ที่ต่างประเทศบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เท่ากับภายในประเทศ หากว่าองอาจหลบซ่อนตัวขึ้นมา เขาก็คงไร้หนทางเหมือนกัน
“จะว่าไปก็ถูก” ผู้ช่วยเหมันตร์ถอนหายใจออก
เปปเปอร์ถูนิ้วของเขาไปมา “เอาแบบนี้นะครับ คุณบอกให้คนคอยจับตามองดูการเคลื่อนไหวของราเม็งต่อจากนี้อย่างเข้มงวด หากว่าราเม็งส่งคนออกไปจากเมืองหลวง นั่นอาจจะหมายความว่าเขาหาตัวองอาจพบแล้ว”
“ครับ ประทานเปปเปอร์” ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้าตอบรับ
เปปเปอร์มองดูเวลาแล้วพูดว่า “เอาล่ะคุณกลับไปก่อนเถอะพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์หันหลังเดินจากไป
หลังจากที่เขาออกไปได้ไม่นาน เปปเปอร์ก็เปิดผ้าห่มออกแล้วหยิบกระเป๋าของมายมิ้นท์เดินตรงเข้าไปในห้องพยาบาล
เมื่อเดินมาถึงที่หน้าประตู เปปเปอร์ก็ได้เปิดประตูเข้าไปเบาๆ
พบว่าไฟด้านในถูกปิดอยู่ เขาก็ไม่ได้เปิดมันออก ได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วใช้แสงจากโทรศัพท์มือถือค่อยๆ เดินเข้าไป
เปปเปอร์หยุดฝีเท้าของเขาลงที่ข้างเตียงมายมิ้นท์ แล้ววางกระเป๋าไว้ตรงหัวเตียง จากนั้นก็มองดูหญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำ ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
เขาไม่รู้ตัวว่ายืนอยู่นานเท่าไหร่ แต่มันนานเสียจนขาทั้งคู่ของเขาเริ่มชา เขาจึงเอนกายลงไปแล้วยกมุมผ้าห่มขึ้น นอนลงข้างกายของมายมิ้นท์ ยื่นแขนออกไปโอบเธอเอาไว้แล้วหลับตาลง ก่อนจะผล็อยหลับไปเช่นกัน
ต่อมาวันที่สองในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสาง เปปเปอร์ก็ลืมตาตื่นขึ้น
เขาเอนศีรษะมองดูผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด แววตาของเขาดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นสัมผัสไปที่ผมของเธอก่อนจะนำมือเธอซึ่งตอนนี้วางอยู่ตรงเอวเขา ยกขึ้นช้าๆ แล้วเปิดผ้าห่มย่องลงจากเตียง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้นอย่างเบาที่สุด
ตั้งแต่แรกทุกกระบวนท่า เขาไม่ได้ส่งเสียงใดออกมาเลย แม้กระทั่งเสียงฝีเท้า ราวกับว่าเขาไม่เคยเข้ามาห้องนี้
สองชั่วโมงต่อมา มายมิ้นท์ก็ตื่นขึ้น เธอถูกปลุกด้วยเสียงจากโทรศัพท์
เธอขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกจากผ้าห่มข้างหนึ่งเพื่อคลำดูโทรศัพท์บนหัวเตียงด้วยความเคยชิน
ปรากฏว่าเธอคลำไม่พบโทรศัพท์ อีกทั้งยังทำให้กระเป๋าตกลงไปด้านล่าง
เมื่อกระเป๋าตกลงสู่พื้นก็ได้เกิดเสียงดังโครมครามขึ้น
มายมิ้นท์ตกใจกับเสียงนั้นและตื่นขึ้นทันที
เธอลืมตาลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปยังห้องที่ไม่คุ้นเคย สมองของเธอก็พบกับความตกตะลึง
ที่นี่ที่ไหน?
เธอไม่มีเวลาไปคิดมาก เนื่องจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋านั้นยังคงส่งเสียงดังไม่หยุดเพื่อเตือนให้เธอรับสาย
มายมิ้นท์รีบสลัดผ้าห่มออกและเดินเท้าเปล่าไปบนพรม เธอก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วค้นหาโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว
สายนั้นเป็นสายจากลาเต้ มายมิ้นท์รีบรับสายแล้วพูด “ฮัลโหลลาเต้”
“ที่รัก คุณอยู่ที่ไหน ไม่อยู่บ้านเหรอ?” น้ำเสียงของลาเต้ที่ดังผ่านโทรศัพท์มือถือนั้นดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
มายมิ้นท์เอามือขึ้นขยี้ผมของเธอ “ขอโทษค่ะลาเต้ฉันไม่อยู่”
“คุณไม่อยู่บ้านจริงด้วย!” ลาเต้ยืนอยู่หน้าคอนโดของมายมิ้นท์แล้วขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย “เช้าตรู่แบบนี้คุณไปไหนเนี่ย ลืมแล้วหรือไงว่าวันนี้พวกเราจะเดินทางไปที่ชนบทกัน?”
“ฉันไม่ได้ลืม ว่าแต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“อะไรนะ คุณไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน?” ลาเต้กระตุกริมฝีปากเล็กน้อย
มายมิ้นท์ตอบรับคำว่า “อืม” อยู่ในลำคอแล้วหันไปมองซ้ายมองขวา
ห้องนั้นไม่ได้ใหญ่มาก มันเล็กกว่าห้องของเธอมากทีเดียว แต่ดูเหมือนเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างจะครบครัน เห็นได้ว่าราคาคงไม่ธรรมดา ไม่ใช่ห้องทั่วไปแน่นอน
ว่าแต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วครุ่นคิด สมองของเธอคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าตัวเธอมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง?
แต่เธอพอจะจำได้ถึงเรื่องที่เปปเปอร์แบ่งปันประสบการณ์ในวงการธุรกิจให้แก่เธอฟังเมื่อคืนนี้
ฟังไปฟังมา……
มายมิ้นท์เบิกตากว้างดูเหมือนจะนึกอะไรได้ ก่อนจะรีบเดินไปที่ประตูห้อง “ลาเต้ รอฉันสักครู่นะคะ ฉันขอลองดูตรวจสอบดูก่อน”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินตรงไปที่ประตูแล้วเปิดมันออก
วินาทีที่ประตูถูกเปิดออก ห้องผู้ป่วยอันคุ้นเคยและบุคคลที่คุ้นตาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ เธอจึงได้ตระหนักว่าเธอเดาถูกแล้ว
เธออยู่ในห้องพยาบาลของเปปเปอร์จริงๆ
อีกทั้งเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากที่เธอ ฟังประสบการณ์ซึ่งเปปเปอร์แบ่งปันให้แล้วนั้น เธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
มันเป็นเพราะว่าเธอนอนหลับไปแล้วนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ เปปเปอร์คงจะให้ใครช่วยพาเธอไปนอนในห้องพยาบาล
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มายมิ้นท์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความตึงเครียดภายในใจของเธอเกี่ยวกับเรื่องสภาพแวดล้อมอันไม่คุ้นชินก็ค่อยๆ จางหายไป ร่างกายของเธอผ่อนคลายลงทันที
เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง “ลาเต้ ฉันรู้แล้วว่าฉันอยู่ไหน ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ลาเต้ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ที่รัก คุณอย่าบอกว่าคุณอยู่กับเปปเปอร์น่ะ!”
“อืม” มายมิ้นท์พยักหน้าและไม่ได้ปฏิเสธ
ลาเต้เม้มริมฝีปาก “ที่รัก ไอ้เปปเปอร์มันบังคับให้คุณอยู่ต่อใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ค่ะ” มายมิ้นท์ส่ายหน้า “เป็นตัวฉันเองที่ง่วงจนหลับไปเลยไม่ได้กลับ”
เป็นเธอเองงั้นเหรอ?
ลาเต้รู้สึกผิดกับทัศนคติของตัวเองที่มองเปปเปอร์ผิดไป ดังนั้นท่าทางของเขาจึงดูอ่อนลงเล็กน้อย “เอาเถอะครับ ว่าแต่เขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”
มายมิ้นท์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี “คุณคิดอะไรอยู่น่ะ? เขาก็เป็นแค่คนป่วยจะทำอะไรฉันได้?”
“ก็ไม่แน่ เขาก็แค่ไม่อาจใช้แขนข้างหนึ่งได้ แต่แขนและมืออีกข้างหนึ่งไม่ได้เป็นอะไรนี่” ลาเต้พึมพำออกมาเบาๆ
มายมิ้นท์ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะลาเต้ ฉันรู้ว่าคุณมีอคติกับเขาค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเห็นเขาเป็นคนชั่วร้ายแบบนี้ เขาช่วยฉันเอาไว้และก็ช่วยราเม็งด้วย ดังนั้นฉันหวังว่าต่อจากนี้คุณจะปฏิบัติต่อเขาดีกว่านี้”
“ผมรู้ และท่าทางของผมที่มีต่อเขาตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ผมคงจะแวะไปเยี่ยมเยียนเขาแล้วล่ะ” ลาเต้พึมพำออกมา ก่อนจะเก็บสีหน้าท่าทางอารมณ์แล้วเอ่ยถามเรื่องจริงจังว่า “ที่รัก แล้วคุณจะกลับมาเมื่อไหร่?”
มายมิ้นท์มองดูเวลาพบว่าตอนนี้แปดโมงแล้วเธอจึงพูดว่า “ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
“ครับ ผมจะรอ”
“อืม”
เมื่อจบการสนทนามายมิ้นท์ก็วางโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปไว้ในกระเป๋า แล้วเดินออกมาจากห้องพยาบาล
ข้างนอกในห้องผู้ป่วย เปปเปอร์ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจึงลืมตาแล้วใช้มือข้างหนึ่งพยุงไปที่เตียงเพื่อนั่งลง “สายเมื่อครู่ สายจากลาเต้เหรอ?”
ขณะที่มายมิ้นท์กำลังย่องเดินออกไป เมื่อได้ยินเสียงของเขาดังก็สะดุ้งตกใจตามสัญชาตญาณและหยุดฝีเท้าลง เธอเอามือจับไปที่หน้าอกแล้วตบเบาๆ “คุณไม่ได้หลับหรอกเหรอเนี่ย!”
“ผมตื่นตั้งนานแล้ว แต่พอดีได้ยินว่าคุณกำลังโทรศัพท์อยู่ก็เลยไม่ได้เข้าไปกวน” เปปเปอร์มองเธอแล้วยิ้มขึ้นเบาๆ
มายมิ้นท์วางโทรศัพท์มือถือลง “อ๋อค่ะ”
“ขอโทษนะที่ทำให้คุณตกใจ” เปปเปอร์เอ่ยปากขอโทษ
มายมิ้นท์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“บทสนทนาในสายเมื่อสักครู่ผมได้ยินแล้ว” เปปเปอร์มองไปที่เธอ
มายมิ้นท์มองกลับมาที่เขา “แล้วยังไงคะ?”
ท่าทีของเธอดูสงบมาก
เนื่องจากประโยคสนทนาของเธอและลาเต้ไม่ได้พูดถึงเขาในทางที่เสียหาย ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นจะต้องวิตกกังวลอะไร
เปปเปอร์ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ผมได้ยินคุณบอกกับลาเต้ว่าให้ปฏิบัติกับผมดีกว่านี้หน่อย ผมดีใจมาก”
นี่หมายความว่าเธอได้ละทิ้งความขุ่นเคืองต่อเขาที่เคยมีในใจเหล่านั้นไปแล้ว
และก็ได้เข้าใจว่าตัวตนของเขาในตอนนี้ ดีขึ้นกว่าตอนก่อนหน้าที่ถูกสะกดจิตไว้
เมื่อมองเห็นแววตาอันมีความสุขจางๆ ในดวงตาของเปปเปอร์ จู่ๆ มายมิ้นท์ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แต่เธอไม่ได้แสดงมันออกมาบนสีหน้า ได้แต่เบ้ริมฝีปากแล้วพูดว่า “มีอะไรให้น่าดีใจกันคะ ฉันก็พูดไปเรื่อยเท่านั้นแหละ