ตอนที่ 424 ชนะศึกครั้งใหญ่

วาสนาบันดาลรัก

อากาศเดือนสิบสอง หนาวเสียจนทำให้คนกลัว ดีที่โรงม้าค่อนข้างแคบ กองฟางก็หนาสูง ทั้งยังมีผ้าห่มค่อนข้างใหม่เอี่ยมห่มอยู่บนร่าง สีหน้าที่กำลังหลับสบายของเขากลับดูสบายกว่าในอดีตที่ผ่านมาเสียอีก

 

 

หลัวจือหยาเดินเข้าไปทีละก้าว แล้วหยุดห่างจากบุรุษผู้นั้นเพียงครึ่งจั้ง นางก้มลงมองเขา

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ นั่งลง

 

 

อาเสวี่ยยืนอยู่หน้าประตู นางรู้สึกว่าหลัวจือหยาดูแปลกๆ จึงมองด้วยความสงสัย อาเสวี่ยเห็นนางยื่นมือไปลูบที่หน้าบุรุษผู้นั้นอย่างเบามือจึงหน้าแดงเรื่อขึ้นและค่อยๆ เบนสายตาไปทางอื่น

 

 

มือข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของหลัวจือหยาลูบผ่านหว่างคิ้วเขา ค่อยๆ เลื่อนลง จนหยุดที่มุมปาก แล้วเลื่อนไปลูบวนบนริมฝีปากเขาแผ่วเบา

 

 

บุรุษผู้นั้นยังคงหมดสติอยู่ เพราะการรบกวนนี้ทำให้เขาอ้าปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

อาจเพราะผ่านช่วงชีวิตที่ไม่รู้ชะตากรรมมานานเกินไป แม้ฟันของเขาจะเรียงเป็นระเบียบ แต่เมื่อมองดูในยามนี้กลับเหลืองจนเป็นประกาย ทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้ยิ่ง ทว่าหลัวจือหยาคล้ายมองไม่เห็นมัน นางใช้นิ้วมือลูบผ่านฟันแต่ละซี่ของเขาไป

 

 

อาเสวี่ยกำลังเป็นสาวน้อยสะพรั่ง แม้ตอนแรกจะเขินอายไม่กล้ามอง แต่ภายหลังกลับต้านความอยากรู้อยากเห็นตนไม่ไหว จึงค่อยๆ หันกลับไปมอง แรกเริ่มนางกัดริมฝีปากไว้ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ต่อมาก็ต้องเบิกตาถลน ล้มลงพื้นพร้อมกับเสียงร้องตกใจ

 

 

หลัวจือหยาหมุนกายกลับไป ในมือยังคงถือกรรไกรอันเล็ก ส่วนมืออีกข้างนั้นถือลิ้นสีชมพูชิ้นน้อยอยู่

 

 

บุรุษผู้นั้นจึงตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด เขากุมปากตนไว้แล้วนอนกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งทั้งทำเสียงฮึดฮัดแต่มิอาจเอ่ยอันใดออกมาได้ โลหิตไหลหยดออกมาตามมือของเขา

 

 

ใบหน้าหลัวจือหยามีรอยเลือดเป็นจุดๆ เปื้อนเต็มไปหมด เห็นแล้วช่างน่าหวาดกลัวนัก นางหันไปยิ้มให้กับอาเสวี่ย “อาเสวี่ย รบกวนไปเชิยท่านหมอมาที”

 

 

อาเสวี่ยเบิกตาโตคล้ายเห็นปีศาจกระนั้น นางรับคำเสียงพลางผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีแรงจะก้าวขาแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ล้มลงกับบพื้นอีกครา ครั้นเห็นหลัวจือหยาเดินเข้ามาใกล้จึงอ้าปากร้อง “อ๊ะๆๆ” นางตกใจจนร้องเสียงหลงและพยายามใช้มือตะกายพื้นเพื่อลุกขึ้น

 

 

หลัวจือหยาเดินมาถึงตรงหน้าอาเสวี่ยแล้วยื่นมือดึงนางขึ้น “รีบลุกขึ้นเถิด ญาติผู้พี่ข้าฝันร้ายจนเผลอกัดลิ้นตน คงต้องรบกวนเจ้าไปตามท่านหมอแล้ว”

 

 

อาเสวี่ยฝืนลุกขึ้น นางยืนจับขอบประตูไว้เพื่อเรียกสติตน แล้วรีบออกไปอย่างโซซัดโซเซ

 

 

“หา แม่นางผู้นั้นตัดลิ้นบุรุษที่อยู่ด้วยกันกับนางงั้นหรือ” เวินยาหันกำลังคิดบัญชีอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นจนทำบัญชีร่วงลงพื้น แต่มิได้สนใจเก็บกลับหันไปมองเจินเมี่ยวที่กำลังนั่งกินสาลี่แช่น้ำแข็งอยู่ด้านข้าง

 

 

สาลี่แช่น้ำแข็งนี้เย็นเหลือเกิน เจินเมี่ยวตั้งครรภ์อยู่จึงไม่กล้ากินมากนัก แต่ในช่วงเวลาที่นางต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ นางกลับอยากกินสิ่งนี้ขึ้นมาอย่างที่สุดจึงนำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ หวังจะกินสักชิ้นสองชิ้นเพื่อดับความกระหายอยาก

 

 

นางหยิบสาลี่แช่น้ำแข็งชิ้นบางเข้าปาก ขณะที่กัดไปเพียงครึ่งคำก็ได้ยินเรื่องการตัดลิ้นนี้เข้า เจินเมี่ยวรู้สึกว่าสาลี่ในปากทั้งลื่นทั้งเลี่ยนขึ้นมาโดยพลัน จนไม่ทราบว่าควรจะกินต่อหรือคายออกมาดี

 

 

ไป๋เสาที่ยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวรีบยกกระโถนเข้ามาให้ หลังจากผ่านความตกใจนั้นไปแล้ว เจินเมี่ยวก็ฝืนกลืนสาลี่นั้นลงท้องไป

 

 

“ไปเชิญท่านหมอมาก่อนเถิด” เจินเมี่ยวรู้สึกขมอยู่ในปาก จึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปากตน

 

 

“รีบไปเชิญท่านหมอมาเร็วเข้า!” เวินยาหันเอ่ย

 

 

เขาถูกตัดลิ้นออกมาเล็กน้อย เมื่อท่านหมอให้การรักษาอย่างทันท่วงที เขาจึงยังไม่ตาย เพียงแต่ยามเอ่ยปากก็จะมีแค่เสียง ‘อ๊ะๆๆ’ เขาไม่อาจพูดได้อีกแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวมองหลัวจือหยาอย่างไรอารมณ์ใดๆ

 

 

หลัวจือหยายังคงกำกรรไกรอันเล็กนั้นไว้แล้วยกขึ้นพลางผลิยิ้ม “กรรไกรนี้ข้าไว้ใช้ตัดด้ายยามซ่อม เย็บเสื้อผ้าให้ผู้อื่น ข้าลับมันทุกวัน คิดไว้ว่าสักวันจะใช้มันตัดชิ้นเนื้อสกปรกใต้หว่างขาเขาเสีย ในเมื่อเขายอมยกญาติผู้น้องให้บุรุษอื่นเพียงเพื่อแลกกับเนื้อวัวครึ่งจิน แล้วยังจะเก็บของเล่นที่ไม่ได้ใช้งานนั้นไว้ด้วยเหตุใดเล่า ทว่าเมื่อครู่ข้าเกิดใจอ่อนขึ้นมา แค่ผู้อื่นไม่ได้ชื่อของข้าที่เอ่ยออกมาจากปากเขาก็พอใจแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ากรรไกรนี้จะตัดลิ้นคนออกมาได้ง่ายดายเพียงนั้น”

 

 

นางเช็ดรอยเลือดบนกรรไกรอย่างทะนุถนอม แล้วเงยหน้ามองเจินเมี่ยว อารมณ์ในแววตานางซับซ้อนและสับสน แต่ที่มากกว่านั้นคือความหลุดพ้นโดยไร้ความหวาดกลัวใดๆ “ฮูหยิน ข้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปได้หรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวมองหลัวจือหยานิ่งนานจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่านางมิใช่คุณหนูใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นอีกแล้วจริงๆ

 

 

“ได้อย่างแน่นอน แต่กรรไกรนี้คมยิ่ง แม่นางมิต้องเก็บไว้แล้ว ประเดี๋ยวจะไปทิ่มผู้อื่นเข้า”

 

 

“ฮูหยินพูดถูกยิ่ง กรรไกรนี้มิควรเก็บไว้จริงๆ”

 

 

วันเวลาหลังจากนั้นของหลัวจือหยาก็คล้ายไม่ได้มีอันใดแตกต่างออกไป นางอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เวลาส่วนใหญ่คือเย็บปักผ้าอยู่ในห้องตน นางทำตัวเรียบง่ายประหนึ่งไม่มีตัวตน แต่ญาติผู้พี่ของนางนั้นถูกไล่ออกไปหลังจากรักษาบาดแผลเกือบหายดีแล้ว

 

 

แรกเริ่มเขาไม่ยินยอมจึงยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ศาลาว่าการ คอยร้องอ๊ะๆ เอะอะอยู่บ่อยครั้ง หลังจากถูกทหารซ้อมคราหนึ่งจึงรู้จักกลัวขึ้นมาและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ใกล้ถึงวันตรุษแล้ว แม้บรรยากาศจะดูอึมครึมมาตลอดแต่เจินเมี่ยวก็ไม่อยากให้อารมณ์ตนมีผลกระทบกับบุตรจึงให้ไป๋เสาไปหากระดาษแดงมาตัดเป็นลายบุปผาสวยงามไว้ติดตามหน้าต่าง

 

 

ตอนที่เวินยาหันเข้ามาในห้อง นางตกใจมากจึงเดินไปหาเจินเมี่ยวอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง รีบลุกขึ้นเร็ว ห้ามนั่งตัดกระดาษบนเตียง”

 

 

“หืม? เจินเมี่ยวถูกดึงให้ลุกขึ้นด้วยท่าทีมึนงง”

 

 

เวินยาหันจับนางนั่งลงบนเก้าอี้ที่รองด้วยพรมขนสัตว์ผืนหนา แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ มิอาจนั่งตัดกระดาษบนเตียงได้”

 

 

“มีความเชื่อเช่นนี้ด้วยหรือ”

 

 

“ใช่ เดิมข้าก็ไม่รู้ แต่แม่สามีข้าบอกไว้ว่าสตรีมีครรภ์ไม่อาจนั่งใช้กรรไกรบนเตียงได้ กลัวว่าบุตรจะปากแหว่ง”

 

 

ครั้นเห็นเจินเมี่ยวหน้ามิเปลี่ยนสี เวินยาหันจึงยิ้มออกมา “ความเชื่อบางอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่รู้ก็ไม่ผิด ข้าดูหน่อยเถิดว่าเจ้าตัดอันใด”

 

 

เจินเมี่ยวคลี่กระดาษที่ตัดแล้วให้นางดู

 

 

เป็นเงาร่างอันอ่อนช้อยงดงามของสตรีที่เงยหน้าขึ้นทำท่าทีคล้ายจะโบยบินขึ้นฟ้าทั้งมีผ้าพลิ้วล้อมอยู่รอบกาย ทิศทางที่นางจะทะยานไปคือดวงจันทร์กลมโตดวงหนึ่ง

 

 

“นี่…ฉังเอ๋อร์โบยบินไปดวงจันทร์หรือ” แววตาของเวินยาหันเต็มไปด้วยความชื่นชม “ญาติผู้น้อง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตัดกระดาษได้งดงามประณีตเพียงนี้ แต่เหตุใดพระจันทร์ถึงได้แหว่งไปเล่า”

 

 

เจินเมี่ยวมองคราหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “ญาติผู้พี่อย่าคิดว่ามันเป็นพระจันทร์เลย มองว่าเป็นขนมไหว้พระจันทร์ก็พอแล้ว”

 

 

นางไม่อาจพูดได้ว่าที่แหว่งไปเพราะมือกระตุกเมื่อครู่ จึงแก้ให้มันเป็นเช่นนี้เสยเลย

 

 

ฉังเอ๋อร์โบยบินไปดวงจันทร์ ที่แท้ฉังเอ๋อร์โบยบินไปหาขนมไหว้พระจันทร์หรอกหรือ! เวินยาหันอดจะยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้

 

 

เจินเมี่ยวเหล่มองนางแล้วถามว่า “ญาติผู้พี่มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือ เล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิด”

 

 

ใบหน้าเวินยาหันพลันเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที “ญาติผู้น้องทายถูกแล้ว ข้ามีข่าวดีอย่างยิ่งที่จะบอกเจ้าจริงๆ”

 

 

“ข่าวดีอันใด” ไม่ทราบด้วยเหตุใดยามเอ่ยคำถามนี้ออกมา เจินเมี่ยวกลับใจเต้นแรงขึ้นมา

 

 

“กองทัพของเราชนะศึกแล้ว แม่ทัพหลัวได้สังหารบุตรชายคนโตและคนรองผู้นำทัพของลี่อ๋องเรียบร้อยแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวตาเป็นประกายขึ้นมา “จริงหรือ”

 

 

ชัยชนะช่างมาอย่างกะทันหันนัก นางรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน

 

 

“เป็นเรื่องจริง จื้อหย่วนได้รับข่าวจากทางนั้นด้วยตนเองเลยทีเดียว ใช่แล้ว ด้านนอกมีคนผู้หนึ่งรอเจ้าอยู่ แม่ทัพหลัวส่งเขามา”

 

 

เมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามา เจินเมี่ยวก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “รองหัวหน้าฉือ?”

 

 

รองหัวหน้าฉือแสดงความเคารพ แต่ก็อดสอดสายตามองไปด้านหลังนางมิได้

 

 

“ท่านมาได้อย่างไร”

 

 

รองหัวหน้าฉือรีบเก็บสายตาตนทันที เขาตอบอย่างนอบน้อมว่า “แม่ทัพใหญ่ชนะศึกแล้ว แม่ทัพหลัวกลัวว่าท่านจะเป็นห่วงจึงส่งข้าน้อยมารายงานข่าวก่อน หากเซี่ยนจู่อยากทราบอันใดก็ถามข้าน้อยได้ขอรับ”

 

 

เขาไม่มีทางบอกจยาหมิงเซี่ยนจู่เด็ดขาดว่าเดิมทีหน้าที่นี้คงไม่มีทางตกมาถึงเขาได้ เพราะเจ้าคนพวกนั้นต่างพยายามแย่งชิงหน้าที่นี้เพื่อได้มาพบกับเซี่ยนจู่จนแม่ทัพหลัวโมโหหน้าดำคล้ำ เขาจึงแอบบอกความในใจของตนออกไปตามตรงถึงได้โอกาสนี้มา

 

 

“เขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

 

 

รองหัวหน้าฉืออึ้งไป แล้วรีบส่ายหน้า “ท่านแม่ทัพเก่งกาจกล้าหาญ ไหนเลยจะได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่สงครามเพิ่งสงบ มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ทั้งยังต้องคอยหาวิธีป้องกันแผนการแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งของลี่อ๋องจึงมิได้มาที่นี่ด้วยตนเองขอรับ”

 

 

เมื่อเห็นเจินเมี่ยวผ่อนคลายลง เขาจึงลอบถอนหายใจออกมา

 

 

“ไป๋เสา ไปยกน้ำชามาให้รองหัวหน้าฉือเร็ว อืม ข้าจำได้ว่ามีขนมไส้เนื้ออยู่ในเตาอบ ยกมาด้วยสักสองสามชิ้น”

 

 

สายตาเขามองตามหลังไป๋เสาไปแล้วอดกลืนน้ำลายมิได้

 

 

มิน่าเล่าเจ้าคนพวกนั้นถึงได้แย่งกันเพื่อมาที่นี่ อยากกินของอร่อยต้องไปหาเซี่ยนจู่ ไม่ผิดหวังเลยสักนิด! แม้การได้ยินคำว่าขนมไส้เนื้อจะน่าดีใจยิ่งแต่การได้ยินว่าแม่นางไป๋เสาจะยกมันมาให้เขากลับเป็นเรื่องที่มีความสุขมากกว่า

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

 

 

รองหัวหน้าฉือกลืนน้ำลายเพราะสาวใช้คนสนิทของนาง นางควรจะไล่เขาออกทันทีหรือทันใดดีเล่า

 

 

อืม ปัญหานี้ นางจะกลับไปถามไป๋เสาก่อนแล้วกัน

 

 

“รองหัวหน้าฉือ เชิญเจ้าค่ะ”

 

 

“โอ๊ะๆ ขอบคุณมาก” รองหัวหน้าฉือยิ้มจนแทบมองไม่เห็นตาแล้ว

 

 

ไป๋เสาผู้มีอารมณ์นิ่งเฉยเดินกลับไปยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าเขม็งเกร็ง

 

 

กระทั่งรองหัวหน้าฉือกินขนมไส้เนื้อรสชาติแสนอร่อยอย่างตะกละตะกลามเสร็จแล้ว เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามว่า “รองหัวหน้าฉือช่วยเล่าเรื่องการรบของทั้งฝ่ายให้ข้าฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้มิใช่ว่ากองทัพเราถูกกองทัพชิงเป่ยล้อมไว้หรอกหรือ”

 

 

ขนมไส้เนื้อตกถึงท้องหมดแล้ว แต่เขายังกินไม่อิ่มเลยจึงเลียริมฝีปากด้วยความเสียดาย “เป็นเพราะการวางแผนอันแยบยลของแม่ทัพหลัวแท้ๆ! กองทัพชิงเป่ยล้อมเมืองเฮยมู่ไว้ครึ่งเดือน แม่ทัพหลัวลอบนำทหารกล้าไม่กี่ร้อยนายออกไปนอกเมือง ฉวยโอกาสตอนที่ฝ่ายตรงข้ามเฝ้าเราอยู่นานจนมิทันระวัง บุกโจมตีศัตรูจากด้านหลัง จนสามารถสังหารบุตรชายคนโตของลี่อ๋องผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้ ทั้งยังสังหารบุตรชายคนรองของลี่อ๋องได้อีกคน เมื่อแม่ทัพใหญ่และแม่ทัพรองตายก็ฉวยโอกาสตอนที่ศัตรูกำลังระส่ำระสายวางเพลิงทำให้ศัตรูบาดเจ็บและตายนับไม่ถ้วน แม่ทัพเซียวที่ได้รับสารแจ้งมาก็รีบนำทัพใหญ่บุกออกนอกเมืองทั้งสังหารศัตรูไปมากมายในช่วงชุลมุนนั้น ครานี้บรรดาทหารที่วันๆ ต้องเบียดกันอยู่ในห้องเพื่อให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นเหล่านั้นก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เสื้อนวมของกองทัพชิงเป่ยหนายิ่ง แม้จะมีเลือดเปื้อนบ้างขาดบ้าง แค่ซักและซ่อมสักหน่อยก็ใช้ได้ดีกว่าเสื้อนวมยัดดอกหลูยิ่งนัก!”

 

 

“ไม่กี่ร้อยนายก็สามารถสังหารแม่ทัพของศัตรูได้แล้วหรือ” เจินเมี่ยวรู้สึกอัศจรรย์ยิ่ง

 

 

รองหัวหน้าฉือยิ้ม “เพราะความเก่งกาจของแม่ทัพหลัวแท้ๆ ขอรับ ไม่รู้ว่าหาเส้นทางแสนเล็กแคบที่ลัดเลาะไปถึงทัพหลังของศัตรูได้อย่างไร ทั้งยังให้ทหารกล้าอีกร้อยนายพกพวกอาวุธดินปืนไปด้วย เซี่ยนจู่อาจไม่รู้ว่าอาวุธดินปืนเป็นอย่างไร เพราะมันมาจากต่างแดน ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าแม่ทัพหลัวเตรียมมันไว้ต้องแต่เมื่อใด ยามนี้ราษฎรทั้งหลายต่างสรรเสริญว่าแม่ทัพหลัวเป็นตำนานแห่งแม่ทัพจากสวรรค์ไปเรียบร้อยแล้วขอรับ”

 

 

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้สถานการณ์การรบพลิกผันทันที ลี่อ๋องจึงนำทัพเอง รบรากันอยู่หลายเดือนสุดท้ายก็แพ้จนต้องถอยร่นไปทางเหนือของเป๋ยหลิ่ง

 

 

และเวลานี้เองก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าเจาเฟิงตี้ประชวรหนักและมีรับสั่งเรียกให้หลัวเทียนเฉิงกลับเมืองหลวงด่วน