บทที่ 2105+2106

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2105 พร้อมหน้า 3

เถิงเสอเห็นพวกเขาดั่งได้พบดาวนำโชค รีบติดต่อหานายน้อยทันที จากนั้นก็บอกให้นายน้อยรีบกลับมา…

หนิงเสวี่ยโม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนบุตรชายจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก

ไม่ได้พบหน้ากันหกปีแล้ว ไม่รู้ว่าบุตรชายตัวน้อยจะเติบใหญ่ขึ้นปานใด ยามที่พวกนางสามีภรรยาจากไป เด็กคนนั้นยังเหมือนเด็กน้อยวัยห้าหกขวบอยู่เลย…

ยามที่นางนึกถึงบุตรชาย ในสมองจะปรากฏภาพของเขาในวัยเยาว์ขึ้นมา

หลายปีมานี้นางท่องไปตามทวีปต่างๆ ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ไม่น้อยเลย เมื่อพบสิ่งที่เด็กเล็กๆ น่าจะชอบ นางล้วนซื้อมาทั้งสิ้น เก็บไว้ในช่องมิติ เตรียมไว้ว่าพอได้พบหน้าบุตรชาย ก็จะมอบให้เขา

บุตรชายยังเยาว์ปานนั้นก็ต้องถูกทิ้งให้เผชิญกับทุกสิ่งที่ทวีปนี้เพียงลำพังแล้ว ทุกครั้งที่หนิงเสวี่ยโม่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาจะปวดใจและรู้สึกผิดยิ่งนัก อยากจะชดเชยให้บุตรชายอย่างดี

ด้านนอกแว่วเสียงเถิงเสอที่ร้องขึ้นมาด้วยความปรีดา

“นายน้อยกลับมาแล้ว!”

หนิงเสวี่ยโม่ลุกขึ้นมาทันที เตรียมจะมอบ ‘อ้อมกอดอันอบอุ่น’ เพื่อรับขวัญบุตรชาย เด็กน้อยคนนั้นชอบออดอ้อน ครั้งนี้พอเห็นนางเขาจะต้องโผตัวเข้าสู่อ้อมแขนของนางแน่นอน

นางก็อยากกอดลูกน้อยยิ่งนักแล้ว…

ผลคือ นางต้องสะดุ้งเฮือก!

ผู้ที่พุ่งเข้ามาในแวบเดียวคือเด็กหนุ่มรูปงามเหนือธรรมดาคนหนึ่ง ชุดคลุมสีเขียวอ่อนตัวหลวมกว้างที่สวมอยู่ทำให้ร่างกายสูงโปร่งของเขาเสมือนหยก เครื่องหน้าหล่อเหลาคมคายยิ่งนัก ยามที่สายตาคู่นั้นมองผู้คน เสมือนซุกซ่อนขุนเขาสายธารอันคดเคี้ยวไว้ ทำให้คนหวั่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้อด้อยเพียงอย่างเดียวคือเด็กหนุ่มคนนี้ดูซีดเซียวไปหน่อย ราวกับอดนอนมาหลายวันแล้ว…

ขณะที่หนิงเสวี่ยโม่กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าเด็กหนุ่มที่รูปงามถึงเพียงนี้เป็นขุนนางเซียนท่านใดที่มากราบคารวะ อีกฝ่ายก็เปิดปากเอ่ยแล้ว

“ท่านพ่อ ท่านแม่!”

‘เพล้ง!’ ถ้วยน้ำชาในมือหนิงเสวี่ยโม่หล่นลงพื้น

อะไรนะ?!

เสินจิ่วหลี่กลับไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย รินน้ำชาแล้วส่งให้นางใหม่อีกถ้วย จากนั้นก็หันกลับไปเด็กหนุ่ม

“เจ้าหนู โตขึ้นมากนี่!”

….

หนึ่งเค่อผ่านไป ในที่สุดหนิงเสวี่ยโม่ทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ‘ลูกน้อยของบ้านตนเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว’ อย่างกึ่งยินดีกึ่งผิดหวัง เมื่อเห็นว่าบุตรชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่ซ้ำยังบรรลุขั้นจินเซียนแล้ว เป็นสิ่งที่นางยินดี

สิ่งที่ผิดหวังคือ นางไม่ได้อยู่เป็นประจักษ์พยานในการเจริญเติบโตของบุตรชายด้วยตัวเอง นี่เป็นความบกพร่องอย่างมหันต์ ในจิตใต้สำนึกของนางยังคะนึงหาก้อนแป้งน้อยผู้นั้นอยู่บ้าง

เดิมทีนางคิดจะโอบกอดบุตรชายให้เต็มรัก แต่เขาเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว…

สองแขนของนางที่เดิมทีกางออกแล้วร่วงผล็อยลงในวินาทีที่บุตรชายเข้ามา

นางอดไม่ได้ที่จะมองบุตรชายครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กคนนี้รูปงามมากพอ ไม่ด้อยไปกว่าเสินจิ่วหลี่บิดาของเขาเลย แต่ว่าเครื่องหน้ากลับไม่ละม้ายพวกเขาสามีภรรยา…

ทำให้นางแทบนึกสงสัยว่าเด็กคนนี้สวมรอยแอบอ้าง

ดังนั้นระหว่างที่พูดคุยกับบุตรชายอยู่ ยังคงอดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปที่ประตูอยู่เป็นระยะๆ สงสัยว่าอีกประเดี๋ยวเสี่ยวเนี่ยนโม่ที่นางคุ้นเคยจะยังกระโดดโลดเต้นเข้ามา ไชโยโห่ร้องแล้ววิ่งเข้ามาขอให้นางอุ้ม…

แน่นอน เรื่องจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว ไม่มีเด็กน้อยคนที่สองเข้ามาอีกแล้ว เด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้คือบุตรชายที่แยกจากกันไปหกปีของนาง

ครอบครัวรวมตัวพร้อมหน้าอีกครั้งหลังจากแยกจากกันไปหกปี ยังคงทำให้ผู้คนมีความสุขยิ่งนัก

เสินจิ่วหลี่ทดสอบผลการเรียนของเขา พบว่าขามีความรู้มากกว่าที่คาดเอาไว้ พลังยุทธ์ก็ยอดเยี่ยมกว่าที่เขาคะเนไว้

เขาปลาบปลื้มนัก ด้วยเหตุนี้จึงมอบตำราให้บุตรชายอีกสองชุด บอกว่าตอนที่อยู่ด้านนอกเขาเขียนขึ้นมาเพื่อสภาพร่างกายของบุตรชายโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับการฝึกฝนของบุตรชายที่สุด…

เสินจิ่วหลี่ยังลงครัวเองอีกด้วย ปรุงอาหารเลิศรสสุราชั้นยอดหนึ่งโตะ

เมื่อตี้ฝูอีมาช่วยทำครัว เสินจิ่วหลี่ก็รู้สึกยินดีที่ค้นพบว่า บุตรชายที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านงานครัวมาโดยตลอด ทำอาหารเป็นแล้ว!

โดยเฉพาะการปรุงน้ำแกงปลาทำได้ดีพอๆ กับเขาเลย…

ตี้ฝูอีขยันขันแข็งยิ่ง ช่วยทำนู่นทำนี่ เสินจิ่วหลี่เพลิดเพลินไปกับความกระตือรือร้นของบุตรชาย จวบจนทำอาหารใกล้จะเสร็จแล้ว เสินจิ่วหลี่พลันเอ่ยขึ้นมาว่า

“ลูกรัก เจ้ามีเรื่องจะขอให้พ่อช่วยกระมัง?”

….

————————————————————————————-

บทที่ 2106 พลางสบประมาทเจ้าเด็กเหลือขอของบ้านตนไปด้วย

เนื้อกระต่ายเซียนที่ตี้ฝูอีกำลังจัดการอยู่แทบจะร่วงลงพื้นแล้ว!

ท่านพ่อของเขาไม่เคยเรียกเขาว่าลูกรักเลย ครั้งนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา?

ขนลุกเหลือเกิน!

ตี้ฝูอีแทบอยากลูบขนแขนที่ลุกชันขึ้นมาให้ลู่ลง เขามองไปที่บิดาบังเกิดเกล้าของตน ไม่ได้พบกันหลายปี แทบไม่เปลี่ยนไปเลย

ยามนี้มหาเทพกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม

บิดาเขาไม่ค่อยยิ้มง่ายๆ แต่ถ้าเขายิ้ม นั่นคือกำลังจะเล่นงานเขา…

หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะหาวิธีแข่งขันประชันปัญญากับท่านพ่อ อย่างมากก็แค่ถูกเขาโยนเข้าไปในเขตแดนอันใดอีกครั้ง ไม่เสียหายอะไร

แต่ตอนนี้เวลาของเขามีค่ายิ่งนัก จะเสียเวลาไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ท่านพ่อ ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าตามหาคนผู้หนึ่ง”

“ผู้ใด? ชาย? หญิง? แต่งงานแล้วหรือยังโสด?”

ตี้ฝูอีนิ่งไปเล็กน้อย ทุกครั้งที่ท่านพ่อเขาเอ่ยถามล้วนเฉียบขาดตรงประเด็นเสมอ…

“คนผู้นั้นท่านพ่อก็รู้จัก คนลึกลับหน้ากากผี นางยังเป็นสาวพรหมจรรย์”

เสินจิ่วหลี่มองบุตรชายอย่างยิ้มมิเชิงยิ้มแวบหนึ่ง

“นางนี่เอง พ่อรู้จักจริงๆ นั่นแหละ เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันอยู่ไม่กี่ครั้ง คะเนดูแล้วนางก็นับว่าเป็นผู้อาวุโสของเจ้าเช่นกัน พ่อยังนึกอยู่เลยว่าวันหน้าถ้ามีโอกาสจะคบค้าสมาคมกับนาง หาสหายหญิงที่รู้ใจกันให้แม่เจ้าสักคน…”

ตี้ฝูอีลอบกัดฟัน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ท่านพ่อ นางอายุแค่สองร้อยสามสิบสองปี แต่ท่านพ่ออายุหลายหมื่นปีแล้ว นับว่านางเป็นชนรุ่นหลังของท่าน เป็นคนรุ่นเดียวกับข้า…”

เสินจิ่วหลี่เลิกคิ้ว

“นางเยาว์วัยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?! ไม่ธรรมดาเลย! อายุเท่านี้ก็มีพลังยุทธ์สูงล้ำปานนี้แล้ว อัจฉริยะผู้เลิศล้ำ! เนี่ยนโม่ จุดนี้นางเก่งกาจกว่าเจ้ามากนัก ด้วยระดับบำเพ็ญในปัจจุบันของเจ้า เกรงว่าเมื่ออายุเท่านาง ก็คงพอจะทะลวงสู่ขั้นซ่างเซียนอย่างพอถูไถได้…”

เสินจิ่วหลี่แสดงท่าทีชื่นชมเยินยอลูกของบ้านอื่น พลางสบประมาทเจ้าเด็กเหลือขอของบ้านตนไปด้วย

ตี้ฝูอีอดกลั้นไว้ ตัดสินใจไม่ถือสาหาความกับเขา

“นางเฉลียวฉลาดยิ่งนักจริงๆ ข้าก็ชื่นชมนางเช่นกัน ท่านพ่อ ท่านช่วยข้าตามหานางได้หรือไม่?”

“คนผู้นี้ไปมาไร้ร่องรอยเสมอ เจ้าทุ่มเทตามหานางไปทำไม? หรือรังเกียจว่าพ่อจัดหาอาจารย์ให้เจ้าไม่เพียงพอ จึงอยากได้เพิ่มอีกคน?”

ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย เขารู้สึกว่าวันนี้คงไม่ได้คุยกันต่อแล้ว!

วิชาพยากรณ์ของบิดาเขาล้ำเลิศน่าตะลึง ทำนายแม่นตรงจุด มีชื่อเสียงยิ่งนักในแดนพ้นโศก

ตอนนี้ตี้ฝูอีชักสงสัยแล้วว่าระหว่างที่บิดาเขารอนแรมอยู่ด้านนอกสติปัญญาถดถอยลงหรือไร หรือว่าชื่อเสียงว่าทำนายแม่นตรงจุดจะเป็นความเท็จ

มิเช่นนั้นเขาจะเดาไม่ออกเลยหรือว่าบุตรชายของเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่?

อาจเป็นเพราะสายตาที่ตี้ฝูอีมองเสินจิ่วหลี่ค่อนข้างคล้ายสายตาที่ใช้มองคนด้อยปัญญา เสินจิ่วหลี่จึงทาบฝ่ามือลงบนไหล่เขา

“เจ้ากำลังตำหนิอันใดพ่ออยู่ในใจกระมัง?”

ตี้ฝูอีเงียบงันมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม

สองพ่อลูกจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นจิ่วหลี่พบว่าอำนาจของเจ้าเด็กคนนี้ไม่ด้อยไปกว่าตนเลย ความเฉียบคมในดวงตาทำให้คนหวั่นใจได้…

อย่างไรก็ตามมิใช่ว่ายามเยาว์เป็นซาลาเปาน้อยขี้อ้อนหรอกหรือ…

มายามนี้บนร่างมีอำนาจของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อยู่รางๆ แล้ว เพียงแต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

เขาถอนหายใจ เอ่ยถามบุตรชาย

“เล่ารายละเอียดมาเถอะ กับพ่อไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อม”

ตี้ฝูอีจ้องมองบิดาของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมา แน่นอนว่าเขาก็มีส่วนที่เก็บงำไว้เช่นกัน อย่างเช่นเรื่องที่กู้ซีจิ่วมีคนในใจแล้ว และคนผู้นั้นก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นสามีของนางด้วย

เขาเล่าประเด็นหลักที่เกี่ยวกับเขาและกู้ซีจิ่วรวมถึงทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้…

สุดท้ายเขาก็มองไปที่บิดาของตนด้วยสายตาแวววาว

“นางถูกวังน้ำวนมืดมิดพาตัวไปในระหว่างที่เกิดทัณฑ์สวรรค์ นางถูกพาไปไว้ที่ไหน? ท่านพ่อสามารถทำนายได้หรือไม่?”

———————————————