บทที่ 300
เพื่อนผู้สมรู้ร่วมคิด
มู่หรงยิ้มจางๆ หยิบยาถอนพิษออกมาจากแขนแล้วยืนออกไป “ยาถอนพิษ กินซะ!”
สายตาแหลมคมของหลินหยางจ้องมาที่มู่หรง ไม่ได้รีบรับขวดยามาในทันที
“ไม่ต้องห่วงหรอกนี่ไม่ใช่ยาพิษ ถ้าข้าอยากที่จะฆ่าเจ้า ข้าก็คงจะทำไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องวุ่นวายแบบนี้หรอก!” มู่หรงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดออกมาในทันที
หลินหยางรับขวดยามา เทยาออกมาและใส่เข้าไปในปาก เม็ดยาละลายในปากและก็มีกลิ่นจางๆของสมุนไพรลอยออกมา เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลลงไปในร่างกายทันทีซึ่งทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นมาก
ในหัวใจเขารู้สึกตกตะลึงแต่เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ หลังจากไม่กี่ชั่วโมงที่ได้คุยกัน เขาก็ไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นเพียงคนธรรมดาแต่รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เหนือกว่าที่เขาคิด อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มในสายตา ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็เตรียมตัวเพื่อมาสู้กับเขาด้วยเหมือนกัน
“เจ้าหัวเราะอะไร? ก็ข้ารักชีวิตตัวเองนิ” มู่หรงทำปากบิดเบี้ยวพร้อมทั้งพูดออกมา
หลังจากนั้นสักพัก หลินหยางก็รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆฟื้นคืนกำลัง เขาลุกขึ้นพร้อมทั้งยืดเหยียดมือออกมา “งั้นมาทำความรู้จักกันใหม่ ข้าหลินหยาง เป็นผู้นำกองกำลังพิเศษ”
มู่หรงเสวี่ยเองก็ยืดมือออกไปและใช้มือเล็กของตัวเองจับไปที่ฝ่ามือใหญ่ วินาทีที่มือทั้งสองจับกัน ก็ถือเป็นการแสดงถึงความเป็นมิตร “สวัสดี ข้าชื่อมู่หรงเสวี่ย ผู้มีอำนาจดูแลบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป!” กลายเป็นว่าเขาอยู่ในหน่วยกองกำลังพิเศษ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนเฮ่ยเฉิงถึงได้รับการจัดการอย่างดีและมีกฎระเบียบอยู่ทุกที่!
“บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเป็นของเจ้างั้นเหรอ?” หลินหยางถามอย่างประหลาดใจ
“อะไร? เจ้ารู้จักบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปด้วยงั้นเหรอ?” เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนบ้าง ดูเหมือนว่าเธอจะห่างจากโลกมานานมาก
หลินหยางมองแปลกๆไปที่มู่หรงเสวี่ย “วันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง มีใครไม่รู้เรื่องการเผชิญหน้ากันบ้าง? พูดถึงเรื่องนี้ ก่อนที่ข้าจะมาที่โลกนี้ก็ต้องขอบคุณบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปที่ให้ที่หลบภัยกันข้า บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและดราก้อนพาวิลเลี่ยนเป็นสว่างเดียวที่เหลืออยู่ของวันสิ้นโลกนี้”
มันเป็นเรื่องที่สิ้นหวังมากๆเมื่อนึกถึงจุดจบอันน่าสลดใจของโลก ซอมบี้แพร่กระจายไปทั่วและชีวิตก็ดำมืด ครอบครัว, ญาติพี่น้องและเพื่อนๆของเขาต่างก็กลายเป็นซอมบี้กันไปหมด เมื่อพูดถึง หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก “หมายความว่าไงที่ว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง?”
หลินหยางวางความเศร้าไว้ก่อน “เจ้าไม่รู้เรื่องวันสิ้นโลกงั้นเหรอ? เจ้ามาที่โลกนี้ตั้งแต่เมื่อไรงั้นเหรอ? เจ้าน่าจะเข้ามาที่หลังข้าอีกนะ แล้วเจ้าจะไม่รู้เรื่องวันสิ้นโลกได้ยังไง โลกในอนาคตของเรากลายเป็นนรกไปแล้ว…”
สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไปในทันที มือยืนออกไปจับเข้าที่แขนของหลินหยาง “พูดมาให้ชัดๆ หมายความว่าไงที่บอกว่ากลายเป็นนรก?””
“ตอนที่ข้ามา มีซอมบี้และการชำระล้างเกิดขึ้นทุกที่” หลินหยางอธิบายเล็กน้อย
“แล้วคนอื่นๆล่ะ? เป็นยังไงกันบ้าง?” ดวงตาของมู่หรงเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาทันที คุณปู่คุณย่าของเธอ, ฮวงฟูอี้, โม่อ้ายหลี่แล้วคนอื่นๆอีก เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?!
หลินหยางเห็นสายตาแดงระเรื่อของเธอและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรขึ้นมาทันที เขาจะบอกว่าพื้นฐานคนครึ่งหนึ่งของโลกก็กลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้วได้หรือเปล่า?!
“พูดมาสิ ทำไมเจ้าถึงไม่พูดออกมาล่ะ?!! ว่าแต่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนเป็นไงบ้าง?” ไม่เป็นไร ที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนมีคนอยู่ตั้งมากมาย คุณปู่คุณย่าจะต้องไม่เป็นอะไร
“ดราก้อนพาวิลเลี่ยนไม่เป็นไร แต่ก็ได้รับความเสียหายหนักอยู่เหมือนกัน สุดท้ายพวกเขาก็ต้องรวมเข้ากับบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป…”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง? ตอนที่ข้าจากมาทุกอย่างยังดีอยู่เลย…” มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเชื่อคำพูดของหลินหยาง แต่ก็เข้าใจว่าหลินหยางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องนี้มาหลอกเธอ
“เพราะองค์กรปีศาจ ไวรัสที่ไฮเก้พัฒนาขึ้นมาถูกใส่ลงไปในน้ำดื่มซึ่งเปลี่ยนมนุษย์ครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นซอมบี้…” และเหล่าซอมบี้ก็จะไปโจมตีครอบครัวของพวกเขาอีกซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ มู่หรงเสวี่ยร้องไห้และเงียบไปแล้ว
หลังจากที่เห็นท่าทางของมู่หรงเสวี่ยแล้ว หลินหยางไม่อยากที่จะคิดอะไรอีกแล้ว หลินหยางยืนอยู่เงียบๆข้างมู่หรงเสวี่ยและดูเธอร้องไห้พร้อมกับหมวกกันน็อคหนักๆ ถึงแม้เขาจะไม่เห็นสีหน้าของเธอแต่ก็รู้ได้เลยว่าเธอเสียใจมากแค่ไหน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่มู่หรงจะหยุดน้ำตาตัวเองได้ เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลินหยางพร้อมพูดออกมาอย่างหนักแน่น “เราร่วมมือกันได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง ข้าอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” ตอนนี้เธอทำได้เพียงภาวนาว่าฮวงฟูอี้จะดูแลคุณปู่คุณย่าเธออย่างดี
“ออกไปจากที่นี่งั้นเหรอ? เจ้าจะไปที่ไหน?” หลินหยางถาม
มู่หรงถอดหมวกกันน็อคที่กำลังสวมอยู่ออก หัวของเธอถูกกดจนเจ็บไปหมดแล้ว จู่ๆใบหน้าที่สวยราวกับดอกไม้ที่เพิ่งถูกสายฝนก็เปิดเผยออกมา
หลินหยางตะลึง ตอนแรกมู่หรงเสวี่ยเข้ามาพร้อมผ้าพันแผลที่พันอยู่แทบจะทั่วหน้า นอกจากรูปร่างที่บอบบางของเธอเขาก็มองไม่เห็นความสวยเลย เมื่อกี้ตอนที่มู่หรงเสวี่ยสวมหมวกกันน็อค เขาก็มองความสวยของเธอได้ไม่ชัดเจน ไม่คิดเลยว่ามู่หรงเสวี่ยจะเป็นผู้หญิงที่สวยธรรมชาติได้อย่างน่าตะลึงขนาดนี้
“ข้ารู้ว่าตัวเองสวย เจ้าไม่ต้องทำหน้าโง่ๆแบบนั้นก็ได้!”
หลินหยาง ชายร่างใหญ่ที่แทบจะไม่เขินเท่าไรแต่กลับพูดติดอ่างออกมาเล็กน้อย “ใครมองเจ้ากัน? เจ้านี่ก็หลงตัวเองเกินไปแล้ว! เดินตามข้ามา” ในตอนนี้เขารู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของตัวเองร้อนอย่างมาก
มู่หรงส่ายหัวเล็กน้อย เดินตามเข้าไป คุณปู่คุณย่า, พ่อแม่ ทุกคนต้องรอเธอก่อนนะ ต้องรอนะ!
หลินหยางเดินนำเธอเข้าไปในห้องนั่งเล่น เฟิอร์นิเจอร์ด้านในเองก็เป็นแบบโมเดิร์น ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีโซฟาด้วย
“กาแฟหรือชาที?” หลินหยางถาม
“กาแฟแล้วกัน!” เธอนั่งลงที่โซฟาและมองไปรอบๆเธอ
“บอกข้าที เมื่อกี้เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย” หลังจากที่ชงกาแฟเสร็จ หลินหยางก็รินกาแฟให้มู่หรงเสวี่ยแก้วหนึ่งแล้วก็รินให้ตัวเองอีกแก้ว
“ใช่ ข้าอยากที่จะกลับไปที่โลก เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะมาแข่งกับเจ้าเพื่อแย่งตำแหน่งการครองโลก เป้าหมายของข้าคือการออกไปจากที่นี่” มู่หรงจิบกาแฟ และพูดออกมาเสียงเบา
แต่หลินหยางก็พูดเย้ยหยันออกมา “ไม่ต้องคิดเรื่องนั้นหรอก เจ้ายังอยากจะไปจากที่นี่ได้ยังไง? เจ้าอยากจะตายหรือไง? นอกจากเจ้าจะขึ้นไปที่ท้องฟ้าได้ ไม่งั้นก็กลับไปที่โลกเดิมไม่ได้”
“จริงๆแล้วข้าก็รู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่แต่ข้าอยากให้เจ้าช่วย ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่มาจากอนาคต อาวุธทางการทหารของยุคนี้ยังเทียบไม่ได้กับของเจ้า เจ้าเป็นราชา ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าตามหาสายเลือดที่แท้จริงของมังกรได้ แน่นอนว่าข้าไม่ปล่อยให้เจ้าช่วยเปล่าๆหรอก ข้าก็จะช่วยเจ้าด้วยเหมือนกัน” มู่หรงพูด
“เจ้ารู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่งั้นเหรอ?” หลินหยางลุกขึ้นทันที
“อะไร? เจ้าอยากที่จะออกไปด้วยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
หลินหยางรีบนั่งลงทันทีและพูดออกมา “เปล่า ข้าไม่อยากที่จะกลับไป ที่โลกนั่นไม่มีใครที่ข้าต้องคิดถึง ทำไมข้าจะต้องกลับไปด้วย ข้าตกลงก็ได้แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องยืนยันกับเจ้าก่อน”
“มีอะไรเหรอ? พูดมาเลย”
“ถ้าลูกน้องของข้าไม่ได้ทำพลาด งั้นวันนี้คนที่มากับเจ้าคือหวังฉิงแห่งดินแดนแห่งไฟใช่หรือเปล่า?” ดวงตาของ หลินหยางเปล่งประกาย
“ใช่ เป็นเขานั่นแหละ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะเชื่อใจเจ้าล่ะ? ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเจ้าไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกัน?” หลินหยางพูดเสียงเบา
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าไม่ได้กำลังขอเจ้านะ เจ้าจะไม่ร่วมมือกับข้าก็ได้ ยังไงซะเจ้าก็ชนะอยู่ดี ข้าจะได้เห็นคนที่ชนะโลกเป็นคนแรก อีกอย่างถ้าเจ้ากับข้าสู้กัน คนที่จะต้องลำบากก็คือประชาชนของโลกนี้”
หลินหยางไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะพูดแบบนี้ “โอเค เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ธรรมดาจริงๆ งั้นข้ายินดีที่จะร่วมมือด้วย”
“ยินดีที่ได้ร่วมมือกันนะ! ที่นี่เป็นที่ของเจ้า เอาเป็นว่าเจ้าช่วยข้าพาคนๆหนึ่งออกไปจากที่นี่ก่อนได้หรือเปล่า?” มู่หรงพูด
“ช่วยคนงั้นเหรอ? ใครเหรอ?” หลินหยางถาม
“เพื่อนของข้าเอง ตอนนี้เขาอยู่ในน้ำมือของหวังฉิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมีวิธี” มู่หรงเสวี่ยจิบกาแฟอีกครั้ง
“หวังฉิงไม่ใช่คนที่จะสู้ด้วยง่ายๆ…” หลินหยางเคยสืบเรื่องคนใหญ่ๆของทั้งสามดินแดนมานานแล้ว พูดได้ว่าหลินหยางเป็นเสาหลักของดินแดนแห่งไฟ
มู่หรงวางแก้วกาแฟลง “แน่นอนว่าไม่ใช่คนที่สู้ด้วยง่ายๆ ไม่งั้นข้าจะอยากให้เจ้าช่วยทำไม?”
“เจ้าเพิ่งบอกว่าเราร่วมมือกันแล้วไม่ใช่หเรอ?! เมื่อกี้เจ้าเพิ่งจะข้อร้องข้าไม่ใช่เหรอ?” หลินหยางพูดอย่างประชดประชัน
มู่หรงยิ้ม “เพื่อนมีปัญหา แน่นอนว่าเจ้าต้องช่วยสิ”
“บอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” หลินหยางขมวดคิ้วและถามออกมา พูดตามตรงเขาไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับดินแดนมหาอำนาจทั้งสามดินแดนนี้ พวกเขาต่างก็รักษาสมดุลของกันและกัน อย่างน้อยก็เป็นมาสักระยะแล้ว ถ้าเขาเป็นคนเริ่มก่อน อีกฝ่ายก็น่าจะไม่พอใจ ถึงแม้เขาจะส่งทหารกลุ่มใหญ่ออกไปไม่ได้ แต่มันก็น่าที่จะเพียงพอแล้วที่จะส่งกองทหารเล็กๆออกไป
มู่หรงเสวี่ยพูดถึงเรื่องขั้นตอนที่จะเจอหวังฉิงและอื่นๆอีก
หลังจากเวลาผ่านไปนาน สีหน้าของหลินหยางก็บิดเบี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม “สิ่งที่เจ้าพูดไม่เพียงแค่เป็นการเข้าไปยุ่งกับดินแดนแห่งไฟนะแต่ยังเป็นการไปยุ่งกับดินแดนแห่งหิมะด้วยนะรู้ไหม?! เจ้าอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงเดือนเลยนะ ทำไมถึงได้ไปยุ่งกับคนมากมายได้ขนาดนี้? เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อร่วมมือกับข้าแล้ว เจ้าแค่มาสร้างปัญหาให้กับข้ามากกว่า!”
“โอ้ เจ้าพูดแบบนั้นได้ยังไง? ข้าไม่ได้เริ่มที่จะยุ่งกับพวกเขานะ พวกเขาต่างหากที่มายุ่งกับข้า พวกเขาเป็นเพื่อนกันงั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก” มู่หรงเสวี่ยหยักคิ้ว
“ข้าโชคร้ายจริงๆที่ต้องมาเจอคนอย่างเจ้า ข้าจะให้คนไปตรวจดูแล้วจะมาให้คำตอบ” หลินหยางพูด
“งั้นก็รีบสิ มัวทำอะไรอยู่ล่ะ?” มู่หรงพูด
สายตาของหลินหยางเย็นยะเยือกขึ้น “นี่เป็นอาณาจักรของข้านะ”
“ข้ารู้ ไม่งั้นข้าจะมาหาเจ้าทำไมล่ะ?” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสีหน้างี่เง่า
“ท่าทางของเจ้าควรจะดีขึ้นกว่าดีหน่อยไหม?”
“โอ้ เราเป็นเพื่อนที่สมรู้ร่วมคิดกันไม่ใช่เหรอ? อย่าห่วงเรื่องนั้นนักเลย!” มู่หรงพูด
หลินหยางลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “โอเคคุณหนู ข้าจะไปตรวจสอบมาให้เจ้าเอง!”