TQF:บทที่ 541 ได้เวลาไป (3)

 

“ดีๆๆ แม่รอพวกเจ้ากลับบ้าน เสี่ยวเสี่ยวของข้าต้องกลับบ้านแน่ๆ” ลั่วหยูฉินฝืนไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา แต่นางไม่คิดจะไปเช็ด กอดลูกสาวไว้แน่น

 

ผ่านไปพักใหญ่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถึงปล่อยมือจากท่านแม่ จากนั้นก็กอดท่านพ่ออีกครั้ง 2 พ่อลูกไม่ได้พูดอะไรกัน เฉิงไป๋หยวนตาแดงก่ำ เพียงแค่ตบบ่าลูกสาว ความเป็นห่วงและความรักของพ่อคนหนึ่งได้ถูกส่งผ่านไปหมดแล้วโดยไม่ต้องผ่านคำพูด

 

หลังจากนั้นนางก็หันไปคุยอะไรกับน้องๆอีกนิดหน่อย พยักหน้าให้กับเหล่าคนที่มาส่ง ก็หันหลังก้าวเข้าไปในมิติเคียงข้างหยูเฮง

 

ภายใต้การจ้องมองของทุกคน หยูเฮงโบกมือทั้ง 2 ข้าง เกิดริ้วคลื่นน้ำอยู่บนนภา มีทางเข้าที่ผิดไปจากปกติฉีกออกในอากาศ 1 คน 1 ภูติก้าวข้ามประตูนั้นไป

 

“เสี่ยวเสี่ยว ดูแลตัวเองด้วยนะ….” ชั่วขณะที่ลูกสาวหายไป ลั่วหยูฉินตะโกนสุดเสียงใส่อากาศ

 

แต่แผ่นหลังของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ก้าวข้ามประตูได้หายไปแล้ว และก็ไม่ได้ยินเสียงของนาง

 

ประตูได้หายไปด้วย แต่คนด้านล้างยังคงมองอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครไปที่ไหนทั้งนั้น

 

ภูเขาลูกเขียวเรียงราย มีหมอกอยู่ล้อมรอบ ข้างๆน้ำตาเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า สะท้อนให้น้ำธารฟ้าใสกลายเป็นสีแดงเพลิง

 

ข้างลำธารมีร่างคนโตกับร่างคนเล็กยืนอยู่ข้างกัน แม้จะอายุไม่มาก แต่หน้าตาสวยงามเกินกว่าใครอื่นใดจะเทียบ โชคดีที่แถวนี้ไม่มีคน ไม่อย่างนั้นต้องตกใจจนร้องออกมาแน่ๆ

 

ร่างคนโตกับร่างคนเล็กที่ยืนอยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงที่ฉีกมิติออกมานั่นเอง ตอนที่พวกเขาก้าวออกมาจากอากาศก็อยู่ที่นี่แล้ว

 

เนื่องจากที่นี่เป็นที่รกร้างที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ นอกจากพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าผืนดินเดิมหลายเท่าแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งอื่นที่ผิดแปลกไป

 

ที่นี่คือที่ไหน ผืนดินอะไร 1 คน 1 ภูติไม่รู้เลย

 

“คุณหนู ท่าทางพวกเราต้องออกจากที่นี่ หาที่ๆมีคนแล้วไปถามสักหน่อยว่าที่นี่ที่ไหน” หยูเฮงมองไปรอบๆ นางส่งจิตออกไปเสาะหาแต่ไม่เจอแม้คนเดียว

 

อยากจะรู้ว่าที่นี่ที่ไหนก็ได้แต่หาคนมาถามถึงจะรู้

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า มองเจ้าตัวเล็กสุดน่ารักก่อนจะถามขึ้น “เจ้าจะกลับมิติหรือจะไปกับข้าด้วย”

 

“ไปด้วย ข้าไม่กลับมิติหรอก” หยูเฮงย่นจมูกน่ารักของนาง ตัดสินใจว่าจะไม่ซ่อนตัวอีกแล้ว ด้วยความสามารถของนางต่อให้มาที่ผืนดินฉางไห่ ก็เชื่อว่าไม่มีใครสามารถรังแกตัวเองได้

 

ซึ่งก็จริง หยูเฮงในตอนนี้สามารถใช้พลังระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ได้อย่างเต็มที่ คนทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้นางแน่

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า “ดี พวกเราหาสักทิศแล้วพอเจอคนค่อยว่ากัน”

 

“ได้”

 

ทั้ง 2 กระโจนหายตัวไปทางทิศตะวันออก ภูเขาด้านล่างแลดูเหมือนเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังด้วยความเร็วปานสายฟ้า ร่างคนโตและร่างคนเล็กหายไปจากป่าเขานี้ในพริบตา

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ 1 คน 1 ภูติออกจากแถบเขาได้ในที่สุด ข้างหน้าปรากฏเมืองสีทองอร่าม ทั้งกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ ทั้งสถาปัตยกรรมบ้านช่องและศาลาที่ขึ้นสูงเรียงรายต่างอยู่ตรงหน้าแล้วจริงๆ

 

เมืองนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก กำแพงเมืองยาวไม่รู้กี่ร้อยลี้ มองไม่เห็นขอบเขต ภายในกำแพงเมืองมีแต่ตึกรามสูงใหญ่หรูหราปานวัง มองจากที่ไกลๆเป็นแสงหลากสีส่องประกายทองอร่ามราวกับสวรรค์บนดิน

 

ภายในเมืองมีเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนเต็มไปหมด ต่อให้ห่างกันหลายร้อยลี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ยังได้ยินเสียงเร่ขายและเสียงฝีเท้าของม้าอยู่ ภาพเมืองอันจอแจปรากฏขึ้นอยู่ในหัวของ 1 คน 1 ภูติแล้ว

 

“ว้าว สวยจังเลยคุณหนู สวยกว่าวังของพวกเราอีก” หยูเฮงพูดอย่างอดไม่ได้

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ที่นี่น่าจะไม่ใช่ตำบลเล็กๆ พวกเราไปดูสักหน่อยอาจจะได้ข่าวคราวบ้าง”

 

“คุณหนู พวกเราต้องหาข้อมูลสถานการณ์ให้ดี ท่าทางที่นี่จะไม่ธรรมดาจริงๆ”

 

“ไปเถอะ พอถึงข้างหน้าอีกหน่อยพวกเราก็เดินเท้าไป เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

เพิ่งจะมาถึงที่ที่ไม่คุ้นเคย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวคิดว่าระวังตัวหน่อยน่าจะดี การตรงดิ่งไปที่ประตูเมืองเลยอาจจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นด้วย

 

“เชื่อคุณหนู” กับปัญหายิบย่อยพวกนี้แล้ว ปกติแล้วหยูเฮงจะทำตามที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอก อย่างไรซะนางก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่

 

ทั้ง 2 หลบฝูงคนและฝูงสัตว์อสูรอย่างระวังและหยุดอยู่ในหุบเขาที่ใกล้ประตูเมืองที่สุด

 

มองไปที่ประตูเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน หยูเฮงอดอุทานไม่ได้ “สุดยอดไปเลยนะ พวกเรานี่ไม่เคยเจอโลกกว้างจริงๆนั่นแหละ ดูกำแพงเมืองนั่นสิ ใหญ่อย่างกับภูเขา สุดยอดจริงๆ”

——————————–