บทที่ 2107+2108

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2107 ถึงอย่างไรพวกท่านก็ว่างมากอยู่แล้ว

เสินจิ่วหลี่ถอนหายใจ

“แดนอสุรา”

“อะไรนะ?”

“นางแพร่งพรายความลับแห่งลิขิตสวรรค์ ถูกลงทัณฑ์ให้ไปยังแดนอสุรา”

สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเคยได้ยินเรื่องแดนอสุราแห่งนี้

เป็นสถานที่ที่มีขนาดเล็กที่สุดแห้งแล้งกันดารที่สุดในบรรดาโลกเบื้องล่างที่มีอยู่นับหมื่นแสน เป็นสถานที่ลำบากยากแค้น ร่ำลือกันว่าที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย มนุษย์ มาร ปีศาจ  ปะปนกันไปทั่ว และที่นั่นมนุษย์มีอยู่น้อยที่สุด มักจะกลายเป็นเบี้ยล่างของอีกสามเผ่าพันธุ์ที่เหลือ…

สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายแปรเปลี่ยนให้สรรพสิ่งมีนิสัยดุร้ายโหดเหี้ยม ตามคำบอกเล่าของชาวเซียนในแดนพ้นโศก สิ่งมีชีวิตของที่นั่นล้วนแต่ดื้อรั้นมุทะลุ เป็นสถานที่ที่ทวยเทพชิงชังทอดทิ้ง ไม่นึกเลยว่ากู้ซีจิ่วจะถูกส่งไปที่นั่น!

มิน่าล่ะนางถึงกลับมาไม่ได้ มิน่าล่ะชื่อของนางที่อยู่บนเสาทำเนียบเซียนถึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ ดูเหมือนนางจะมีชีวิตอยู่ที่ฝั่งนั้นอย่างลำบากยากแค้นเกินบรรยาย…

กฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ที่น่าตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้!

คงเป็นเพราะมองออกว่าบุตรชายไม่พอใจในกฏเกณฑ์แห่งลิขิตสวรรค์ เสินจิ่วหลี่จึงราดน้ำมันลงไปอีก

“อันที่จริงที่พ่อกับแม่ของเจ้าต้องจากเจ้าไปยังดินแดนอื่น ก็เป็นเพราะถูกลิขิตสวรรค์บีบบังคับ ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ปีนั้นพ่อก็เคยฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ไปหลายครั้ง ทำให้แม่ของเจ้าได้รับความทุกข์ทรมานมากมายอย่างที่ยากจะจินตนาการได้…”

“ลิขิตสวรรค์นี้ช่างวิปริตนัก!”

ตี้ฝูอีทนไม่ไหววิจารณ์ออกมาประโยคหนึ่ง

เสินจิ่วหลี่มองบุตรชายแวบหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า

“กฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ถูกบัญญัติโดยเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ กฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์เป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์นั้นมีชีวิต”

ที่แท้ยังมีเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อยู่ด้วย…

ตี้ฝูอีพบตัวคนร้ายแล้วจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ดูเหมือนเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ผู้นี้จะเป็นเทพที่เลือดเย็นไร้เมตตา”

เสินจิ่วหลี่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ร่วมแบ่งปันความชิงชังที่มีต่อศัตรูกับบุตรชายอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก

“ใช่! พ่อก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”

สองพ่อลูกล้วนตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน หนนี้เมื่อพบคนที่ร่วมด่าทอต่อว่าเป้าหมายแล้ว จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อย่างเจ้าคำข้าคำอยู่หลายประโยค ตี้ฝูอียังคงเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้ว่า

“ท่านพ่อเคยพบเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์หรือไม่?”

เสินจิ่วหลี่มองบุตรชายแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างหนักแน่นยิ่ง

“เคย! สายสัมพันธ์ล้ำลึกนัก!”

เสินจิ่วหลี่เป็นผู้พิทักษ์ลิขิตสวรรค์ เขาจะเคยพบเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็ไม่แปลก มีสายสัมพันธ์ลึกล้ำก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่ได้คิดมาก

เขาถามเรื่องอื่นกับเสินจิ่วหลี่อีก

“ท่านพ่อ ท่านชำนายชะตาได้ เช่นนั้นท่านทำนายให้หน่อยเถิดว่าสุดท้ายแล้วข้ากับนางมีวาสนาต่อกันหรือไม่?”

เสินจิ่วหลี่จึงย้อนถามเขา

“หากพ่อทำนายว่าเจ้าไม่มีวาสนาต่อนาง เจ้าจะยอมรามืออย่างสิ้นเชิงไหม?”

“แน่นอนว่าไม่! ข้าจะหาทางเปลี่ยนแปลงวาสนาที่ไม่มีให้มีขึ้นมา!”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังต้องทำนายอะไรอีก? จำเอาไว้ ชะตาเจ้าอยู่ในมือของเจ้าเอง”

เสินจิ่วหลี่ยื่นน้ำแกงไก่ชามหนึ่งให้เขา

ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงไม่ต้องการให้เสินจิ่วหลี่ช่วยทำนายชะตาให้เขาอีก

เขาเอ่ยถามเรื่องที่สำคัญที่สุด

“จะไปแดนอสุราได้อย่างไร?”

มือของเสินจิ่วหลี่ชะงักไปเล็กน้อย มองเขาแวบหนึ่ง

“สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่สถานที่ดีอันใด! ถ้าโชคไม่ดีเจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสให้กลับมา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ เอาไว้ที่นั่น เจ้าอยากไปจริงๆ น่ะหรือ?”

“อยากไป! ข้าต้องไปช่วยนางกลับมา”

“โง่งม วรยุทธ์นางแกร่งกล้าถึงเพียงนั้นยังติดอยู่ที่นั่นเลย ด้วยวรยุทธ์แมวสามขาของเจ้าในยามนี้ ไปแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะช่วยเหลือนางได้”

เสินจิ่วหลี่โจมตีเขา

“ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไง?”

ตี้ฝูอีแน่วแน่ไม่หวั่นไหว

“ลองรึ? หากว่าเจ้ากลับมาไม่ได้เล่า?”

“อืม เช่นนั้นพวกท่านทั้งสองโปรดให้กำเนิดบุตรอีกสักคนเถิด ถึงอย่างไรพวกท่านก็ว่างมากอยู่แล้ว”

เสินจิ่วหลี่พูดไม่ออกแล้ว

ไอ้ลูกคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย ยังไม่ทันได้แต่งภรรยา ก็คิดจะละทิ้งบุพการีแล้ว…

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่บุตรชายคนนี้จะอยู่ดูแลกตัญญูต่อเขาก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว หากว่าเขารู้สึกตัวขึ้นมา…

————————————————————————————-

บทที่ 2108 เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม?

เฮ้อ ดูเหมือนโครงการบุตรคนที่สองคงต้องได้เข้าที่ประชุมอย่างจริงจังแล้ว

“กำไลของเจ้ายังอยู่ไหม?”

เสินจิ่วหลี่ถามเขา

“แน่นอน!”

ตี้ฝูอีทำให้กำไลปรากฏขึ้นบนข้อมือ เมื่อก่อนเขาสรรหาสารพัดวิธีเพื่อถอดกำไลวงนี้ทิ้งไป แต่ระยะนี้เขาดูแลรักษากำไลวงนี้เป็นอย่างดี เกรงว่าจะบุบสลาย…

แม้กระทั่งกำไลที่กู้ซีจิ่วมอบให้เถิงเสอเขาก็ยังเอากลับมาด้วย

เถิงเสอที่เป็นพวกงกสมบัติไม่ใคร่เต็มใจนัก แต่มันกล้าขุ่นเคืองทว่าไม่กล้าเอื้อนเอ่ย…

สายตาของเสินจิ่วหลี่กวาดมองกำไลที่ข้อมือเขาแวบหนึ่ง

“ดีแล้ว!”

พลางยื่นกับข้าวสองจานใส่มือบุตรชาย

“ถือออกไปซะ พวกเรากินข้าวพร้อมหน้ากันก่อน จำไว้ ต้องปลอบประโลมให้แม่เจ้ามีความสุข นางมีความสุขพ่อถึงจะมีความสุขด้วย ถ้าพ่อมีความสุขไม่แน่ว่าอาจจะคิดวิธีตามหาคนให้เจ้าออก”

คำข่มขู่นี้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง โชคดีที่ตี้ฝูอีเคยชินแล้ว จึงถือกับข้าวออกไป

“วางใจเถอะ!”

ด้วยเหตุนี้ การกินข้าวพร้อมหน้ากันสามคนจึงมีความสุขยิ่งนัก ตี้ฝูอีงัดความสามารถทั้งหมดออกมาปลอบประโลมให้มารดาของบ้านตนมีความสุข ทำให้หนิงเสวี่ยโม่หัวเราะอยู่ไม่ขาด ในที่สุดก็ทำให้ความรู้สึกผิดหวังที่จะ ‘ไม่ได้เห็นก้อนแป้งน้อยของบ้านตนอีกต่อไปแล้ว’ ของนางคลี่คลายลง

หนิงเสวี่ยโม่คิดอยู่แวบหนึ่ง ยังคงนำของเล่นที่เหมาะสมกับเด็กเล็กๆ ที่ซื้อหามาจากที่ต่างๆ ออกมามอบให้บุตรชาย ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ซื้อมาเพื่อเขา

ถึงแม้ลูกชายจะมีรูปลักษณ์เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเจ็ดขวบ…

ตี้ฝูอีรับมาโดยที่ไม่หน้าแดงเลยสักนิด ตอนนี้เขาย่อมไม่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้แล้ว แต่ลูกน้อยในวันหน้าของเขาน่าจะชอบ…

….

ณ แท่นเดินหน ตี้ฝูอียืนอยู่ด้านบนเพียงลำพัง ตรวจสอบเส้นทางที่ยิบย่อยปานใยแมงมุมที่อยู่รอบๆ แท่นสูง…

เขาไม่ได้พาเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋มาด้วย เนื่องจากเสินจิ่วหลี่บอกเขาว่า ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าสองตัวนี้ต่ำเกินไป ไปด้วยไม่ได้ ถ้าเขาดันทุรังพาพวกมันไป คาดว่าขาเข้าพวกมันเดินไป ขากลับคงต้องหามกลับมา ถ้าโชคไม่ดีอาจถูกเพลิงโลกันต์ภายในเส้นทางเผาจนสุกด้วย จะเป็นการนำอาหารไปส่งให้กู้ซีจิ่วเสียมากกว่า

กู้ซีจิ่วรักใคร่หวงแหนเจ้าสองตัวนี้ยิ่งนัก ถ้าถูกย่างจนสุกไปจริงๆ คาดว่าเส้นทางการเกี้ยวภรรยาของเขาจะยาวนานขึ้นกว่าเดิม…

โชคดีที่ก่อนออกเดินทางเขาได้สั่งการพวกไป๋เจ๋อเอาไว้แล้ว ให้พวกมันช่วยดูแลเจ้าสองตัวนี้หน่อย ห้ามปล่อยให้ถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก

พวกไป๋เจ๋อย่อมตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ

ส่วนคู่มหาเทพสามีภรรยาเนื่องจากยังมีภารกิจต้องไปจัดการ รั้งอยู่ที่ทวีปนี้ได้เพียงวันเดียว วันต่อมาพวกเขาก็ออกเดินทางต่อแล้ว

เพื่อเลี่ยงไม่ให้หนิงเสวี่ยโม่ต้องเป็นกังวล ตี้ฝูอีจึงไม่ได้เล่าเรื่องที่ตนไปตามหาคนที่แดนอสุราให้นางฟัง หวังเพียงให้นางออกเดินทางกับเสินจิ่วหลี่ไปจัดการธุระของพวกเขาอย่างสบายใจ

ถึงแม้เสินจิ่วหลี่จะปากร้ายกับบุตรชายอยู่เสมอ แต่เขายังคงห่วงใยบุตรชายยิ่งนัก พุดคุยกับเขาตลอดทั้งคืนอธิบายวิธีไปยังแดนอสุราให้เขาฟังอย่างละเอียด ซ้ำยังถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เขาหลายอย่าง แน่นอนว่าได้มอบของวิเศษคุ้มกายกองหนึ่งแก่บุตรชายอย่างคล้ายว่าไม่เสียดายเงินเลยด้วย…

ดังนั้นเมื่อตี้ฝูอียืนอยู่บนแท่นเดินหนแห่งนี้ในครั้งนี้ จึงมีความมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าจะสามารถข้ามไปยังแดนอสุราได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ไปตามหานาง!

เส้นทางบนแท่นเดินหนเหล่านั้นหมุนวนไม่หยุดนิ่ง มองแล้วลายตานัก

ตี้ฝูอีอยู่ท่ามกลางเส้นทางที่สับสนวุ่นวายเหล่านี้ ในที่สุดก็มองเห็นเส้นทางสีเถ้าเขม่าที่เขาตามหาแล้ว จากนั้นก็ย่อตัวกระโจนเข้าไป…

ซีจิ่ว ข้ามาแล้ว!

ไม่พบกันนานถึงเพียงนี้ เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม?

อืม นางน่าจะคิดถึงเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋มากกว่า…

หลังจากเขากระโดดเข้าไปแล้ว ถึงได้ทราบว่าที่แท้แล้วทางสายนี้บัดซบมากขนาดไหน!

หล่นร่วงหมุนคว้างลงไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าตนเหมือนอุกกาบาตที่พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศ เบื้องหน้าคล้ายจะลุกไหม้ขึ้นมาแล้ว!

โชคดีที่เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว พกของวิเศษคุ้มกาย และสวมชุดป้องกันด้วย ถึงพอจะยืนหยัดต้านไว้ได้

——————————————