บทที่ 301 เจ้าออกไปจากที่นี่เลย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 301
เจ้าออกไปจากที่นี่เลย

มู่หรงยังอยู่ข้างในและเอาแต่เดินกลับไปกลับมา หลินหยางก็หายไปชั่วโมงแล้ว

เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นผู้หญิงแปลกหน้า

“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กับพี่หลิน?” ผู้ที่มาเยือนคือหวังจื่อ น้องสาวของหลินหยาง

คำถามที่ถามออกมาทำให้มู่หรงเงียบไปชั่วขณะ “ข้าเป็นเพื่อนของเขา” เธออธิบายเรียบๆ

“เพื่อนงั้นเหรอ?! ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลยล่ะ?” หวังจื่อมองมู่หรงเสวี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายครั้ง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความอิจฉา
แน่นอนว่ามู่หรงเองก็เห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายแต่ก็ขี้เกียจที่จะสนใจ จึงเดินตรงไปที่บาร์และเตรียมที่จะชงกาแฟอีกแก้ว

หวังจื่อเดินตรงไปที่มู่หรงเสวี่ยและดึงเสื้อของเธอ “เจ้าต้องการอะไร? โง่หรือเปล่า?!”

มู่หรงขมวดคิ้ว สะบัดไปที่มือของเธอและพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถ้ามีปัญหาอะไรก็ไปถามกับหลินหยางเองแล้วกัน”

“เจ้าเรียกชื่อพี่หลินง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ? นี่หน้าไม่อายบ้างเลยหรือไง?”

มู่หรงเดินไปอีกฝั่งเพื่อสูดอากาศ ขี้เกียจที่จะสนใจเธอ

หวังจื่อหยุดก้าวเดินของมู่หรงไว้ “อย่าแตะต้องของของ พี่หลินนะ” ในหัวใจก็พยายามที่จะคาดเดาถึงตัวตนของมู่หรง ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้แต่กลับไม่เคยเห็นในดินแดนเฮ่ยเฉิงเป็นคนที่มาจากดินแดนอื่นหรือเปล่า?!

ต้องมีคนที่อยากจะประจบพี่หลินแน่ๆ ก่อนหน้านี้เคยมีคนส่งผู้หญิงสวยๆมากมายให้มาปรนนิบัติเขา แต่พี่หลินก็ไม่เคยยอมให้ผู้หญิงพวกนั้นก้าวเข้ามาในบ้านเลย ไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ แน่นอนว่าผู้หญิงที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้ไม่ได้สวยเท่ามู่หรงเสวี่ย

อย่างไรก็ตามหวังจื่อเชื่อว่าพี่หลินไม่ใช่คนที่ตัดสินคนจากหน้าตา ผู้หญิงคนนี้จะต้องเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตแน่ๆ องครักษ์ของคฤหาสน์ผู้ปกครองวันนี้ก็ไม่รู้มัวแต่ไม่ยุ่งอยู่ที่ไหนกัน พวกเขาคงจะไม่ได้ตรวจเข้มงวด ผู้หญิงคนนี้ก็เลยใช้ข้อได้เปรียบเรื่องนี้แอบเข้ามาข้างใน

เมื่อหวังจื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็จับไปที่แขนของมู่หรงเสวี่ยตรงๆและลากเธอออกมาข้างนอก “ออกไปจากที่นี่นะ บ้านพี่หลินไม่ใช่ที่ที่ผู้หญิงแบบเธอจะเข้ามาได้…”

มู่หรงสะบัดมือกลับเพื่อให้หลุดจากมือของเธอ “ปล่อยนะ หลินหยางบอกให้ข้าอยู่ที่นี่”
“ไม่มีทาง!! กล้าดียังไงถึงมาโกหก?” หวังจื่อยกมือขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวและจับไปที่ใบหน้าบอบบางของมู่หรงเสวี่ยพร้อมด้วยเล็บคมๆที่จะข่วนลงมาอย่างแรง

มู่หรงเสวี่ยไม่ใช่คนที่ชอบรังแกใคร เธอปัดหลังมือและตบไปมือของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้เบามือเลย

“เปี๊ยะ” เสียงดังแล้วหน้าของหวังจื่อก็ขึ้นรอยแดงของฝ่ามือทันที
เธอชี้ไปที่มู่หรงอย่างไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกไม่พอใจที่ถูกทำร้ายพร้อมด้วยดวงตาที่เก็บกดน้ำตาเอาไว้ หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ตอบโต้โดยการพุ่งเข้าใส่มู่หรงพร้อมกับฟันและกรงเล็บทันที

“นังผู้หญิงชั้นต่ำ กล้าดียังไงมาตบข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” หวังจื่อเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้วัยเด็กของเธอจะค่อนข้างลำบากแต่พี่ชายของเธอก็ไม่เคยปล่อยให้เธอต้องลำบากเลย เมื่อเธอโตมาพี่ชายก็สร้างกรอบให้เธอมากมายและทำให้ชีวิตของเธอเป็นดั่งคุณหนูผู้ร่ำรวย หลังจากที่เธอตามพี่หลินมาที่นี่ สถานะของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับพี่ชาย ในดินแดนเฮ่ยเฉิงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ! ไม่มีใครที่ไม่ประจบเธอ!
แต่วันนี้เธอกลับถูกนังผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ทำร้าย แล้วเธอจะไม่โกรธได้ยังไงล่ะ?!

หวังจื่อรู้สึกประหม่ามู่หรงเสวี่ยและเธอก็สู้กันด้วยมือและเท้า

มีหลายครั้งที่ที่มู่หรงเสวี่ยหลบไม่พ้น อย่างไรก็ตามฝีมือของหวังจื่อก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

ในใจของมู่หรงกร่นด่าหลินหยางนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้เธอต้องมาเจอผู้หญิงบ้าคลั่งแบบนี้

“หยุดนะ! ทำอะไรกันเนี่ย?” หลินหยางที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเห็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดอยู่เบื้องหน้า

หลินหยางตะโกนเสียงดัง และเข้าไปแยกผู้หญิงทั้งสองคนที่ยังสู้กันอยู่ออกจากกันทันที

หวังจื่อจ้องไปที่มือของเขา เมื่อกี้เธอยังโกรธเกรี้ยวอยู่เลย แต่จู่ๆเธอก็กลายเป็นน่าสงสาร ดวงตาของเธอค่อยๆแดงระเรื่อและหยดน้ำตาก็ไหลออกมา เธอโยนตัวเองเข้าใส่หลินหยางทันที “พี่หลิน ผู้หญิงคนนี้ เธอตบข้าเห็นไหม?” ในน้ำเสียงมีความคับข้องใจอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและจับเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย แล้วเธอก็จ้องไปที่หลินหยางพร้อมทั้งพูดออกมาว่า “หลินหยาง ผู้หญิงบ้าคนนี้อยู่ในบ้านของเจ้า นางจะฆ่าข้า” ที่หน้าเธอมีรอยแดงหลายรอย แรงของหวังจื่อไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย เธออยากที่จะทำร้ายหน้าตาของมู่หรงเสวี่ย แล้วเธอจะไม่ลงแรงทั้งหมดที่มีไปกับใบหน้าของเธอได้ยังไงล่ะ

หลินหยางค่อยๆผลักหวังจื่อไปข้างๆและเดินมาที่ มู่หรงเสวี่ย เมื่อเห็นรอยเล็บที่หน้าของเธอ หลินหยางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไป รอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ดูมีเลศนัยจริงๆ ทั้งหมดนี้ต้องโทษเขา เป็นอีกครั้งที่เธอจ้องไปที่เขาอย่างโหดร้าย

มันก็แค่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเล็บของเธอที่มองมาด้วยความโกรธ นี่ก็แค่การทะเลาะกันของผู้หญิง จู่ๆหลินหยางก็รู้สึกว่านี่น่ารักดี เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปและแตะไปที่หัวของเธอ เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้างบนมีห้องน้ำ ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาข้างบนเถอะ”

มู่หรงปัดมือใหญ่ๆของเขาออกและจ้องไปที่เขาอีกครั้ง แล้วก็เดินขึ้นชั้นบนไป

หวังจื่อที่ยืนอยู่อีกฝั่ง สีหน้าซีดเผือดตอนที่เขาผลักเธอออกและเมื่อเห็นท่าทางอ่อนโยนของหลินหยางที่มีต่อมู่หรงเสวี่ย สีหน้าของเธอก็ยิ่งซีดมากขึ้นกว่าเดิมอีกและสายตาของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัย

ถึงแม้พี่หลินจะดูเหมือนคนที่เข้ากับคนง่าย แต่หวังจื่อก็ไล่ตามเขามามากกว่าสองปีแล้ว พูดได้ว่าเธอรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้ใกล้ชิดกับเขา แม้เธอยังต้องใช้ข้ออ้างเรื่องความเป็นพี่เพื่อที่จะใกล้ชิดกับเขาเลยแต่เธอก็ยังไม่มีพื้นที่ในหัวใจของพี่หลินอยู่ดี อย่างมากเธอก็เป็นได้เพียงน้องสาวของเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง
“หลิน…พี่หลิน นางเป็นใคร?” หวังจื่อกัดริมฝีปากและถามออกมาอย่างไม่พอใจ

หลินหยางมองมาที่เธอ ประกายเย็นชาในสายตาเพิ่มขึ้น “ข้าเคยบอกว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านหลังนี้ใช่ไหม?”

สีหน้าของหวังจื่อกลายเป็นบิดเบี้ยวทันที สีหน้าของเธอดูสับสนไปหมด ปกติเธอก็ไม่เคยกล้าที่จะเข้ามาข้างในหรอก แต่วันนี้เธอเห็นมู่หรงเสวี่ยอยู่ในห้องจากที่ประตูและจู่ๆเธอก็ขาดสติขึ้นมาทันที เธอกัดริมฝีปาก

“ทำไมข้าถึงเข้ามาไม่ได้?” เธอถาม รู้สึกไม่พอใจ

หลินหยางไม่ใช่คนโง่ เขารู้ความรู้สึกของหวังจื่อมานานแล้วแต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทเขาและเขาก็ไม่อยากจะปฏิเสธออกไปแบบทำร้ายจิตใจ ก่อนหน้านี้เขาพยายามแสดงท่าทางให้เธอรู้หลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้ว่าเธอไม่เข้าใจจริงๆหรือตั้งใจแกล้งทำเป็นโง่กันแน่ ผลที่ออกมาเลยแย่แบบนี้
“เธอเป็นผู้หญิงของข้า แน่นอนว่าเธอต้องเข้ามาที่นี่ได้” หลินหยางคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อกำจัดเธอก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี

หวังจื่อดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาทันที น้ำตาที่ควบคุมไม่ได้ไหลร่วงลงมาทันที ปากอ้ากว้างอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมา เพราะความเจ็บปวดในหัวใจ ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ซึ่งทำให้ดูน่าสงสารอย่างมาก

“ถ้าเจ้าไม่เป็นไร งั้นก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” หวังจื่อมองสายตาไร้เยื่อใยของหลินหยางอย่างร้อนรน แต่ไม่นานก็จางหายไปและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พี่หลิน ไอ้คนเลว” หวังจื่ออดไม่ได้ที่จะร้องไห้และวิ่งออกไป

เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่มู่หรงตบเธอก็ยังน้อยกว่าที่พี่หลินทำกับเธออีก คำพูดง่ายๆนี้แต่กลับทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเธอได้อย่างสาหัส
หลินหยางขมวดคิ้วแบบนี้ก็คงจะดีแล้ว ถือเป็นการตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลมและเขาก็ไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด อย่างมากก็เพียงแค่น้องสาวเท่านั้น

“โอ้ เจ้าทำแม่หนูคลั่งรักวิ่งหนีไปแล้วงั้นเหรอ?” มู่หรงเดินลงมาชั้นบนและทันได้เห็นแค่ตอนที่หวังจื่อวิ่งออกไป เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดประชดออกมา

หลินหยางมองไปที่บันไดและเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว และกลิ่นหอมจางๆจากตัวเธอก็ลอยออกมา ขนาดเขาอยู่ที่โซฟาก็ยังได้กลิ่นเลย แม้แต่รอยข่วนที่หน้าของเธอก็ยังหายไปแล้วด้วย ตอนนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป “เจ้าไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม?” จะเป็นไปได้ยังไงที่แผลจะหายได้ภายในเวลาแค่สิบนาทีเอง?!

เขานึกถึงเมื่อตอนบ่ายวันนี้ตอนที่มู่หรงเสวี่ยเข้ามาเจอกับเขา ใบหน้าของเธอยังถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลหนาๆอยู่เลย ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บแล้วเธอก็หายตัวไปประมาณครึ่งชั่วโมง พอกลับมาแผลที่ใบหน้าของเธอก็หายหมดแล้ว ก่อนหน้านั้นหลินหยางไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาคิดว่าเรื่องผ้าพันแผลเป็นแผนของเธอ แต่เมื่อมองดูในตอนนี้ เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ หลินหยางอยากที่จะหาเรื่องที่แปลกมากกว่านี้ จึงพยายามจ้องตรงไปที่เงาที่อยู่ด้านหลังของมู่หรง

“ฮ่า ฮ่า! เจ้านี่ตลกจริงๆ นี่เจ้ามองเงาข้าจริงๆเหรอเนี่ย คิดว่าข้าเป็นผีหรือไงกัน?” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมาอย่างเสียมารยาท

สีหน้าของหลินหยางกระตุกด้วยรอยยิ้ม “ก็เจ้าเองไม่ใช่เหรอที่แปลกเหลือเกินน่ะ? จะมีใครที่อยู่ดีๆก็หายตัวได้แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับแผลที่หน้าเจ้าเมื่อกี้ แน่นอนว่าตอนนี้มันหายไปแล้ว”

“ข้าเป็นสุดยอดหมอมหัศจรรย์” มู่หรงไม่รู้จักเรื่องการถ่อมตัวเลยจึงพูดออกไปตรงๆ

หลินหยางมองไปที่เธออย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะเป็นสุดยอดหมอมหัศจรรย์ได้ยังไง? แม้แต่หมอเก่งๆขั้นเทพก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้เซลล์ผิวรวมตัวกันใหม่ได้ในเวลาไม่กี่สิบนาทีหรอกนะ แม้แต่ในอนาคตที่การแพทย์ก้าวหน้าไปมากกว่านี้แต่ก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลยนะ”
“อะไร?! เจ้าไม่เชื่องั้นเหรอ? เจ้าอยากจะลองหลอมละลายกระดูกอ่อนของข้าอีกหรือไง?” มู่หรงเผยรอยยิ้มและพูดออกมา

ตอนนี้สีหน้าของหลินหยางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “เคยมีใครบอกไหมว่าเจ้าไม่น่าคบเลย?”

“ข้าไม่ได้ไม่น่าคบ ข้าออกจะใจกว้างจะตาย” ในขณะที่พูด มู่หรงเสวี่ยก็ชงกาแฟเสร็จเรียบร้อยแล้วแล้วจึงพูดต่อ “มาคุยเรื่องธุระกันเถอะ เป็นไงบ้าง?” เธอมีแผนอยู่แล้ว ถ้าหลินหยางทำพลาด เธอก็แค่กลับไปหาหวังฉิงแล้วค่อยลองอีกครั้งเท่านั้นเอง

“หาที่กักขังเจอแล้วแต่การจะชิงตัวเพื่อนเจ้ามาจากหวังฉิงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าเขาจะส่งทหารฝีมือดีมากมายมาคุ้มกันเขา” หลินหยางพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ยังไงซะเธอก็เข้ามาในนี้ทั้งวันแล้ว หวังฉิงก็คงจะเตรียมพร้อมแล้ว เฟิงจือหลิงเป็นจุดอ่อนเดียวของเธอ