บทที่ 460 ไม่อยากพูดคำว่าลาก่อน

รักหวานอมเปรี้ยว

“แน่นอนว่าผมต้องดีใจสิ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณออกมาปกป้องผมต่อหน้าลาเต้และคนอื่นๆ” เปปเปอร์เอนตัวพิงไปที่หัวเตียงแล้วพูดขึ้น

ดวงตาของมายมิ้นท์เป็นประกาย เธอก้มหน้าลงพูดว่า “คุณเป็นผู้มีพระคุณของฉัน แน่นอนว่าฉันต้องปกป้องคุณสิคะ ไม่อย่างนั้น ฉันคงจะถูกมองว่าเป็นคนแบบไหนกัน”

“แค่คุณผู้มีพระคุณเท่านั้นเหรอ?” เปปเปอร์มองไปที่เธอ หัวใจของมายมิ้นท์ตื่นเต้นจนเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย เธอก้มหน้าลง “แล้วจะมีอะไรอีกล่ะคะ?”

เปปเปอร์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงจับจ้องไปที่เธอ

หลังจากผ่านไปสักพักเขาจึงขยับริมฝีปากเรียวบางคู่นั้น “เอาล่ะผมเข้าใจแล้ว เป็นผู้มีพระคุณก็ไม่เลว กินข้าวเช้ากันเถอะ”

เขาชี้ไปยังกล่องอาหารเก็บอุณหภูมิที่อยู่ตรงหัวเตียง

อาหารเช้าเหล่านี้ พยาบาลนำมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่

มายมิ้นท์หันหลังไปมองแล้วตอบรับเบาๆ ก่อนจะเดินไปเปิดกล่องอาหารออก

เธอแบ่งอาหารเช้าออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกให้เปปเปอร์ และอีกส่วนหนึ่งให้ตัวเธอเอง

เธอยังไม่ได้แตะต้องในส่วนของตนเอง แต่กลับยกในส่วนของเปปเปอร์มาวางไว้ที่ข้างเตียงแล้วนั่งลงตั้งใจจะป้อนเขาเหมือนเมื่อคืน

แต่ในครั้งนี้เปปเปอร์กลับปฏิเสธ เขายกมือขึ้นกันช้อนเอาไว้แล้วพูดว่า “คุณกินก่อน กินเสร็จค่อยป้อนผม”

“ต่างกันตรงไหนเหรอคะ?” มายมิ้นท์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

ริมฝีปากเรียวบางของเปปเปอร์ขยับขึ้นพูดว่า “ผมไม่อยากทำให้คุณหิว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดูเหมือนในหัวใจของมายมิ้นท์จะมีบางอย่างแล่นผ่านเข้ามา หัวใจของเธอเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว แววตาที่มองไปยังเขาก็รู้สึกซับซ้อนขึ้น

มือที่กำช้อนเอาไว้ก็ได้กำแน่นขึ้น เธอขยับริมฝีปาก นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่หิวมากสักหน่อย คุณเป็นคนป่วยนะคะ ดังนั้นคุณต้องกินก่อน”

“ผมเป็นผู้ชาย” เปปเปอร์พูดขัดขึ้นมาประโยคหนึ่ง มายมิ้นท์เอียงศีรษะมองดูเขาอย่างสงสัย

ก็แค่กินอาหารเช้าเท่านั้น เกี่ยวอะไรกับผู้หญิงผู้ชายเล่า?

เมื่อเห็นความสับสนในแววตาของเธอ เปปเปอร์ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “ผมต้องการจะบอกว่าถึงผมจะเป็นคนป่วยแต่ผมก็เป็นผู้ชาย และมารยาทพื้นฐานของผู้ชาย ควรจะให้สุภาพสตรีก่อนเสมอ เลดี้เฟิร์สน่ะครับ ดังนั้นเชิญคุณกินก่อนครับ”

“เอ่อ นี่มัน……”

ดูเหมือนมายมิ้นท์ต้องการจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ถูกประโยคของเปปเปอร์ขัดขึ้นเสียก่อน “อย่าดื้อ”

น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความเฉยเมยเล็กน้อย

มายมิ้นท์อ้าปากขึ้นแต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ตอบตกลง “ค่ะ”

เธอวางช้อนและชามลง ก่อนจะหันไปหยิบในส่วนของเธอขึ้นมากิน แต่ดูเหมือนเธอไม่ตั้งใจจะกินให้หมด เมื่อกินไปได้เพียงคำหนึ่งก็วางชามลงแล้วหันมาหยิบชามของเขาขึ้นอีกครั้ง

เปปเปอร์เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น “นี่คุณ……” มายมิ้นท์ตักโจ๊กขึ้นมาแล้วยื่นไปที่ปากของเขา “ฉันกินคำหนึ่งแล้วจะหันมาป้อนคุณอีกคำหนึ่ง แบบนี้พวกเราก็จะได้กินไปพร้อมกัน ไม่ต้องมีใครกินก่อนกินหลัง ดีออกค่ะ”

เปปเปอร์ชะงักลงชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาออกอุบายจะให้เธอกินจนอิ่มก่อน แต่เธอกลับคิดวิธีนี้ขึ้นมาเสียได้

จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ก็ดีนะครับ แต่คุณไม่คิดว่ามันลำบากเหรอ?”

“ถ้าฉันกลัวความลำบากล่ะก็ ฉันคงไม่อยากมาดูแลคุณหรอก เอาล่ะค่ะอ้าปากขึ้น” มายมิ้นท์ยิ้มจากนั้นออกคำสั่ง

เปปเปอร์จึงได้อ้าปากขึ้นตามคำสั่งของเธอ

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ทั้งสองผลัดกันกินคนละคำใช้เวลาอยู่ประมาณยี่สิบนาที ในที่สุดอาหารเช้าก็ถูกรับประทานจนหมด

พูดได้ว่านี่เป็นอาหารเช้าที่เหนื่อยที่สุดของมายมิ้นท์ เพราะเช้านี้เธอเปลี่ยนชามที่ถืออยู่ในมือไม่หยุดหย่อน

แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน เธอไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลย ตรงกันข้ามมันกลับดู……หวานเล็กน้อย?

เป็นไปได้ยังไง?

ก็แค่ข้าวต้มขาวจืดๆ ธรรมดาที่ไม่มีรสชาติ มันจะหวานได้ยังไงนะ?

เธอไม่เข้าใจจริงๆ

มายมิ้นท์ส่ายหน้าแล้วครุ่นคิด

เปปเปอร์เห็นดังนั้นก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรเหรอครับ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ” มายมิ้นท์รีบหยุดการกระทำนั้นลงแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

เปปเปอร์ยังคงกังวล “เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเมื่อคืน ดูเหมือนมายมิ้นท์จะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามเขาว่า “จริงสิคะประธานเปปเปอร์ เมื่อคืนนี้คุณให้คนอุ้มฉันเข้าไปนอนในห้องใช่ไหม ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” เปปเปอร์โบกมือขึ้นเบาๆ

มายมิ้นท์เก็บกล่องใส่อาหารเรียบร้อยแล้วกล่าวว่า “นี่ก็สายแล้ว ประธานเปปเปอร์คะวันนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาหาใหม่”

พูดจบเธอก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย เนื่องจากเปปเปอร์รู้ว่าวันนี้เธอจะไปที่ไหนจึงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ไปเถอะครับ เดินทางปลอดภัย”

“ค่ะ” มายมิ้นท์ยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วโบกมือให้เขาก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู

สายตาของเปปเปอร์เฝ้ามองตามแผ่นหลังของเธอไป

มายมิ้นท์สัมผัสได้ถึงแววตาของเขาที่จ้องมองเธออย่างไม่ลดละ

หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้เธอรู้ว่าเขามองเธออยู่ก็คงจะไม่หันหลังกลับไปหรอก

แต่ในวันนี้ เธอไม่อาจทำเพิกเฉยเช่นนั้นได้

เขาเป็นผู้มีพระคุณต่อเธอ หากว่าเธอตั้งใจจะเพิกเฉยแบบนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างเย็นชาไปหน่อย

ด้วยเหตุนี้เองตอนที่เธอกำลังจะเดินออกไปจากห้องจึงได้หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อยแล้วหันมายิ้มให้กับเปปเปอร์ “ลาก่อน แล้วเจอกันค่ะ”

เปปเปอร์ชะงักลงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะหันหลังกลับมาและพูดกับเขาว่าแล้วเจอกัน

เปปเปอร์ต้องการจะตอบกลับเธอ

แต่ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงกลืนคำเหล่านั้นลงไปแล้วตอบรับ “อืม” เบาๆ เท่านั้น

มายมิ้นท์สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติไป หลังจากที่ได้ยินเขาตอบรับแล้ว เธอก็หันหลังเดินจากไป

วินาทีที่เธอก้าวขาออกไปนั้น เปปเปอร์ได้เอื้อมมือออกมาหวังจะเรียกเธอเอาไว้

แต่ในที่สุดแล้วเขาก็อดทนอดกลั้นแล้วดึงมือกลับไปดังเดิม

สามปี ถ้าไม่มีหัวใจที่เข้ากับร่างกายเขาได้ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปีเท่านั้น

และในสามปีนี้ แต่ละวันก็หมายความว่าเขาจะได้พบหน้าเธอน้อยลงเรื่อยๆ รวมถึงวันที่จะต้องลาจากเธอก็ใกล้เข้ามา

ดังนั้น เขาจึงไม่อยากจะพูดกับเธอว่าไว้เจอกัน

เนื่องจากเขากลัวว่าเมื่อไปถึงวันสุดท้ายที่เจอกันอีกครั้ง แล้วจะไม่ได้เจอกันอีก

เขาอยากจะให้เธออยู่ต่อเหลือเกิน อยู่ต่อที่ข้างกายเขาไปแบบนี้ เวลาสามปีที่เหลือเขาจะได้พบเธอในทุกวัน

แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากนี่เป็นการกักบริเวณ ไม่ใช่การแสดงความรักต่อเธอ

ด้านนอกโรงพยาบาล มายมิ้นท์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถ ในใจของเธอรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก

มันบอกไม่ได้ถึงเหตุผลและยากที่จะอธิบายว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้

โดยรวมก็คือ เธอรู้สึกได้ถึงความไม่สงบราบรื่น ไม่ปลอดภัย

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ดูเหมือนมายมิ้นท์จะมองเห็นอะไรเข้า เธอจึงหรี่ตาลง

นั่นคือตำรวจที่เฝ้าดูส้มเปรี้ยวอยู่นี่

เมื่อมองเห็นตำรวจหญิงที่เดินถืออาหารเช้าเข้ามา มายมิ้นท์จึงนึกขึ้นได้ว่า ส้มเปรี้ยวยังคงถูกกักตัวเอาไว้ในห้องผู้ป่วยพิเศษเพื่อติดตามพฤติกรรมนอกคุก เธอยังไม่ได้ถูกส่งเข้าไปในคุกสตรี

มานับดูเวลาแล้วนี่ก็ผ่านไปยี่สิบวันพอดี ยังมีเวลาอีกสิบวัน

หลังจากนี้สิบวัน ช่วงเวลาคุมประพฤติภายนอกคุกของส้มเปรี้ยวก็จะสิ้นสุดลงและถูกส่งเข้าไปในคุกจริงๆ

เมื่อถึงเวลานั้นเธอยังสามารถส่งส้มเปรี้ยวเข้าไปในคุกได้ด้วยตนเอง

เมื่อนึกได้ดังนี้มายมิ้นท์จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ชั้นสำหรับผู้ป่วยพิเศษ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถแล้วขับออกจากไป

ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีก็เดินทางมาถึงคอนโดพราวฟ้า

ลาเต้มองเห็นมายมิ้นท์เดินออกมาจากลิฟต์ก็ได้รีบลุกขึ้นยืนจากพรมเช็ดเท้าหน้าประตูคอนโดของมายมิ้นท์ ทำหน้าบูดบึ้งพูดออกมาอย่างขุ่นเคืองว่า “ที่รัก ในที่สุดคุณก็กลับมาสักทีนะ คุณรู้ไหมว่าผมรออยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว? ถ้าไม่ใช่เพราะที่คอนโดของคุณมีผู้อาศัยอยู่แค่ชั้นละคนแล้วใช้ลิฟต์ของใครของมันล่ะก็ ท่าที่ผมนั่งรอคุณโง่ๆ อยู่ตรงนี้คงจะถูกใครต่อใครหลายคนเห็นแล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นชื่อเสียงของผมคงจะเสียหายถล่มทลายไปแล้ว”

มายมิ้นท์มองดูท่าทางเกินจริงของเขาที่แสดงออกมา ก็ได้แต่ยิ้มแล้วขอโทษว่า “ขอโทษนะคะลาเต้ที่ฉันกลับมาช้า”

“เอาเถอะ เป็นผมเองที่อยากจะอยู่รอคุณ ผมขอยกโทษให้คุณก็แล้วกัน” ลาเต้ยกมือขึ้นโบกไปมาแล้วขยับร่างกายออกจากตรงประตูพูดว่า “รีบเปิดประตูเข้าเถอะครับ”

มายมิ้นท์ตอบรับแล้วใช้นิ้วมือสแกนเปิดประตู

ลาเต้เดินตามหลังเธอเข้าไปข้างในแล้วถามขึ้นว่า “ที่รักครับ กินข้าวเช้ามาหรือยัง ถ้ายังไม่กินผมจะลงไปซื้อให้”

“ฉันกินมาแล้วค่ะพยาบาลของเปปเปอร์ซื้อมาให้” มายมิ้นท์ตอบพลางเปลี่ยนรองเท้า

ลาเต้พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ตอนนี้คุณยอมรับเขามากขึ้นเรื่อยแล้วนะ แม้แต่อาหารเช้าของเขาคุณก็ไม่ปฏิเสธ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้มายมิ้นท์ที่กำลังเปลี่ยนรองเท้าก็ชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิม เธอนำกระเป๋าขึ้นไปแขวนไว้บนชั้นวางแล้วพูดว่า “ก็แค่อาหารเช้านี่คะ ไม่ได้มีราคาสักหน่อย เอาล่ะค่ะลาเต้ คุณไปรอชั้นที่ห้องโถงสักครู่นะ ขอฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดี๋ยวเราจะรีบออกเดินทางกันทันที”