เล่ม 14 ตอนที่ 7

Memorize

ตอนที่ 7

 

 

 

 

“ยินดีที่รอดชีวิตกลับมานะครับ!” 

 

 

“ยินดีต้อนรับสู่โมนิก้าครับ!” 

 

 

พอเข้าไปในประตูทางด้านตะวันออก เสียงอันกระฉับกระเฉงของทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าป้องกันประตูเมืองอยู่ก็ต้อนรับพวกเราอย่างยินดี สองวัน ไม่สิ ถ้าให้ถูกก็คือหนึ่งวันกับอีกเกินครึ่งวันนิดหน่อย มันคือเวลาที่ใช้จนกระทั่งมาถึงโมนิก้าหลังจากแยกกันกับพวกยูนิคอร์น 

 

 

จากนั้นทันทีที่เข้ามาภายในประตูทางตะวันออกแล้ว สายตาหลายสิบคู่ซึ่งอยู่รอบข้างประตูเมืองก็จับจ้องมาทางพวกเรา สายตาของพวกเขากำลังมองไปทางพวกผู้เล่นที่ยังคงไม่ได้สติและขึ้นขี่หลังอยู่ 

 

 

คงคุ้นเคย หรือไม่ก็เพราะว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่นานผมจึงได้ยินเสียงจิ๊ปากไปทั่วทุกแห่ง และคนส่วนใหญ่ก็ละสายตาไปด้วยเช่นกัน 

 

 

ผมเดินไปนิดหน่อยแล้วหยุดครู่หนึ่งตรงถนนเส้นหลักของประตูเมือง จากนั้นผมจึงพูดขึ้นกับชินแจรยงซึ่งกำลังยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ 

 

 

“ผมจะจบภารกิจเดินทางไกลไปสำรวจกับช่วยชีวิตตอนนี้เลยนะครับ ผมจะพาไปที่แท่นบูชาตอนนี้เลยนะครับ” 

 

 

“มะ ไม่เป็นไรครับ ช่วยมาจนถึงตรงนี้ผมก็ขอบคุณมากแล้วครับ ผมกับผู้เล่นคนอื่นๆ ฟื้นคืนกำลังกายมาได้ระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกเราจะพากันไปยังแท่นบูชาเองครับ” 

 

 

“อืม ไม่ลำบากไปหน่อยเหรอครับ” 

 

 

“ฮ่าๆ ช่วงที่มานี่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ พวกคุณในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่กลับลำบากมากกว่าเสียอีก ถ้าหากว่ามีโอกาสเมื่อไร ผมจะตอบแทนบุญคุณนี้ให้ได้อย่างแน่นอนครับ” 

 

 

ภารกิจช่วยชีวิตเสร็จสิ้นลงแล้ว เพียงแค่ช่วยรักษาอย่างเรียบง่ายและพากลับมาถึงเมืองได้อย่างปลอดภัยก็เท่ากับว่าพวกเราได้ทำงานที่จะต้องทำเสร็จหมดแล้ว อย่างไรก็ตามผมเองก็พูดออกไปตามมารยาท ส่วนชินแจรยงก็รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีเช่นกัน 

 

 

เขาส่ายหน้าด้วยใบหน้านอบน้อม จากนั้นจึงเดินไปหาอันฮยอนเพื่อจะได้รับเอาผู้เล่นที่เขาแบกอยู่มา ทันใดนั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ ซึ่งอยู่เฉยๆ มาตลอดก็ขยับตัวราวกับตั้งใจจะรับเอาคนอื่นๆ มาช่วยคนละคน 

 

 

ผมพยักหน้าให้เด็กๆ ซึ่งมองผมด้วยใบหน้าพะวักพะวน จากนั้นจึงจับตาสังเกตชินแจรยงครู่หนึ่ง ระหว่างทางที่มาที่นี่นั้นเห็นได้ว่าผู้เล่นที่ไม่ใช่เผ่าเดียวกันก็ไม่ได้บ่นอะไรและคอยทำตามคำพูดของเขาเสมอ ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นที่มีหน้ามีตากว่าที่คิด 

 

 

“ถ้างั้นพวกเราจะไปยังแท่นบูชากันก่อนนะครับ ที่ผ่านมาขอบคุณมากๆ ครับ” 

 

 

“ครับ ผมจะรายงานการออกเดินทางไปสำรวจให้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากไปนะครับ” 

 

 

“อ้อ ฮ่าๆ ขอบคุณครับ” 

 

 

พอการส่งรายงานออกเดินทางไกลไปสำรวจอย่างเป็นทางการที่แท่นบูชาแล้ว คนจากเผ่าตัวแทนก็จะก่อตั้งกลุ่มตรวจสอบเป็นขั้นตอนพื้นฐาน ที่มาเจียยังคงมีศพของพวกผู้เล่นหลงเหลืออยู่ ต่อให้บอกว่าเป็นฮอลล์เพลนแต่ก็น่าจะรู้สึกอยากจัดการศพของคนสำคัญ 

 

 

ผมเดินเข้าไปใกล้ชินแจรยงซึ่งยิ้มอยู่เงียบๆ แล้วเอาถุงที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้เขาถุงหนึ่ง เขากะพริบตาปริบๆ ด้วยใบหน้างุนงง 

 

 

“ไม่เยอะหรอกครับ ประมาณสองร้อยโกลด์ได้” 

 

 

“อ๊ะ มะ ไม่ต้องทำแบบนี้…” 

 

 

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าถามว่าเป็นค่าอะไรก็ให้ถือซะว่าเป็นค่าข้อมูลที่ผู้หญิงด้านหลังบอกให้ก็แล้วกันนะครับ” 

 

 

คงได้ยินคำพูดของผม ผู้หญิงที่บอกข้อมูลเรื่องยูนิคอร์นให้ฟังจึงก้มหัวตอบ ชินแจรยงทำหน้าลำบากใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาเองก็น่าจะรู้สึกอยู่เช่นเดียวกัน ว่าถ้าจากนี้ไปเผ่าชายฝั่งน้ำตื้นจะต้องก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการยุบเผ่า อนาคตของสมาชิกเผ่ารวมถึงตัวเองก็คงคลุมเครือ 

 

 

‘ตอนนี้น่าจะต้องสนใจเรื่องค่ารักษาด้วยล่ะนะ’ 

 

 

หลังจากบอกลากับพวกสมาชิกเผ่าอย่างเรียบง่าย พวกผู้เล่นก็ก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสโดยมีชินแจรยงนำหน้า ภาพด้านหลังของพวกเขาเลือนรางไปแล้ว พวกเขามีความฝันกันอย่างเต็มเปี่ยมถึงแม้จะแค่ตอนออกเดินทางไกลไปสำรวจก็ตาม แต่กลับกลับมาอย่างยากลำบากและความเป็นจริงที่ต้องเผชิญหน้าก็น่าจะสิ้นหวังอีกด้วย ผมทอดสายตามองภาพของพวกเขาแล้วจึงเบนสายตาไปทางสมาชิกเผ่า 

 

 

อันฮยอน อันซล อียูจอง โกยอนจู ทั้งสี่คนสบตากับผมแล้วหัวเราะคิกคักขึ้นมาพร้อมกัน เป็นรอยยิ้มของความรู้สึกสดชื่นที่ทำการออกเดินทางสำรวจอันยากลำบากได้สำเร็จลงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง 

 

 

คิมฮันบยอลกอดเสื้อคลุมด้วยใบหน้าไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไร ลูกยูนิคอร์นที่รู้สึกถึงความอึดอัดดูเหมือนกำลังขยับตัวไปมา แพคฮันกยอลคงรับรู้ถึงความรู้สึกของการรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัยจากการออกเดินทางสำรวจครั้งแรกจริงๆ แล้ว เขาจึงกัดริมฝีปากแน่นด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ 

 

 

พระอาทิตย์ค่อยๆ หายลับขอบฟ้า เป็นเวลาที่พวกผู้เล่นจะกลับมาจากการออกเดินทางไปสำรวจ กำแพงเมืองที่มีแมงมุมดินไต่ลงมาทีละนิดเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกผู้เล่นที่กลับเมืองมา พวกผู้เล่นที่ยิ้มอย่างร่าเริงและพูดจาเสียงดังน่าจะเป็นพวกที่ได้ผลตอบแทนอะไรบางอย่างกลับมา ส่วนพวกเราก็จำเป็นจะต้องไปต่อแถวของพวกเขาตั้งแต่นี้ไป 

 

 

“พระอาทิตย์น่าจะลับฟ้าในอีกไม่นาน เพราะฉะนั้นจะเคลื่อนย้ายไปยังที่ที่มีพวกสมาชิกเผ่าที่เหลือก่อนนะครับ แล้วก็…ทุกคนทำได้ดีมากครับ” 

 

 

ไม่จำเป็นจะต้องพูดให้มากความ สมาชิกเผ่าหกคนเริ่มมุ่งหน้าไปยังเลิฟเฮาส์อย่างรวดเร็วโดยเริ่มจากผม 

 

 

ในระหว่างทางไปเลิฟเฮาส์ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ สถานที่ีที่ผมกำลังเดินอยู่ตอนนี้คือจัตุรัสกลางของโมนิก้า แต่ผู้คนกลับเยอะกว่าเวลาปกติอย่างน่าประหลาด ไม่ได้มีใบประกาศอะไรเป็นพิเศษติดอยู่บนบอร์ดประกาศด้วย บรรยากาศก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับตอนปกติเลย อย่างที่พูดไป ผู้เล่นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างจริงจัง 

 

 

ผมเอียงหัวด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฝีเท้าในการเดินไปยังเลิฟเฮาส์ช้าลง 

 

 

“ซูฮยอน จู่ๆ เป็นอะไรไปคะ” 

 

 

“ครับ” 

 

 

“ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาในจัตุรัสก็หันหน้ามองทางนี้ทีทางนู้นที กำลังหาใครอยู่หรือเปล่าคะ” 

 

 

“อ้อ ไม่มีอะไรครับ” 

 

 

“หืม~” 

 

 

 โกยอนจูเดินพรวดเข้ามาข้างๆ ผม จากนั้นจึงเหลือบตามองพร้อมกับส่งเสียงออกจมูก ดูจากที่ริมฝีปากอมยิ้มบางๆ เธอจะต้องกำลังเล่นอะไรไม่ดีอีกแน่ๆ คิดดูแล้วช่วงนี้เธอพูดหยอกล้อบ่อยขึ้น ถ้าพูดให้ถูกก็คือ หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่จองฮายอนอย่างต่อเนื่องสองครั้ง เธอก็ดูจะกล้าขึ้นมาก 

 

 

‘ไม่ยุติธรรม’ 

 

 

ผมไม่เคยพูดว่าให้ทำแบบนั้นเลย อีกทั้งพูดตามตรงก็คือการกำหนดเรื่องหลับนอนด้วยกันด้วยการเป่ายิ้งฉุบนั้นเป็นเรื่องที่น่าขำพอสมควรด้วย ผมทำสีหน้ารู้สึกไม่ยุติธรรมโดยแฝงความหมายแบบนั้นลงไป แต่โกยอนจูก็ไม่หยุดการหยอกล้อโดยไม่รู้ความหมายนั้น 

 

 

“หืม~” 

 

 

“…” 

 

 

จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะรู้ว่าโกยอนจูต้องการอะไร ผมนึกถึงบทสนทนาที่พวกผู้เล่นซึ่งเคยยืนอยู่ตรงประตูเมืองตอนออกไปจากโมนิก้าตอนแรกพูดคุยกันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้จะบอกว่าการพักผ่อนเป็นเรื่องที่มาเป็นอันดับแรกสุด แต่จากนี้ไปถ้าตั้งใจจะให้ร่างกายทนทานก็อาจจะต้องตามหาโพชั่นที่ทำให้กำลังกายปึ๋งปั๋งขึ้มาจริงๆ 

 

 

ผมถอนหายใจดังเฮือกแล้วเดินไปทางถนนใหญ่ที่เปิดกว้างไปทางด้านซ้ายจากจัตุรัส ทันใดนั้นครั้งนี้ก็มีเสียงเด็กๆ โหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นทั่วทั้งด้านหลัง 

 

 

“พี่ แพคฮันกยอล ได้ไปเดินทางสำรวจครั้งแรกกลับมารู้สึกเป็นไงบ้าง” 

 

 

“ครับ ฮ่าๆๆ มะ ไม่รู้สิครับ ก็แค่รู้สึกเหมือนอะไรมันผ่านไปในพริบตาเดียว…” 

 

 

“พี่ พี่ค้า ถ้ากลับไปจะทำอะไรเป็นอย่างแรกคะ” 

 

 

“อาบน้ำ กินข้าว นอน ไม่ได้อาบน้ำแล้วเหมือนจะตายเลย” 

 

 

“อ้อ เจ้าหนู ใกล้จะถึงแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่เฉยๆ อีกสักหน่อยนะ หืม” 

 

 

ฮี้! 

 

 

‘ดูเหมือนจะอึดอัดมากสินะ’ 

 

 

ตอนนี้ยูนิคอร์นซุกอยู่ด้านในชุดคลุมของคิมฮันบยอล แน่นอนว่าในเมื่อพากลับเมืองมาแล้วก็คิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องเปิดเผยในที่สาธารณะและไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้หรอก 

 

 

แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ผมจึงอยากหลีกเลี่ยงเรื่องที่พอจะทำให้ผู้คนกรูกันเข้ามาได้ และเพราะกลับมาเร็วกว่ากำหนดก็จะได้ดำเนินงานก่อสร้างปรับปรุงแคลนเฮาส์เลยด้วย ผมไม่อยากทำให้เกิดเรื่องที่มีความเป็นไปได้ในการทำให้เลิฟเฮาส์เกิดความเดือดร้อน 

 

 

เวลาในการเปิดตัวยูนิคอร์นกำหนดไว้ให้เป็นหลังจากเข้าไปในแคลนเฮาส์แล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมฟังเสียงของคิมฮันบยอลซึ่งแทบจะเป็นการเว้าวอนแล้วก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกขั้นทันที 

 

 

ในที่สุดก็มาถึงเลิฟเฮาส์ แววตาของสมาชิกเผ่าที่อยู่ตรงหน้าตึกน่ากลัวมาก ดูท่าว่าบางทีถ้าผมไม่ได้อยู่ข้างหน้าก็คงจะกระโดดถีบประตูอย่างแรงแล้วเข้าไปด้านในเสียตอนนี้แล้ว ผมรู้สึกได้ถึงแรงกดดันแบบไม่มีเสียงพูดซึ่งจิ้มจึ้กๆ อยู่ตรงหลัง แล้วผมจึงผลักประตูที่สัมผัสได้ถึงความขรุขระเข้าไป 

 

 

ในตอนที่กำลังจะก้าวเข้าไปด้านในนั้นเอง 

 

 

“ขอโทษจริงๆ นะคะ” 

 

 

ภาพเหตุการณ์ที่เข้ามาสู่การมองเห็นทันทีที่เปิดประตูออกนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ด้านนอกความมืดมิดกำลังปกคลุมลงมาทีละนิดๆ 

 

 

ถ้าเป็นผู้เล่นทั่วไปก็เป็นเวลาที่น่าจะกลับเข้าเมืองมาเพราะเสร็จงานประจำวันเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับพวกดอกไม้กลางคืน มันกลับเป็นเวลาที่จะทำงานตั้งแต่ตอนนี้ไป ผู้หญิงบางคนที่สวมเสื้อผ้าแปลกๆ ต่างพากันมาอยู่เต็มชั้นหนึ่งราวกับกำลังจะออกไปพอดีด้วยใบหน้ากระวนกระวาย 

 

 

เดิมทีเลิฟเฮาส์เป็นพื้นที่ีที่ผู้ชายไม่สามารถเข้าออกได้ แต่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ชั้นหนึ่งกลับมีผู้ชายหนึ่งคนยืนอยู่อย่างไม่สนใจใคร ผู้เล่นสามสี่คนซึ่งสวมอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับต่อสู้ด้านหลังเขากำลังสำรวจเคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าตื่นเต้น และตรงหน้าพวกเขาก็มีอิมฮันนาโค้งตัวอยู่สี่สิบห้าองศาอยู่ 

 

 

จากนั้นผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดก็พูดขึ้น 

 

 

“คุณฮันนา ไม่สามารถรับหัวใจของผมไปได้จริงๆ เหรอครับ” 

 

 

“ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” 

 

 

 อิมฮันนาขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ชายคนนั้นทำสีหน้าเศร้าเสียใจ ผมหยุดเดินแล้วมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผมไม่สามารถเพิกเฉยแล้วเข้าไปทั้งอย่างนี้ได้เพราะบรรยากาศที่มีอะไรบางอย่างแปลกๆ กำลังหลั่งไหลออกมาตามที่พูดไปเมื่อครู่นี้  

 

 

ความเงียบปกคลุม เงียบสงบ ชายหนุ่มดูพยายามจะทำสีหน้านิ่งๆ แต่ดวงตาของเขากลับกำลังบูดเบี้ยว จากนั้นเขาก็กัดริมฝีปากแน่นหนึ่งครั้งจนเลือดแทบออก แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

 

 

“เฮ้อ เข้าใจแล้วครับ ผมทำให้คุณลำบากใจสินะครับ” 

 

 

“ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับความรู้สึกของคุณจริงๆ ค่ะ แต่ว่า…” 

 

 

“เงยหน้าเถอะครับ ไม่ต้องพูดไปมากกว่านี้แล้วก็ได้ ตอนนี้ผมจะไปแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องวันนี้ก็ลืมไปซะเถอะครับ มาดามอิม” 

 

 

“…” 

 

 

“ไปกัน” 

 

 

ชายหนุ่มโพล่งขึ้นมาอย่างเย็นชาแล้วหมุนตัวไปทันที ทันใดนั้น หนึ่งคนในบรรดาเพื่อนร่วมกลุ่มที่คอยดูอยู่นิ่งๆ ด้านหลังในท่ายืนกอดอกก็ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน 

 

 

“สมราคาจริงๆ เลยนะคะ ความหยิ่งยโสแสนสกปรกเพราะได้ชื่อว่าเป็นมาดาม” 

 

 

“พูดแรงเกินไปนะคะ” 

 

 

“ชินเยซึล พอแล้ว ยังไม่ออกมาอีกเหรอ” 

 

 

อิมฮันนาตั้งตัวตรงเพราะคำพูดเสียดสีของหญิงสาวแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าชินเยซึลคงไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงมีท่าทางฉุนเฉียว แต่ไม่นานก็ต้องปิดปากเงียบไปเพราะการห้ามปรามต่อมาของชายหนุ่ม จากนั้นเธอก็ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมั่นไส้แล้วหมุนตัวกลับไปจนมีเสียงดังขวับ 

 

 

ผมหลีกทางให้สองสามก้าวเพื่อที่จะให้พวกเขาผ่านไปได้ 

 

 

คนพวกนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญต่างพากันออกไปราวกับกระแสน้ำพัด สมาชิกเผ่าก็คงเห็นสถานการณ์เมื่อครู่นี้ ทุกคนจึงกำลังทำสีหน้าอึดอัดใจอยู่ 

 

 

“อุ๊ยตาย ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ กลับมาแล้วเหรอคะ” 

 

 

และตอนนั้นคงเห็นพวกเราพอดี อิมฮันนาจึงทำตาโตแล้วส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ ผมกระแอมครั้งสองครั้งแล้วพูดขึ้น 

 

 

“อ้า ครับ กลับมาเมื่อกี้นี้แต่…ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลาที่ดีสักเท่าไร” 

 

 

“โฮะๆ ไม่หรอกค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว อย่าใส่ใจมากเลยค่ะ ยังไงก็เถอะ ยินดีที่ได้กลับมาอีกครั้งนะคะ” 

 

 

“ขอบคุณครับ ถ้างั้นจะเข้าไปแล้วนะครับ” 

 

 

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เอาล่ะ พวกเธอก็อย่าอยู่เฉยแล้วไปทำงานที่ต้องทำได้แล้ว” 

 

 

“พี่…” 

 

 

ใบหน้าของพวกดอกไม้กลางคืนต่างก็มีเงามืดทาบทับกันเหมือนๆ กัน แต่พออิมฮันนาปลอบว่าไม่เป็นไรแล้วเร่งให้ไปทำงาน พวกเธอจึงเดินอย่างลังเลไปนอกประตู 

 

 

อิมฮันนานำพวกเรามาที่โต๊ะ ไม่รู้ว่าสีหน้าของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนไหน เธอจึงทำสีหน้าอ่อนโยนเช่นเดิมพร้อมกับพูดขึ้น 

 

 

“กลับมาแล้ว ก่อนอื่นก็ทานอาหาร…อ้อ ฉันเรียกสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ให้ไหมคะ” 

 

 

“ตอนนี้อยู่กันครบเลยเหรอครับ” 

 

 

“พี่ฮายอนกับคุณชินซังยงบอกว่าออกไปดูแคลนเฮาส์ค่ะ บอกว่าวันนี้น่าจะกลับมาค่ำด้วย ส่วนคุณวิเวียนตอนนี้น่าจะอยู่ชั้นสองค่ะ ฉันจะไปเรียกให้เองค่ะ” 

 

 

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ อันฮยอน นายไปพาเธอลงมาซิ” 

 

 

“ครับ พี่”