ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 26 ส่วนประกอบของห้วงอากาศ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 26 ส่วนประกอบของห้วงอากาศ โดย Ink Stone_Fantasy

 

ภาพวาดทั้งสี่ที่มุมกำแพงของห้องเงียบ มีสามภาพที่เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนอีกภาพยังไม่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็ยิ่งทวีความซับซ้อน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมรวบรวมพลังงานในการหยั่งรู้ภาพแรกที่ดูสามารถเข้าใจได้มากกว่าสักหน่อยก่อนอยู่แล้ว

“ศาสตร์ลับที่ยังไม่สมบูรณ์ศาสตร์นี้เป็นของทางห้วงอากาศ” เส้นสายของภาพค่ายกลสามมิติจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงลอยละลิ่ว ภาพค่ายกลยิ่งทวีความประณีตและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ “ภาพวาดภาพแรกนี้… ต้องการความรู้ในด้านห้วงอากาศอันสูงลิบลิ่ว แต่ว่าข้าเป็นผู้ท่องอากาศ ความรู้ในด้านห้วงอากาศนั้น ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนส่วนมากก็ยังสู้ข้ามิได้เลย”

นี่เป็นความจริง

มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางส่วนที่เป็นระบบเหล่ากลืนกิน มีบางส่วนที่เป็นระบบสายโลหิต มีบางส่วนที่เป็นระบบศาสตร์โบราณสักศาสตร์หนึ่ง ความรู้ทางด้านห้วงอากาศที่พวกเขามีนั้นต่ำต้อยอย่างแท้จริง เหตุผลที่พวกเขาสามารถแหวกทางเชื่อมกาลมิติออกมาที่โลกทิพย์ได้โดยตรงก็เป็นเพราะว่าอาณาเขตกฎเกณฑ์ของพวกเขาต่างก็สามารถก่อร่างเป็นจักรวาลขนาดย่อส่วนได้ด้วยกันทั้งสิ้น! ‘จักรวาลขนาดย่อส่วน’ ภายใต้อาณาเขตนั้นสามารถควบคุมห้วงอากาศได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด ดังนั้นจึงสามารถมาถึงก้าวนี้ได้ มิใช่ว่าพวกเขามีการหยั่งรู้สะสมที่สูงส่งล้ำลึกในด้านห้วงอากาศ

ทว่าวิถี ‘ผู้ท่องอากาศ’ นั้นแตกต่างกัน การบำเพ็ญวิถีนี้ต่างก็ดึงเอาพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านมา วิชาลับผู้ท่อง ก็เป็นเคล็ดวิชาหนึ่งที่รู้แจ้งในด้านห้วงอากาศอย่างสูงส่งลึกล้ำมากยิ่งขึ้น ยิ่งบำเพ็ญไป ความรู้ในด้านห้วงอากาศก็ยิ่งทวีความสูงส่งลึกล้ำ ควบคุมได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ดังนั้น…

ภาพวาดสี่ภาพที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเหลือทิ้งเอาไว้นี้จึงมีขอบประตูกั้นอันสูงลิบลิ่ว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปได้อย่างลึกล้ำด้วยความรวดเร็วยิ่ง

“นี่มัน”

“ถึงกับเป็นทิศทางที่แตกต่างกันเชียวหรือนี่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ค่อยๆ หยั่งรู้ เริ่มจะตกตะลึงตามมาเสียแล้ว “ถึงขนาดตรงข้ามกันกับระบบผู้ท่องอากาศเลยทีเดียว”

ระบบผู้ท่องอากาศนั้นนับได้ว่าควบคุมห้วงอากาศอย่างเต็มตัว

และภาพวาดตรงหน้าภาพนี้… ก็คล้ายกับการผ่าชำแหละห้วงอากาศ สำรวจส่วนประกอบที่ ‘เล็กที่สุด’ ของห้วงอากาศ

“ส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของห้วงอากาศอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ

พรึ่บ!

เขาก็สำรวจห้วงอากาศด้วยเช่นกัน

ตรงหน้าดูเหมือนเป็นห้วงมิติอันว่างเปล่า ภายใต้การสำรวจของสายตาเขากลับขยายใหญ่ขึ้นในทันที ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น…กลางห้วงอากาศเริ่มมีพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมา นี่คือพลังฟ้าดินที่แผ่ไปทั่วทุกหนแห่ง พลังงานเหล่านี้คือส่วนประกอบที่เป็นอนุภาคเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับโจ๊กที่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง อัดแน่นไปทั้งห้วงอากาศอย่างไรอย่างนั้น

“ขยายใหญ่ขึ้นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งสำรวจเข้าไปอย่างลึกล้ำขึ้นอีก

พรึ่บ

อนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีอัดตัวกันแน่น ทุกอันล้วนใหญ่มหึมาปานดาวเคราะห์อยู่ตรงหน้า ระยะห่างระหว่างอนุภาคเหล่านี้ก็ใหญ่โตอย่างยิ่ง กว้างใหญ่ไพศาล

“ใหญ่ขึ้นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองความว่างเปล่าในระยะห่างระหว่างอนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วนอันกว้างใหญ่นั้น อ้างอิงจากความเร้นลับในภาพวาดแรกในภาพวาดทั้งสี่ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ ก็คือต้องการจะสำรวจส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของห้วงอากาศ

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทกำลังสำรวจ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ลึกขึ้นอีกแล้ว สำรวจมาจนถึงขั้นนี้ ก็นับได้ว่าการควบคุมห้วงอากาศของเขานั้นสูงส่งเป็นที่สุดแล้ว

“ดูท่าทางแล้วยังต้องอาศัยความเร้นลับในรูปภาพนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยั่งรู้ภาพวาดนี้อย่างระมัดระวัง

……

ในระหว่างการหยั่งรู้ เวลาดูเหมือนจะเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดแล้ว ภายในสองตาของเขามีภาพค่ายกลฉายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทวีความลึกลับมากยิ่งขึ้นอีก

“ฟิ้ว”

ภายใต้การสำรวจของสองตาของตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงแม้ว่าระยะห่างระหว่างแต่ละอนุภาคของพลังฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนจะกว้างใหญ่ แต่กลับว่างเปล่ามองอะไรไม่ออก แต่ในขณะนี้ อาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันทันใด… พูดว่าเป็นการสำรวจด้วยตาก็จริง แต่ความจริงแล้วหลังจากการหยั่งรู้ การตระหนักรู้ของจิตวิญญาณก็ยิ่งล้ำลึกขึ้น สิ่งที่วิญญาณสัมผัสรับรู้ ก็เท่ากับการมองเห็นด้วยตาแล้ว

ระยะห่างระหว่างอนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนี้กว้างใหญ่จนไร้ซึ่งขอบเขต ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสังเกตไปจนพบการมีอยู่อันขมุกขมัวรางเลือน

ราวกับผ้าสีดำอันไร้ซึ่งขอบเขตผืนหนึ่ง!

ห้วงอากาศ มีพื้นฐานเป็นผ้าสีดำอันไร้ขอบเขตผืนหนึ่งอย่างนั้นหรือ

“ไม่ถูกสิ”

“ข้ายังมิได้หยั่งรู้ภาพวาดนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ชัดเจนว่ายังชำแหละห้วงอากาศได้ไม่ลึกล้ำพอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยั่งรู้ต่อไป ในขณะนี้เขามีความตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะเขารู้สึกได้รางๆ ว่าเขากำลังสัมผัสกับด้านที่ไม่เคยล่วงรู้และลึกลับของโลกอยู่

มีแรงผลักดัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจและหยั่งรู้อย่างสุดกำลัง

ไม่รู้เลยว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด…

หลายครั้งที่ติดค้างอยู่ จนถึงขนาดที่เขาหันไปสำรวจวิชาลับผู้ท่อง พอได้รับบางสิ่งจากวิชาลับผู้ท่องแล้วก็หันมาหยั่งรู้ภาพวาดภาพแรกนี้ ถึงขนาดที่วิชาลับผู้ท่องก็ไปถึงระดับขั้นที่สี่สิบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดจะยกระดับอีกก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว ระดับขั้นที่สี่สิบไปถึงขั้นที่สี่สิบเอ็ด…เป็นการยกระดับที่จำเป็นในการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน ดังนั้นระดับความลึกลับของภาพค่ายกลของวิชาลับผู้ท่องก็มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเช่นกัน

“ปัง…”

เพราะว่าความรู้ในด้านห้วงอากาศสูงพอ

ทั้งยังเป็นเพราะว่าการหยั่งรู้ก็สูงส่งเป็นที่สุดเช่นกัน

แล้วยังมีการชี้นำจากภาพวาดภาพแรกอันเสร็จสมบูรณ์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา ผนวกกับแรงผลักดันอันพลุ่งพล่าน ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบทางสว่างอย่างฉับพลัน หยั่งรู้ภาพวาดภาพแรกนี้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยสมบูรณ์แบบ

“ปัง” ก็เหมือนกับปุถุชนคนธรรมดาได้รับกล้องส่องทางไกล มองเห็นได้ไกลยิ่งขึ้น หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยั่งรู้ภาพวาดภาพแรกนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ยิ่งชำแหละห้วงอากาศนี้อย่างลึกล้ำมากยิ่งขึ้นในทันที

ฟิ้ว…

เดิมทีส่วนที่เล็กกระจิริดของห้วงอากาศในสายตา ต่างก็มองเห็นผ้าสีดำอันไร้ขอบเขตที่แสนเลือนราง ในขณะนี้ผ้าสีดำนี้กลับกลายเป็นใสกระจ่างอย่างรวดเร็วในสายตา ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นพันล้านเท่า ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นอนุภาคสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัด อนุภาคสีดำเหล่านี้เปลี่ยนแปรเป็น ‘ผ้าสีดำ’ อันไร้ขอบเขตชั้นแล้วชั้นเล่า

การซ้อนทับกันของผ้าสีดำอันไร้ขอบเขตชั้นแล้วชั้นเล่า ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ก่อร่างกลายเป็นการดำรงอยู่ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของห้วงอากาศ

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่งแล้วก็เข้าใจอย่างรางๆ

การเคลื่อนย้ายและการฉีกแยกทางเชื่อมกาลมิติออก…อันที่จริงแล้วโดยพื้นฐานจำเป็นต้องอาศัย ‘ผ้าสีดำ’ ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดนี้ในการก่อร่าง เพียงแต่ในอดีตนั้นใช้กันเป็น แต่มิได้เข้าใจเหตุผลที่สำคัญที่สุด ดังเช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นอาศัย ‘อาณาเขตจักรวาลขนาดย่อส่วน’ ในการบังคับควบคุมเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ดังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่อาศัยพลังควบคุมของทั้งห้วงอากาศ ต่อให้เป็นการหยั่งรู้วิถีอากาศภายในความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็เพียงแค่ควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์เท่านั้น แต่ก็มิได้ค้นพบอย่างแท้จริงว่า…สิ่งที่ขับเคลื่อนความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็คือ ‘ผ้าสีดำ’ เหล่านี้

“อนุภาคสีดำเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอนุภาคสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่เป็นส่วนประกอบของผ้าสีดำ

ในสายตาของเขา อนุภาคสีดำทุกอันต่างก็ดูเหมือนใหญ่กว่าแตงโมในสายตาของคนธรรมดาอยู่หลายเท่าอนุภาคสีดำเหล่านี้มิใช่ของแข็ง หากแต่ดูเหมือนลูกทรงกลมที่เกิดจากหมอกดำรวมตัวกันขึ้นมา ตรงจุดศูนย์กลางของทรงกลมหมอกดำมีหลุมสีดำอ่อนจาง คล้ายกับทางเดินเส้นหนึ่งที่นำไปสู่สถานที่อันเป็นปริศนา

“หลุมตรงกลางของอนุภาคสีดำที่เล็กกระจิริดที่สุดของห้วงอากาศนี้เหล่านี้จะนำทางไปที่ใดกันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความลังเลสงสัยและความตื่นเต้นอยู่ไม่สุข เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าสามารถสำรวจมาจนถึง ‘หลุมอนุภาคสีดำ’ ได้นั้นยากเย็นเพียงใด ภาพวาดภาพแรกที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเหลือทิ้งเอาไว้นี้ พูดถึงระดับความยาก ก็มิได้น้อยไปกว่าโลกอนธการกระบวนท่าที่สอง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ เลย

เพราะมีวิถีผู้ท่องอากาศที่รอบรู้และควบคุมห้วงอากาศ และเขาก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงระดับขั้นที่สี่สิบแล้ว มีสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน! อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาจากภาพวาดภาพแรกอันเสร็จสมบูรณ์ที่จักรพรรดิได้เหลือทิ้งเอาไว้ให้ ก็ยังต้องสิ้นเปลืองเวลาหกสิบล้านปีจึงจะสำเร็จได้เช่นเดิม

“ลองดูสิว่าที่แท้แล้วจะนำทางไปที่ไหนกัน”

สัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุผ่านรูของอนุภาคสีดำเข้าไป

………………………………………