ตอนที่ 252 ไม่กลัวตายก็ไปถามเองสิ 

 

 

พอวางสาย เธอก็โทร.หาอาเหมา บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอกลับมาแล้ว จึงนับว่าได้พูดปลอบคนทั้งสองเรียบร้อย 

 

 

“เสวียเสวี่ย เธออยู่ไหน ทำไมโทร.หาก็ปิดเครื่องตลอด หึ ยังคิดว่าเธอถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปวิจัยแล้วซะอีก” อีลั่วเสวี่ยโทร.หาหลิ่วเฟยซวง ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกอีกฝ่ายรัวใส่เป็นชุด 

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้มอย่างจนปัญญา “ห่วงอะไรนักหนา แค่เกิดเรื่องนิดหน่อย มือถือเสียเท่านั้นเอง อีกอย่าง มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่าก็ยังถกกันอยู่เลย จะจับฉันไปวิจัยอะไร” 

 

 

มีมนุษย์ต่างดาวจริงหรือเปล่า คำตอบของเธอคือมีแน่นอน เพราะลูกบอลเงินคือตัวอย่างที่ดีที่สุด 

 

 

“นี่ๆๆ ฉันเป็นห่วงเธอหรอกนะ จะมาถกเรื่องมนุษย์ต่างดาวกับฉันทำไมยะ” หลิ่วเฟยซวงไม่พอใจ ยายนี่เปลี่ยนเรื่องเก่งจริงๆ 

 

 

“ไม่ใช่ว่าเธอพูดขึ้นมาก่อนเองเหรอ ฉันคุยกับเธออยู่นะ เข้าใจไหม” 

 

 

“เข้าใจๆๆ ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ จริงสิ เสวียเสวี่ย เธอกลับมาหรือยัง ฉันยังคิดว่าเธอมัวแต่หลงเสน่ห์จนลืมกลับแล้ว” 

 

 

อีลั่วเสวี่ยหน้าแดงเล็กน้อย “พูดบ้าอะไร พรุ่งนี้มีเรียน ฉันจะไม่กลับได้เหรอ” 

 

 

“งั้นก็หมายความว่า ถ้าไม่มีเรียนเธอก็คงไม่กลับสินะ หึ คิดจะเบี้ยวนัดฉันอีกใช่ไหม” น้ำเสียงหลิ่วเฟยซวงน้อยใจ 

 

 

“ไม่หรอกน่า ฉันรับปากเธอแล้วจะเบี้ยวได้ยังไง เอาละไม่คุยแล้ว ฉันจะพักสักหน่อย พรุ่งนี้เจอกันที่มหาวิทยาลัย บ๊ายบาย” จากนั้นก็วางสาย ขืนยังคุยกับหลิ่วเฟยซวงต่อคงลากยาวไปจนดึกแน่ ยายนี่ช่างพูดจริงๆ 

 

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ในห้องประชุมใหญ่ คนในห้องสวมเครื่องแบบทหาร ด้านหน้าสุดมีเครื่องฉายภาพ มีคนกำลังถือไม้ชี้พลางอธิบาย แต่เขากลับหยุดพูด สายตาจับอยู่ที่อวิ๋นเว่ยเช่นเดียวกับทุกคนในห้องประชุม 

 

 

“มองอะไร โทรศัพท์เร่งด่วน ผมจำเป็นต้องรับสาย พูดไปสิ” 

 

 

ชายคนนั้นจึงได้แต่กระแอมเล็กน้อย เรียบเรียงความคิดใหม่ แล้ววิเคราะห์ต่อ “รวมกับการสู้รบครั้งก่อน และข้อมูลที่เรารวบรวมได้ในภายหลัง ทำให้รู้ว่า…” 

 

 

ตลอดเวลานี้ อวิ๋นเว่ยยิ้มหน้าบาน ตามองที่จอภาพ แต่ไม่รู้ว่าฟังเข้าหัวหรือเปล่า 

 

 

หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง หลายคนค่อยๆ เก็บของเดินออกไป มีเพียงอวิ๋นเว่ยคนเดียวที่ยังนั่งยิ้มใจลอย 

 

 

“พี่จ้าว ท่านแม่ทัพเป็นอะไร ทำไมพอรับโทรศัพท์ นอกจากจะไม่ทำหน้าเย็นชาแล้วยังยิ้มแปลกๆ เมื่อกี้เขาบอกว่ายายหนู หมายถึงคุณหนูใหญ่ใช่ไหม” ชายใบหน้ากลมกะพริบตาปริบๆ พลางซุบซิบ 

 

 

พอเขาถาม คนที่อยู่รอบๆ กลุ่มหนึ่งก็ขยับเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ได้ยินแม่ทัพพูดถึงลูกสาวมาตลอด ตกลงมันยังไงกันแน่ ทุกคนต่างอยากรู้ 

 

 

จ้าวจวินเลิกคิ้ว กวาดตามองเอกสารบนโต๊ะ พอคนพวกนั้นเห็น ก็รีบเก็บให้เรียบร้อยทันที 

 

 

“พี่จ้าว รีบบอกมาเร็วเข้า เป็นคุณหนูใหญ่ใช่ไหม พี่มีรูปเธอหรือเปล่า ให้พวกเราดูหน่อยสิ กลับไปจะได้ให้ไอ้หนูที่บ้านทำความรู้จักไว้” คนที่สามารถทำให้ท่านแม่ทัพพูดชมไม่ขาดปากต้องไม่ธรรมดาแน่ 

 

 

“รูป? คิดมากไปแล้ว ฉันไม่มีหรอก อยากดูใช่ไหม ไปถามท่านแม่ทัพเองสิ” ขืนแอบเก็บรูปถ่ายคุณหนูใหญ่ไว้ หึ…ถ้าพี่อวิ๋นรู้เข้า ฉันไม่โดนเชือดก็แปลกละ 

 

 

“อย่ากั๊กสิพี่จ้าว คราวก่อนพี่ต้องได้เจอคุณหนูใหญ่แน่ๆ เธอสวยหรือเปล่า พี่ว่าไอ้หนูบ้านพวกเรามีโอกาสไหม” คนพวกนี้เป็นพ่อคนแล้ว เรื่องที่ชอบที่สุดคือหาคู่ครองให้ลูกชายตัวเองไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย 

 

 

จ้าวจวินพยักหน้า “บอกว่าสวยยังธรรมดาไป คุณหนูใหญ่ทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่งั้นจะคู่ควรเป็นลูกสาวท่านแม่ทัพของเราเหรอ พวกนายว่าจริงไหมล่ะ” 

 

 

อีลั่วเสวี่ยนอกจากจะมีใบหน้าที่ทำให้อวิ๋นเว่ยคิดถึงลูกสาวของตัวเองแล้ว เธอยังเก่งด้านการแพทย์ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นเว่ยคงไม่ชื่นชมเธอขนาดนี้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 253 วิ่งหนึ่งร้อยรอบ 

 

 

“ส่วนที่ว่าพวกนายมีโอกาสหรือเปล่า ฉันเดาว่าคงไม่ เมื่อกี้ไม่ได้ยินที่พี่อวิ๋นโกรธขนาดนั้นเหรอ” จ้าวจวินยิ้ม สีหน้าเจ้าเล่ห์ 

 

 

ทุกคนย้อนคิดดู เหมือนจะด่าว่าไอ้เด็กหน้าเหม็น แถมยังจะคิดบัญชีด้วย หรือว่าคุณหนูใหญ่เดตกับใคร คนเป็นพ่ออย่างท่านแม่ทัพรู้เข้าเลยโกรธมาก เพราะเขาเป็นพ่อที่ขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาว 

 

 

“งั้นก็น่าเสียดาย แต่เราก็ยังอยากรู้เรื่องคุณหนูใหญ่อยู่ดี ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอหรือเปล่า พี่จ้าว พี่มีรูปหรือไม่มีกันแน่ ขอดูหน่อยสิ”  

 

 

ในกลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งคนที่มีครอบครัวแล้ว และก็ยังมีพวกคนหนุ่มด้วย อายุมากกว่าอีลั่วเสวี่ยไม่กี่ปี คนพวกนี้เข้าฝึกทหารหลังจากจบมัธยมปลายหรือตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย ดังนั้นที่พวกเขาก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก 

 

 

หรือบางคนรุ่นพ่อเป็นทหารอยู่แล้ว พวกเขาก็เข้าเป็นทหารเร็วกว่าปกติ 

 

 

“อยากดูเหรอ ฉันมี ดูไหม” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด พลางหันไปมอง 

 

 

จ้าวจวินอึ้งไป ฉันยังไม่มี แล้วใครมี พอนึกขึ้นได้ก็แทบจะมุดลงใต้โต๊ะ ซวยแล้ว! 

 

 

“นายมีรูปถ่ายคุณหนูใหญ่ มาๆ ขอฉันดูหน่อย” 

 

 

พอเห็นว่าเป็นอวิ๋นเว่ย คนกลุ่มนี้ก็ถอยกรูดทันทีจนชนถูกโต๊ะ เจ็บจนหน้าซีด 

 

 

“ท่านแม่ทัพ พวกเรา…” 

 

 

“พวกเราผิดไปแล้ว ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของท่านแม่ทัพ” คนเหล่านี้แสดงท่าทียอมรับผิดแต่โดยดี รีบยืนตัวตรง แม้จะเอ่ยขอโทษ แต่ความเข้มแข็งก็ไม่ได้ลดน้อยลง 

 

 

อวิ๋นเว่ยเลิกคิ้วพลางยิ้ม “เรื่องอยากรู้อยากเห็น ฉันเข้าใจดี วางใจเถอะ” 

 

 

“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เมตตาครับ!” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ดูแล้วพอพูดถึงคุณหนูใหญ่ ท่านแม่ทัพจะอารมณ์ดีจริงๆ 

 

 

“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ ไปวิ่งรอบสนามร้อยรอบก่อน วันหลังมีโอกาสจะให้พวกนายได้เจอเสวี่ยเอ๋อร์” ออกคำสั่งเสร็จ อวิ๋นเว่ยก็เหลือบมองจ้าวจวิน “นายด้วย ไปคุม” 

 

 

จ้าวจวินทำวันทยาหัตถ์ทันที “ครับ ท่านแม่ทัพ งั้นผมต้องวิ่งด้วยไหมครับ” 

 

 

อวิ๋นเว่ยยกมุมปาก แววตาลึกล้ำ “คิดว่าไงล่ะ” จากนั้นก็ผละไป 

 

 

บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่เงี่ยหูฟังอยู่ข้างๆ รีบเผ่นไวยิ่งกว่ากระต่าย ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ร่วมวงด้วยจึงไม่ถูกลงโทษ 

 

 

คนที่ซุบซิบกันกลุ่มนี้ มองหน้ากันไปมา อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “รูปก็ไม่ได้ดู ยังถูกลงโทษอีก เศร้าจริงๆ” 

 

 

“เศร้าบ้าอะไร นี่แค่ร้อยรอบ ปกติท่านแม่ทัพลงโทษพวกเราเคยมีน้อยกว่าสองร้อยรอบที่ไหน พอใจเถอะ” จ้าวจวินทำสีหน้าทอดถอนใจ เฮ้อ ร้อยรอบเชียว คงต้องวิ่งทั้งบ่าย อุตส่าห์มีเวลาว่างตอนบ่ายหลังประชุมทั้งที หมดกัน  

 

 

จ้าวจวินเพิ่งพูดจบ คนอื่นๆ ก็จ้องเขาด้วยสายตากล่าวโทษ ต้องโทษที่เขาอยู่ดีไม่ว่าดีก็พูดถึงคุณหนูใหญ่ ทำให้พวกเขาเกิดอยากรู้ขึ้นมา 

 

 

“ไม่ต้องมาจ้องเลย ฉันก็โดนเหมือนกันนะ ฉันก็ไปกับพี่น้องทุกคนแหละน่า ไม่ต้องมองฉันแบบนี้ได้ไหม” จ้าวจวินรู้สึกผิด เขาคิดว่าอวิ๋นเว่ยคงจะรีบออกไป ทั้งพวกเขาก็คุยกันเสียงเบามาก 

 

 

“หึ พี่จ้าว เมื่อกี้พี่คิดจะทิ้งพวกเรา อย่าคิดว่าเราไม่รู้นะ เฮอะ” คนกลุ่มนี้เบ้ปาก แสร้งทำเป็นเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ 

 

 

สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ต้องวิ่งรอบสนามไปเงียบๆ 

 

 

“ฮ่าๆ เป็นทหารสังกัดแม่ทัพอวิ๋นนี่ลำบากชะมัด อยู่ดีๆ ก็ถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนาม” ทหารในสังกัดของแม่ทัพคนอื่นเห็นแล้วก็อดซ้ำเติมไม่ได้ จำนวนรอบที่วิ่งไม่น้อยเลย 

 

 

เพื่อนอีกคนในกลุ่มนั้นดวงตาเป็นประกาย พูดว่า “นายจะรู้อะไร นี่เรียกว่าวินัย อีกอย่างที่พวกเขาวิ่งดูเหมือนเป็นการลงโทษ แต่ที่จริงกำลังฝึกฝนร่างกายต่างหาก” ระเบียบวินัยเคร่งครัด ชมเชยและลงโทษชัดเจน จุดนี้อวิ๋นเว่ยทำได้ดีกว่าคนอื่น 

 

 

อีกอย่างคนเหล่านี้ก็เต็มใจวิ่งกันทั้งนั้น ดูเหมือนเป็นการทำงานล่วงเวลา ถึงจะไม่ได้เงิน แต่ก็เพิ่มพูนประสบการณ์