ตอนที่หลัวเทียนเฉิงควบม้ามาปรากฏต่อหน้าเจินเมี่ยวนั้น นางกำลังเท้าเอวพลางชี้ไม้ชี้มือบอกไป๋เสาและชิงไต้ให้ทำขนมทอดยัดไส้ ขนมสีเหลืองทองควันฉุยชิ้นเล็กถูกตักขึ้นมา กัดลงคำหนึ่งไส้ถั่วหวานๆ นั้นก็ทะลักออกมา อร่อยอย่าบอกใครเลย
เจินเมี่ยวรีบกินเกินไปจึงร้อนจนน้ำตาไหล เงาร่างที่ปรากฏในครรลองสายตาจึงขมุกขมัวยิ่ง นางอดขยี้ตาไม่ได้ ใบหน้าจึงเปล่งประกายขึ้นมาโดยพลัน “ซื่อจื่อ…”
หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวใหญ่เข้ามา เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นาง แล้วถอนหลายใจเอ่ยว่า “รู้ว่าคิดถึงข้า แต่เหตุใดต้องร้องไห้ด้วย ข้าก็มาแล้วมิใช่หรือ”
เจินเมี่ยว “…”
“นี่คืออันใดหรือ”
“ขนมทอด”
“ข้าขอชิมบ้าง” หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าลงกัดขนมที่อยู่ในมือเจินเมี่ยวคำหนึ่งแล้วเลิกคิ้วขึ้น เขากัดเพียงไม่กี่คำก็กินขนมนั่นจนหมดเกลี้ยงค่อยเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “มิได้กินของที่เจ้าทำมานานแล้ว คิดถึงเหลือเกิน”
“อยากกินสิ่งใด ประเดี๋ยวตอนเย็นข้าจะทำให้”
“สตรีโง่งม เวลานี้เจ้ายังมาห่วงเรื่องนี้อีก บุตรในครรภ์มิได้ก่อกวนจนเจ้าเหนื่อยล้ามากเกินไปกระมัง” หลัวเทียนเฉิงเลื่อนสายลงไปมองท้องที่นูนออกมาของเจินเมี่ยว เขายื่นมือไปลูบ แล้วเอ่ยอย่างอดมิได้ว่า “ใหญ่ขึ้นมากถึงเพียงนี้เชียว”
เจินเมี่ยวปัดมือเขาออก “ไปล้างมือก่อนค่อยมาลูบ”
เมื่อคนทั้งสองกลับเข้าไปในห้องก็นั่งลงตรงข้ามกัน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า คล้ายมองอย่างไรก็ไม่มีวันพอกระนั้น สุดท้ายจึงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
แม้ท้องเจินเมี่ยวจะใหญ่แต่แขนขากลับยังเล็กเช่นเดิม แก้มที่ป่องเหมือนเด็กกลับเรียวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจขึ้นมา เขาลูบท้องนางพลางถอนหายใจเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าต้องผิดต่อเจ้านัก เจ้าตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ แต่ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าเลย”
ดวงตาเจินเมี่ยวหยีโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านไปสู้ศึกใหญ่ แต่ยังมีชีวิตกลับมาได้ก็นับว่าไม่ผิดต่อข้าแล้ว อืม ข้าได้ยินรองหัวหน้าฉือบอกว่า ท่านมีอาวุธดินปืนด้วย เจ้าสิ่งนี้ต้าโจวของเราไม่มีกระมัง”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “เป็นเพราะท่านอาสามของเจ้าแท้ๆ ตอนนั้นเราดื่มสุราพูดคุยกัน ท่านอาจึงเล่าว่าที่มหาสมุทรอีกฟากมีอาวุธอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย ทั้งยังเอาอาวุธดินปืนที่ติดตัวไว้ให้ข้าดู ข้าเห็นว่ามันไม่ธรรมดาเลยจึงขอให้ท่านอาส่งมาให้ข้าจำนวนหนึ่ง ครั้งนี้กลับได้ใช้มันจริงๆ”
“ยังจะพูดอีก ก่อนหน้านี้มีข่าวไม่ดีแพร่ออกมา ข้าอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลัวจะได้ยินข่าวว่าเมืองเฮยมู่แตกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาชนะได้รวดเร็วปานนี้” เจินเมี่ยวเอ่ยแล้วยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง
หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา “สถานการณ์อันคับขันก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริง แต่การจนตรอกทำให้ฮึดสู้สุดชีวิต จนทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายของกองทัพชิงเป่ยได้”
เขามีแผนการในใจอยู่แล้วทั้งมีอาวุธดินปืนอยู่ในมือและรู้เส้นทางลับที่จะอ้อมหลังเขาเพื่อบุกเข้าโจมตีศัตรูจากด้านหลัง เพราะชาติก่อนถูกศัตรูทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจึงหนีไปจนพบเส้นทางลับนั้นโดยบังเอิญ ภายหลังเกิดเรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลู แม้ทำให้ต้าโจวเสียหายไม่น้อยแต่มันก็ได้กลายเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ศัตรูหลงกล
การศึกครั้งนี้หากมิใช้แผนการที่ศัตรูคาดไม่ถึง คงต้องทรมานกันไปเรื่อยๆ จนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ไหว ไม่แน่ว่าสุดท้ายทหารที่บาดเจ็บอาจมากกว่าตอนนี้หลายเท่าตัวนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูจึงกลายเป็นภัยที่นำโชคมาให้แทน ไม่รู้ว่าคนในเมืองหลวงมากมายเท่าใดที่ต้องร่ำไห้จนสลบไป
หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็น เลิกคิดเรื่องทั้งหมดแล้วโน้มตัวลงไปใกล้ๆ ท้องเจินเมี่ยว “ให้ข้าฟังเสียงหน่อยสิ ได้ยินว่าหากท้องโตเพียงนี้แล้วเขาจะดิ้นด้วย”
“ดิ้นหรือไม่” เจินเมี่ยวถามอย่างตื่นเต้น
นางเคยได้ยินบ่าวรับใช้สองคนเคยพูดว่าหากตั้งครรภ์ได้สี่ห้าเดือนบุตรในครรภ์จะดิ้น แต่ไม่ทราบว่าเด็กน้อยเกียจคร้านเกินไปหรือไม่ กระทั่งตอนนี้นางยังไม่รู้สึกอันใดเลย
“น่าจะยังไม่ดิ้น…” หลัวเทียนเฉิงพลันเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ข้าได้ยินเขาร้องอยู่ข้างในด้วย”
เจินเมี่ยวหน้าคล้ำขึ้นมา “นั้นมันเสียงท้องข้าร้อง ขนมนั่นข้ากินไปเพียงคำเดียวท่านก็แย่งกินจนหมดแล้ว!”
นางหยิบหมอนอิงอ่อนนุ่มมารองด้านหลังแล้วเปลี่ยนเป็นท่านั่งที่สบายขึ้น “ซื่อจื่อ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกท่าน ตอนนี้หยวนเหนียงอยู่ที่นี่”
“หยวนเหนียง?” แรกเริ่มหลัวเทียนเฉิงยังมิทันเข้าใจ แต่เมื่อสบตาอันกระจ่างใสของเจินเมี่ยว หน้าเขาก็เปลี่ยนสีทันที “จือหยา?”
เจินเมี่ยวพยักหน้า แล้วเล่าความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดให้เขาฟัง “ไม่ว่าก่อนหน้านั้นหยวนเหนียงจะทำผิดหรือถูก แต่การที่นางได้พบบุรุษเยี่ยงนั้นทำให้ข้ามิทนอยู่เฉยได้ แต่ต่อไปจะจัดการเช่นไรคงต้องให้ถามท่านแล้ว”
สีหน้าหลัวเทียนเฉิงกลับมาสงบนิ่งเช่นเดิมแล้ว เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นข้าจะไปพบหน้าสักหน่อย หากนางผ่านความลำบากมาแล้วรู้ความขึ้นก็ให้อยู่ที่เป่ยลี่แล้วกัน นางจะออกเรือนหรืออยากอยู่เพียงลำพังข้าก็จะให้คนมาดูแลนาง หากไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงไปเลย นางมาจากที่ใดก็ให้กลับไปที่นั่น คุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงตายไปนานแล้ว มีเพียงคนในตระกูลเถียนที่ถูกส่งมาชาติแดนเท่านั้นที่ยังไม่ตาย”
“ที่ข้าดูนางรู้ความขึ้นมากทีเดียว” กระทั่งตอนนี้เจินเมี่ยวก็ยังคงไม่สามารถทำตัวสนิทสนมกับหลัวจือหยาได้ แต่กลับอดพูดแทนนางมิได้
คนที่เพิ่งหลีกหนีจากฝันร้ายจนได้กลับมาใช้ชีวิตปกติสุข แต่สุดท้ายต้องกลับไปยังจุดเดิม ผู้ใดจะมิเสียใจบ้างเล่า
ภายหลังเจินเมี่ยวก็ไม่ทราบว่าหลัวเทียนเฉิงพูดคุยอันใดกับหลัวจือหยาบ้าง นางมิได้ถาม แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว
วันที่ออกเดินทางเป็นบรรยากาศยามวสันต์ที่งดงามยิ่งแม้จะมาช้าอยู่สักหน่อยก็ตาม ฝูเกอกอดขาเจินเมี่ยวแน่น “ท่านน้า กินขนม…”
ท้องเจินเมี่ยวใหญ่จนก้มไม่ไหวแล้ว นางจึงนั่งลงลูบศีรษะฝูเกอแทน “รอฝูเกอโตกว่านี้สักสองปีก็ไปเยี่ยมน้าที่เมืองหลวงได้ ถึงตอนนั้นน้าจะทำขนมอร่อยๆ ให้ฝูเกอกินเอง”
เดิมทีเมื่อรับราชการครบสามปีหันจื้อหยวนก็ควรต้องได้ย้ายกลับเมืองหลวงแล้ว เพราะผลสอบของเขาสูงยิ่งต่อให้มิอาจเข้าไปทำงานในหกกรมของเมืองหลวงก็ต้องถูกย้ายไปบริเวณโดยรอบเมืองหลวง แต่น่าเสียดายที่ชิงเป่ยเกิดวุ่นวายขึ้นมา พลานามัยของเจาเฟิงตี้ก็มิใคร่จะดีนัก เรื่องเหล่านี้จึงล่าช้าไปอีก เขาจึงต้องทำหน้าที่อยู่ที่เป่ยลี่อีกสามปี
แต่เจินเมี่ยวดูแล้วพวกเขาสองสามีภรรยากลับมิได้รู้สึกทุกข์ใจอันใดเลย คิดว่าการปรองดองในครอบครัวนั้นทำให้มีชีวิตที่ราบรื่น ต่อให้ลำบากสักหน่อยก็ดีกว่าตระกูลร่ำรวยที่มีเรื่องยุ่งยากใจไม่จบไม่สิ้น
เวินยาหันสงสายตาให้แม่นมผู้หนึ่งไปอุ้มฝูเกอ
“ญาติผู้น้อง ข้าคิดว่าจะได้เห็นบุตรเจ้าตอนคลอดเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับเมืองหลวงเร็วเช่นนี้ ท้องเจ้าใหญ่แล้ว เดินทางระวังด้วย”
“ญาติผู้พี่สบายใจได้ เราเดินทางบนเส้นทางหลัก อีกไม่นานก็จะเข้าคิมหันต์แล้ว เป็นช่วงที่ไม่ร้อนไม่หนาว คงมิทรมานอันใดนัก ข้าจะเดินทางไปพลางพักผ่อนชมบรรยากาศระหว่างกลับเมืองหลวงไปพลาง ว่าเป็นแล้วก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง”
เมื่อหลัวเทียนเฉิงบอกกล่าวกับหันจื้อหย่วนเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมาหาเจินเมี่ยวทั้งประคองนางไว้ “เจี๋ยวเจี่ยวเราไปกันเถิด”
“อืม”
เวลานี้เองเสียงหนึ่งก็ดังลอยมา “ฮูหยิน…”
หลัวเทียนเฉิงหันหน้ากลับไปพร้อมกับเจินเมี่ยวแล้วมองหลัวจือหยาที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลัวจือหยาก้มหน้าลงย่อกายคารวะหลัวเทียนเฉิง “แม่ทัพหลัว ฮูหยิน ขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ช่วยดูแลข้า ข้าอยากจะมาส่งพวกท่านด้วยเจ้าค่ะ”
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แม่นางเถียนไม่ต้องเกรงใจไป” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพพูดถูก แม่นางเถียน หากภายหน้ามีเรื่องลำบากอันใดก็ให้บอกไท่ไท่สกุลเวินได้ การที่เราได้มีโอกาสรู้จักกันนั้นนับเป็นวาสนาอันยากยิ่งนัก”
หลัวเทียนเฉิงจัดการสร้างตัวตนใหม่ให้หลัวจือหยาเป็นญาติห่างๆ ของเวินยาหัน เพราะเพิ่งสูญเสียสามีไปจึงไม่อยากแต่งงานอีก นางตัดสินใจอยู่เพียงลำพังและเปิดร้านเย็บปักเล็กๆ แห่งหนึ่ง
หลัวจือหยาเงยหน้ามองเวินยาหัน เวินยาหันยิ้มแล้วพยักหน้า
นางถอนสายตาตนแล้วหันไปจ้องหลัวเทียนเฉิงนิ่ง ในแววตามีประกายของหยาดน้ำตาปรากฏขึ้น แต่เห็นเขาไม่มีท่าทีใดจึงได้ย้ายสายตาไปมองเจินเมี่ยวแล้วย่อกายคารวะอีกคราหนึ่ง
“เจ้า…” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง นางคิดจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
หลัวจือหยาหันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เพราะมีราชโองการให้เรียกตัวเขากลับ เมื่อพ้นเขตเมืองเป่ยลี่ หลัวเทียนเฉิงจึงจำต้องเร่งรุดนำหน้ากลับเมืองหลวงไปก่อน
ก่อนบอกลากับเจินเมี่ยวอย่างอาลัยอาวรณ์เขาก็ได้กำชับกับรองแม่ทัพจังและรองหัวหน้าฉือว่า “จะต้องคุ้มครองเซี่ยนจู่ให้ดี มิเช่นนี้พวกเจ้าก็ถือศีรษะมาพบข้าได้เลย!”
ทั้งสองตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะไม่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องผิดหวังเด็ดขาดขอรับ!”
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ฝุ่นตลบไปทั่ว หลัวเทียนเฉิงเก็บใจอันห่วงหาอาวรณ์นั้นไว้แล้วนำทัพมุ่งหน้าต่อไป
เจินเมี่ยวเก็บสายตาตนไว้ แล้วให้ไป๋เสาชิงไต้ประคองตนขึ้นรถม้า
รถม้าคันนี้ผ่านการจัดแต่งมาอย่างพิเศษ ภายในมีพรมที่หนายิ่ง ยามเดินทางจึงไม่รู้สึกสะเทือนอันใดเลย
การเดินทางของนางผ่านไปอย่างเชื่องช้า อยากพักที่ใดกี่วันก็พัก อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ดอกไม้ใบหญ้าเขียวขจี ทิวทัศน์และผู้คนในแต่ละที่ต่างไม่เหมือนกันทำให้นางรู้สึกดื่มด่ำกับความงดงามเหล่านี้ยิ่ง
แม้ท้องของเจินเมี่ยวจะเริ่มใหญ่ขึ้นมากแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกมีความสุขดี
นางรู้สึกว่าทุกอณูในร่างต่างได้สัมผัสกับคำว่าอิสระ โอกาสเช่นนี้เกรงว่าต่อไปคงยากนักจะมีอีก
ภายหลังนางจึงซื้อพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกมาวาดทิวทัศน์ที่ตนได้พบเพื่อฆ่าเวลาระหว่างเดินทาง เวลาผ่านไปสองเดือนโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดนางก็เห็นเมืองหลวงอยู่ตรงหน้าแล้ว
หลัวเทียนเฉิงที่ได้รับข่าวล่วงหน้าจึงรีบเดินทางมานับร้อยลี้เพื่อรับนาง ครั้นเห็นเจินเมี่ยวลงจากรถม้าด้วยท้องกลมโตยิ่งก็ตกใจจนเหงื่อซึม
“ไยต้องลงมา ข้าขึ้นไปหาเจ้าเองก็ได้”
เจินเมี่ยวมิทันได้ดีใจกับการพบกันของคนทั้งสองด้วยซ้ำ นางเม้มปากก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำ”
“เรื่องอันใด เจ้าบอกบ่าวไพร่ก็ได้ ต้องทำเองหรือไร” หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปอุ้มนางขึ้นรถม้าทันที
เจินเมี่ยวอดกลั้นจนหน้าแดงไปหมด “คนโง่ ข้าปวดทุกข์เบา!”
กว่าจะถึงที่จอดพักรถม้าได้ นางลงจากรถม้าง่ายๆ เสียที่ใด แต่เขากลับอุ้มนางขึ้นมาอีก!
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงแห้งไปสองครา แล้วอุ้มนางลงมาอีกคราโดยมิสนเสียงร้องตกใจของนางเลย
ทั้งสองพักเหนื่อยอยู่ครู่ใหญ่จึงออกเดินทางอีกครั้ง กระทั่งถึงจวนเจิ้นกั๋วกงฟ้าก็มืดแล้ว
“ท่านย่า เหตุใดจึงมารอที่นี่เล่าเจ้าคะ” เจินเมี่ยวปล่อยให้หลัวเทียนเฉิงอุ้มตนลงจากรถม้า แต่เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ายืนถือไม้เท้ารออยู่หน้าประตูพร้อมกับบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่ก็อดตกใจมิได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นใบหน้าเลือดฝาดของเจินเมี่ยวแล้วจึงโล่งอกลงได้ นางเผยรอยยิ้มแสนสบายออกมา “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีครรภ์ ต้าหลังหลานชั่วของข้ายังให้เจ้าเดินทางคนเดียวอีก ข้าจึงใช้ไม้เท้าฟาดเขาไปหลายที ใจของข้าเป็นกังวลอยู่ตลอด ตอนนี้เห็นเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยถึงโล่งใจได้เสียที มิเช่นนั้นข้าคงได้ตีหลานชั่วจนตายแน่!”
ตากความคิดของฮูหยินผู้เฒ่านั้น เมื่อมีราชโองการจากฝ่าบาทย่อมมิอาจชักช้าได้ แต่ภรรยาตั้งครรภ์อยู่จะให้เดินทางได้อย่างไร ควรต้องหาที่ที่ปลอดภัยให้นางคลอดบุตรเสียก่อน เมื่อบุตรอายุมากสักหน่อยแล้วค่อยเดินทางกลับจวน
เรื่องแรกหลังจากกลับมาถึงจวนก็คือการเชิญท่านหมอที่เชี่ยวชาญโรคสตรีมาตรวจชีพจรให้เจินเมี่ยว
ท่านหมอวางมือลงที่ข้อมือเจินเมี่ยวครู่หนึ่ง แต่ท่าทีกลับดูเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ