ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 25 ภาพวาดลวกๆ บนฝาผนัง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 25 ภาพวาดลวกๆ บนฝาผนัง โดย Ink Stone_Fantasy

บุรุษชุดดำร่างกายง่อนแง่นโบกมือคราหนึ่งแล้วก็โยนป้ายสัญลักษณ์อันหนึ่งให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง “ป้ายสัญลักษณ์หลอมแปร มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ วันใดที่เจ้าสังหารบุคคลระดับสูงของสำนักทิพย์โบราณได้มากพอก็สามารถกระตุ้นป้ายสัญลักษณ์ได้ ถ้ายังอยู่ในอาณาบริเวณของดินแดนเก้าเมฆาก็จะถูกส่งตัวมาภายในวัง แล้วก็มาถามหาสมบัติล้ำค่าที่มีมูลค่าสมน้ำสมเนื้อกันได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็หลอมแปรในทันที

“มากับข้า” บุรุษชุดดำหมุนกายแล้วเดินตรงไป มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของวัง ตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดอยู่ด้านหลัง

มาถึงบันไดวังที่ซ่อนเร้นอยู่แล้วก็เดินตามบันไดลงไปข้างล่าง ในที่สุดก็เข้าไปสู่ห้องเงียบสำหรับบำเพ็ญอันเร้นลับห้องหนึ่ง

“นี่คือห้องเงียบที่เจ้านายใช้บำเพ็ญ”

บุรุษชุดดำก้าวเข้ามาในห้องเงียบพร้อมกับตงป๋อเสวี่ยอิง

มองดูปราดหนึ่ง ห้องเงียบนั้นใหญ่โตยิ่ง เกือบจะเทียบได้กับตำหนักหมื่นรูปแห่งวังทวีสูญเลยทีเดียว ด้านหน้าสุดของห้องเงียบมีชั้นวางหนังสืออยู่หลายชั้น บนชั้นหนังสือมีต้นฉบับตำราอยู่เป็นจำนวนมาก ชั้นหนังสือกินบริเวณไปประมาณสามส่วนของห้องเงียบ

ด้านหลังล้วนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

มีเพียงเบาะรองนั่งอันหนึ่งวางอยู่บนพื้นเท่านั้น

“บนชั้นหนังสือล้วนเป็นตำราที่เจ้านายสะสมเอาไว้และที่เขียนขึ้นมาเอง” บุรุษชุดดำชี้เบาะรองนั่ง

“ตามปกติแล้วเจ้านายก็จะบำเพ็ญและหยั่งรู้อยู่ที่นี่”

“เจ้าสามารถศึกษาตำราทั้งหมดภายในห้องเงียบแห่งนี้ได้ ถ้าหากศึกษาจนหมดแล้วอยากจะถ่ายทอดต่อก็ย่อมได้อย่างแน่นอน” บุรุษชุดดำพูด “นี่คือข้อดีที่ ‘ผู้ช่วย’ มีกันทุกคน รอให้ศึกษาเสร็จหมดแล้วเจ้าตัดสินใจจะจากไปก็บอกข้า ข้าก็จะส่งเจ้าไปจากที่นี่” พูดแล้วบุรุษชุดดำก็หันหน้าเดินไปจากที่นี่

“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดในวังนี้ เจ้าพูดอะไรข้าก็ล้วนได้ยินทั้งสิ้น” บุรุษชุดดำพูดประโยคหนึ่งแล้วก็เดินออกจากห้องเงียบไป

ภายในห้องเงียบแห่งนี้เหลือตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เพียงผู้เดียว

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปทางชั้นหนังสือทันทีโดยไม่ลังเลแล้วเริ่มต้นพลิกอ่านตำราเหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการตกผลึกทางปัญญาของผู้บำเพ็ญผู้อาวุโสทั้งสิ้น ตำราที่จะถูกจักรพรรดิเก้าเมฆารวบรวมเอาไว้ที่นี่ได้ก็ย่อมมิใช่ของพื้นๆ อย่างแน่นอน

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตำราของสำนักแรกที่พลิกอ่านในมือ

นี่คือตำราของศาสตร์โบราณสำนักหนึ่งที่มีชื่อว่า เนตรมลายสูญ

ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นบำเพ็ญศาสตร์โบราณ พรสวรรค์ที่เพิ่งตื่นรู้ก็เป็นจำพวกดวงตา ที่เน้นไปทางด้านการโจมตี ก็สามารถมุ่งบำเพ็ญไปทางเนตรมลายสูญได้ มีศาสตร์โบราณบางจำพวกที่เป็นการบำเพ็ญที่อาศัยโชคชะตาล้วนๆ และมีจำพวกที่มีผู้สืบทอดที่ร้ายกาจ ก็สามารถจงใจชี้แนะวิวัฒนาการของตนเองได้…พรสวรรค์ที่ถือกำเนิดขึ้นของ‘ก่อกำเนิด’ มีความสำคัญอย่างยิ่ง การชี้แนะและบ่มเพาะของ ‘หลังกำเนิด’ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

สำนักเนตรมลายสูญนี้คือสำนักหนึ่งในศาสตร์โบราณที่มุ่งตรงสู่ระดับเทพจักรวาล

สองตามีลำแสงแห่งการทำลายล้างสาดส่องออกมา มองเพียงปราดเดียว จักรวาลแห่งหนึ่งก็สามารถแตกกระจายสูญสลายไปได้แล้ว แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังมิกล้าเอาตัวมาขัดขวาง

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ตำราเกือบครึ่งของที่นี่ล้วนเป็นของทางฝั่งศาสตร์โบราณ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ที่สามารถบำเพ็ญไปถึงระดับขั้นอลวนได้มีบางส่วนที่เป็นระดับเทพจักรวาล หากพูดถึงพลังยุทธ์ พรสวรรค์ของก่อกำเนิดนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การบำเพ็ญของหลังกำเนิดก็มีความสำคัญเป็นที่สุด ทั้งสองต่างก็ต้องการความสมบูรณ์แบบเพียงพอจึงจะสามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ในท้ายที่สุด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในศาสตร์โบราณ

“บางทีข้าก็อาจจะศึกษาศาสตร์โบราณได้เช่นกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านตำราของศาสตร์โบราณมามากมายเหลือเกิน ก็อดมิได้ที่จะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา

ศึกษาระบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน สำหรับผู้แกร่งกล้าแล้วช่างเป็นเรื่องธรรมดานัก

เช่นระบบการบำเพ็ญสายโลหิต ขั้นสูงสุดก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ต้องศึกษาระบบอื่นๆ อย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เลือกศึกษาระบบอื่นๆ ต่างก็สามารถชดเชยข้อด้อยของตัวเองได้อย่างสุดกำลัง

ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่ตอนนี้ได้รับเคล็ดวิชาของการบำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณมามากมายถึงเพียงนี้… และถ้าหากโชคดี พรสวรรค์ก็จะสูงส่งเป็นที่สุด คุ้มค่ากับการสูญเสียพลังงานเป็นอย่างมาก

“ไม่รีบหรอก”

“รอให้ข้าจัดการเรื่องของพวกจิ้งชิวให้เสร็จเรียบร้อยก่อน มีเวลาและพลังงานมากพอแล้วค่อยมาลองบำเพ็ญดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ที่วังทวีสูญก็มีผู้ที่ศึกษาศาสตร์โบราณอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงศิษย์เทพแท้เลย ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน…อย่างประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็เป็นผู้บำเพ็ญศาสตร์โบราณ

ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตของสถานที่ใดๆ อย่างไร้ซึ่งขอบเขตได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถส่งตัวตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังดินแดนเก้าเมฆาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

นี่คือพรสวรรค์ที่ได้ศาสตร์โบราณช่วยเหลือ แต่กลับล้ำเลิศเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรอากาศอันสับสนอลหม่านก็กว้างใหญ่ไพศาลเหลือแสน จากโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราไปยังดินแดนเก้าเมฆาช่างไกลแสนไกลถึงเพียงนั้น เทพจักรวาลจะมาก็ยังยุ่งยากเป็นอย่างมาก แต่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กลับสามารถส่งคนอื่นตรงมาได้อย่างง่ายดาย

ลูกไม้ของศาสตร์โบราณนี้ มีบางทีที่ทำให้คนอิจฉาโดยแท้

******

ใช้เวลาไปครึ่งปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลิกอ่านตำราที่มีอยู่จนหมด ในบรรดาตำราเหล่านี้กลับมีเพียงตำราอันประปรายไม่กี่เล่มเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ ถึงอย่างไรเขามาถึงระดับขั้นนี้ การจะหาตำราที่คล้ายคลึงกับเส้นทางของเขานั้นก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว แต่กลับเปิดโลกทัศน์ของเขาให้กว้างไกลขึ้น แม้กระทั่งเหตุผลที่ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ กระบวนท่าที่สองของโลกอนธการของตน มิอาจสำแดงออกมาได้มาโดยตลอดก็สามารถคาดเดาได้แล้ว

“เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับระดับจิตใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคาดเดา

เพราะในตำราของศาสตร์ลับที่เขาอ่านศาสตร์หนึ่งก็มีอรรถาธิบายบันทึกเอาไว้เช่นกันว่ากระบวนท่าที่สาม เพลิงนิพพาน ถ้ายังไปไม่ถึงระดับจิตใจขั้นที่สาม ระดับจิตใจไม่ถึง แม้ว่าจะหยั่งรู้สิ่งเหล่านั้นไปมากมาย ก็ไม่มีทางสำแดงเพลิงนิพพานออกมาได้ จะไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามได้ ก็ต้องผ่านประสบการณ์จิตนิพพานอันละเอียดถี่ถ้วน แล้วอาจจะได้รับอะไรมาบ้าง

ศาสตร์ลับศาสตร์นี้ก็มีสถานการณ์เช่นเดียวกัน หากระดับจิตใจไม่ถึง แม้จะหยั่งรู้แล้วก็มิอาจสำแดงออกมาได้อยู่ดี

ก็เหมือนกับเวลามนุษย์ธรรมดาวาดภาพ ระดับจิตใจไม่เหมาะสมกับทักษะ ก็มิอาจวาดงานศิลปะที่สูงส่งเพียงพออกมาได้

“อาจต้องไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สาม…” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใคร่ครวญอยู่เช่นกัน เขาใคร่ครวญแม้กระทั่งจิตนิพพานที่ศาสตร์ลับนั้นได้อธิบายเอาไว้

อ้างอิงจากคำอธิบายในศาสตร์ลับศาสตร์นั้น

เมื่อใดที่มีความเมตตาและความอุทิศเสียสละอันยิ่งใหญ่ เต็มใจเสียสละเพื่อสรรพสัตว์ ไม่มีกิเลสเลยแม้แต่น้อย จึงจะสามารถบรรลุจิตนิพพานท่ามกลางการอุทิศเสียสละนั้นได้ การตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ นี่ก็เป็นเงื่อนไขของระดับจิตใจในการตระหนักรู้เพลิงนิพพาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งหยั่งรู้อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนานก็ยังมิอาจได้มา จึงอดที่จะส่ายหน้ามิได้ การบรรลุระดับจิตใจชั้นที่สามนี้มิอาจฝืนบังคับได้เลย

“ควรไปได้แล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น

ในเมื่ออ่านตำราที่มีอยู่จนหมดแล้ว ก็ควรจากไปได้แล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองซ้ายมองขวารอบๆ ห้องเงียบแห่งนี้ มองดูทุกหนแห่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน สายตาของเขาก็จับบนร่องรอยของภาพวาดจำนวนหนึ่งบนผนังห้องเงียบ มีร่องรอยของภาพวาดเหล่านี้จำนวนมากที่วาดไปได้ครึ่งทางแล้วก็หยุดลงกลางคัน ถึงขนาดที่ไม่มีชิ้นงานที่สำเร็จเลยแม้แต่ชิ้นเดียว!

“จักรพรรดิเก้าเมฆาบำเพ็ญอยู่ที่นี่แล้วคงจะมีการตระหนักรู้อะไรบางอย่าง จึงได้วาดภาพลงไปบนกำแพงอย่างลวกๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา ภาพฝาผนังบนกำแพงของสถานที่ที่ผู้แกร่งกล้าบำเพ็ญนั้นสามารถพบเห็นได้อยู่บ่อยๆ

“บรรดาศาสตร์ลับที่เสร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง คาดว่าคงต้องเขียนลงไปเป็นตำราทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้มิได้เสร็จสมบูรณ์ ก็เลยทิ้งเอาไว้บนกำแพงอย่างลวกๆ”

“ก่อนจะจากไปก็ดูร่องรอยของภาพวาดเหล่านี้สักรอบหนึ่งก่อน บางทีอาจจะได้อะไรไปบ้างก็เป็นได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอย่างละเอียด

ดูไปพลางก็ขมวดคิ้วไปพลาง เพราะว่าช่างยากเย็นเกินไปเสียแล้ว! บรรดาศาสตร์ลับที่แม้แต่จักรพรรดิเก้าเมฆายังมิอาจสำเร็จได้ก็ย่อมมิใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว

มองไปทั่วทุกแห่ง มีบางครั้งที่สามารถเข้าใจได้อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็สามารถเข้าใจได้เพียงผิวเผินเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงดูไปพลาง เดินเลียบกำแพงไปพลาง ทันใดนั้นก็มาถึงบริเวณมุมห้อง มองดูภาพวาดที่ต่อเนื่องกันบนกำแพงซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นสี่ภาพ สามภาพแรกนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนภาพที่สี่นั้นยังไม่สมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือศาสตร์ลับสักชนิดหนึ่งที่ไม่เสร็จสมบูรณ์

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพวาดทั้งสี่ตรงหน้า

พรึ่บ…

ทันใดนั้นด้านหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแล้วกลายเป็นเค้าร่างของภาพค่ายกลสามมิติอันซับซ้อนภาพหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังทดลองใคร่ครวญดูแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งอย่างยิ่งมาโดยตลอด ทว่าเขากลับค่อยๆ เผยสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ตามการศึกษาใคร่ครวญอย่างต่อเนื่อง

“นี่ นี่มัน…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง เบาะรองนั่งที่อยู่ไกลออกไปก็ร่อนตรงมาตกอยู่ใต้ร่าง เขานั่งขัดสมาธิลงไปในทันใด แล้วเริ่มต้นหยั่งรู้อย่างสุดกำลัง “นี่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับระบบผู้ท่องอากาศของข้ากระมัง”

………………………………………………