ตอนที่ 8
อันฮยอนซึ่งกำลังจะนั่งลงกลับเลี่ยงไปทางบันไดราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกไปเพราะคำพูดของผม ผมมองเขาที่ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรุนแรงจนเหมือนบันไดจะพัง แล้วผมจึงเบนสายตามายังเด็กๆ ที่นอนฟุบอยู่ตรงโต๊ะ
“ไม่คิดเลยนะว่าทั้งสองคนจะไม่อยู่ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหนด้วย เพราะฉะนั้นระหว่างนั้นทุกคนจะทานอาหารกันเลยไหมครับ”
“ค่า! ค่า! ค่า! ค่า!”
“ว้าว! ว้าว!”
“เห็นด้วย~”
สมาชิกเผ่าเห็นด้วยกับคำพูดของผมโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ไม่สิ ไม่ใช่แค่เห็นด้วยเท่านั้น วันที่กลับมาหลังจากสิ้นสุดการเดินทางไกลไปสำรวจในตอนแรกแทบจะถูกกำหนดให้เป็นวันที่จะกินของอร่อยๆ อย่างเต็มที่ไปแล้ว
ทุกคนเริ่มสั่งอาหารที่ตรงกับความต้องการของแต่ละคนอย่างเต็มที่ราวกับจะทำให้ปากที่เคยเคี้ยวเพียงแค่เนื้อตากแห้งกับขนมปังแข็งๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้สัมผัสกับอาหารอันเลิศรส อิมฮันนาสะดุ้งกับการสั่งอาหารที่ถาโถมเข้ามาอย่างพรวดพราด แต่แล้วก็หัวเราะคิกคักพร้อมกับพยักหน้าอย่างเยือกเย็น
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะไม่สั่งเหรอคะ”
“อืม…”
ผมไม่ค่อยหิวนัก ถ้าฮายอนหรือชินซังยงอยู่ที่นี่ ผมก็แค่อยากจะฟังเรื่องราวในช่วงที่ไม่อยู่เท่านั้น แต่เห็นบอกว่าจะกลับมาค่ำๆ
ความเหนื่อยล้าที่รู้สึกได้จากร่างกายตั้งแต่ตอนที่ซากโบราณสถานปรากฏออกมามันยิ่งรุนแรงมากขึ้นอีก ผมคิดว่าจะรอดีไหม แล้วสุดท้ายจึงตัดสินใจลุกขึ้นก่อน อย่างไรถ้าจะเข้ามาตอนค่ำๆ ผมก็จำเป็นจะต้องพักผ่อนในที่ที่ถูกต้องแล้วก็คอยจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังจากนี้
“ผมยังไม่สั่งดีกว่าครับ ถ้างั้นผมจะขึ้นไปนอนก่อน ทุกคนทานให้พอแล้ววันนี้ก็พักผ่อนซะนะครับ ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ”
“หืม พี่ จะไปนอนแล้วเหรอ”
“อือ”
“ถ้างั้นเรื่องพิจารณาสิ่งของ…”
“ยังไงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เตรียมใบประเมินคุณค่าสิ่งของเลยไม่ใช่เหรอ ซูฮยอน ขึ้นไปนอนก่อนเถอะค่ะ พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ”
ที่ผ่านมาจะว่าซ่อนมันเอาไว้ก็ซ่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนโกยอนจูจะสังเกตเห็นอย่างที่คิด ผมยิ้มอย่างขมขื่นพลางถอนหายใจสั้นๆ แล้วลุกจากที่ไป และหลังจากที่เห็นว่าอิมฮันนาเดินไปทางครัวแล้ว ผมจึงรีบรับก้อน(?)ชุดคลุมมาจากคิมฮันบยอล ลูกยูนิคอร์นคงเหนื่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ชุดคลุมจึงเพียงแค่ขยับเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ได้ขยับแรงขึ้นเลย
ในตอนที่ทุบไหล่ที่แข็งตึงและกำลังจะขึ้นบันได ผมจึงเห็นอันฮยอนกับวิเวียนลงมาด้วยกันพอดี
วิเวียนรีบจ้ำลงบันไดมาอย่างรวดเร็วแล้วจากนั้นคงเห็นผม เธอจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง จากนั้นก็ทำเป็นสุภาพเรียบร้อยอย่างเต็มที่แล้วเริ่มเดินลงมาด้วยใบหน้าสบายใจ พอเผชิญหน้ากันตรงบันไดชั้นหนึ่ง เธอก็แกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นผมแล้วทักทายอย่างถือตัวทันที
“โอ้โฮ นี่ใครกันนะ คิมซูฮยอนมาแล้วนี่!”
“อือ วิเวียน ไม่ได้เจอกันนานนะ ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้วจะขึ้นห้องแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“อ๊ะ หา?”
พอผมทุบไหล่หนึ่งครั้งแล้วเดินผ่านไปทั้งอย่างนั้น วิเวียนก็หน้าแตกแล้วกะพริบตาปริบๆ ทันที
“พี่ ไม่ทานข้าวเย็นแล้วจะไม่เป็นไรเหรอครับ”
“ไม่เป็นไร ร่างกายมันล้าๆ นิดหน่อยน่ะ ถ้าหลังจากนี้คุณจองฮายอนกับคุณชินซังยงมาแล้วก็ช่วยอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ด้วยแล้วกัน”
“อ๊ะ ครับ พี่ ถ้างั้นก็นอนเถอะครับ”
“อืม นายก็อย่าดื่มเยอะเกินไปล่ะ”
“ดะ เดี๋ยว…มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!”
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างทำท่าจะร้องไห้จากด้านล่าง แต่ผมก็เดินขึ้นบันไดไปด้วยการก้าวเท้าอันรวดเร็ว
* * *
“ถ้างั้นก็กลายเป็นแบบนั้นเหรอ”
“ค่ะ ถึงอย่างนั้นก็เอาแต่เรียกคุณฮันนา คุณฮันนาซ้ำๆ อยู่นั่น แล้วจู่ๆ ก็เรียกว่ามาดามอิมเฉยเลยค่ะ เห็นหมดเลยว่าคิดอะไรอยู่ใช่ไหมล่ะคะ”
“โฮะๆ”
บนโต๊ะเต็มไปด้วยความวุ่นวายโดยไม่รู้ตัว จานชามกับขวดเหล้าที่เกลือกกลิ้งไปมาอยู่ทั่วโต๊ะ พวกผู้เล่นที่นอนคว่ำอยู่อย่างไม่ระแวดระวังอะไร อันซล คิมฮันบยอล แพคฮันกยอล วิเวียนที่ควบคุมใจตัวเองได้ขึ้นไปยังที่พักก่อนแล้ว แต่ที่เหลืออยู่สองคนถึงกับกรนออกมาและกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในความฝันอันแสนหวาน
มีเพียงโกยอนจูกับอิมฮันนาสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่อย่างมีสติครบถ้วนและกระดกแก้วเหล้าเข้าปากอย่างสบายๆ
ในตอนที่หมดไปแก้วหนึ่งแล้วก็ได้ยินเสียงประตูถูกปิดออก หญิงสาวทั้งสองหันหน้าไปโดยอัตโนมัติ จองฮายอนกับชินซังยงซึ่งมีใบหน้าเป็นสีแดงเรื่อราวกับตากลมกำลังเข้ามา โกยอนจูมองพวกเขาแล้วยิ้มให้บางๆ พร้อมกับโบกมือเบาๆ
“รีบเข้ามาเร็วค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ตายจริง!”
“ผะ ผู้เล่นโกยอนจู”
ทีนทีที่จองฮายอนกับชินซังยงเข้ามาหนึ่งก้าว พวกเขาก็ชะงักไปแล้วมองโกยอนจูพร้อมกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน โกยอนจูชี้ไปทางอันฮยอนกับอียูจองซึ่งกำลังนอนอยู่ จากนั้นจึงยกนิ้วชี้ขึ้นมาตรงริมฝีปากพร้อมทำเสียง “ชู่” ทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผลครู่หนึ่งแล้วจึงเดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะอย่างระมัดระวัง
“มาเมื่อไรคะ”
“บ่ายวันนี้ค่ะ ทั้งสองคนทำไมกลับมาดึกขนาดนี้ล่ะคะ”
“ไปดูแคลนเฮาส์แล้วก็ไปเผ่าอีสตันเทลลอว์ด้วยค่ะ”
“อีสตันเทลลอว์เหรอ”
“ค่ะ การกลับมาของเมอร์เซนต์นารี่ดูเหมือนจะล่าช้าออกไปก็เลยคงจะเป็นห่วงน่ะค่ะ บอกว่าจะส่งทีมกู้ภัยไปทันทีก็เลยไปอธิบายสถานการณ์นิดหน่อยแล้วถึงมาน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเองสินะคะ”
โกยอนจูพยักหน้าด้วยใบหน้าเข้าใจแล้วจับแก้วเหล้าอีกครั้ง พออิมฮันนากำลังจะหยิบขวดเหล้าให้ด้วยความรวดเร็ว เธอก็ส่ายหน้าพร้อมแล้วจึงพยักพเยิดไปทางทั้งสองคนที่นอนฟุบอยู่
“ไม่เป็นไร ฮันนา เธอพาเด็กๆ ไปตรงนู้นสักหน่อยได้ไหม พาไปนอนบนเตียงที”
“ค่ะ พี่”
“ผะ ผมก็จะช่วยด้วยครับ”
พออินฮันนาลุกพรวดขึ้น ชินซังยงเองก็ลุกขึ้นตามทันที จากนั้นอิมฮันนาก็ประคองอียูจอง ส่วนชินซังยงก็ประคองอันฮยอนแล้วเริ่มเดินขึ้นบันไดไปอย่างสนิทสนม
“เฮ้อ~ ดื่มมากไปหรือเปล่านะ”
“…”
โต๊ะที่เคยอึกทึกครึกโครมแม้จะแค่สองชั่วโมงก่อนกลับเงียบสงบลงอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว จองฮายอนมองโต๊ะที่ยุ่งเหยิงด้วยใบหน้าเอือมระอาแล้วจึงมองโกยอนจูที่รินเหล้าอีกครั้งพลางพูดขึ้น
“งานเป็นยังไงบ้างคะ”
“ข่าวลือยังไม่แพร่สะพัดออกไปอีกเหรอ ใช้คุ้มเลยเชียวค่ะ พวกผู้เล่นก็ช่วยชีวิตไว้ได้ แถมยังได้ขุดค้นซากโบราณสถานด้วย ครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทนมากมหาศาลเลยล่ะค่ะ”
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอคะ ดีแล้วล่ะค่ะ นึกดูแล้ว ซูฮยอนล่ะคะ”
“ได้ยินว่าคุณฮายอนจะกลับดึกน่ะค่ะก็เลยขึ้นไปแล้ว ดูเหมือนจะเหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ”
ถึงแม้จะแค่ครู่เดียวแต่ตอนนั้นใบหน้าของจองฮายอนก็มีเงาดำพาดผ่านไป จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“หรือว่า…เขาใช้พลังนั่นในการเดินทางไกลครั้งนี้เหรอคะ”
“ค่ะ แต่คู่ต่อสู้ไม่ง่ายเลยนะคะ ตลอดทางที่มา เขาไม่แสดงออกให้เห็นเลย แต่ดูเหมือนจะเหนื่อยมากทีเดียวค่ะ ฉันเองก็สังเกตดูแทบไม่เห็น พูดตามตรงว่าดูจากนิสัยของซูฮยอนแล้ว ถ้ามันไม่ผิดแปลกมากก็คงจะรอก่อน แต่นี่พูดออกมาว่าจะต้องพักก่อนเลยค่ะ ดูเหมือนว่าคงจะเหนื่อยมากจริงๆ ล่ะค่ะ”
“ทำยังไงดี…”
“ลองรอก่อนแล้วกันค่ะ บอกว่าจะพักแล้วขึ้นไป เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ค่อยสังเกตดูก็ได้ค่ะ”
โกยอนจูถอนหายใจออกมาพลางกระดกแก้วเหล้าอีกครั้งอย่างที่คิด เหล้าที่เคยมีจนเต็มแก้วกลับลดลงอย่างรวดเร็ว และลำคอของเธอเองก็เคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลไปตามนั้น จองฮายอนเท้าคางข้างหนึ่งพร้อมกับใช้นิ้วเคาะตรงแก้ม จากนั้นจึงมองโกยอนจูซึ่งวางแก้วเหล้าลงพลางพูดขึ้น
“ไม่เหนื่อยเหรอคะ”
“ฉันไม่ค่อยเท่าไรค่ะ”
“ถ้างั้นก็น่าจะได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียดได้สินะคะ”
“โฮะๆ”
พอจองฮายอนเปลี่ยนท่าให้เข้าที่เข้าทางพลางพูดขึ้น โกยอนจูจึงหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็พิงร่างกับพนักเก้าอี้ด้านหลังพร้อมกับยกขาขวาขึ้นเพื่อไขว่ห้าง
“เตรียมพร้อมที่จะต้องตกใจไว้ด้วยนะคะ”
* * *
พอลืมตาขึ้น เพดานก็หมุนวนไปมา ทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงและในหัวก็มึนอย่างหนัก ผมตั้งใจที่จะลุกขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไปเพราะความรู้สึกกดดันอันหนักหน่วงที่กดลงตรงหน้าท้อง
“เฮ้อ…เวียนหัวชะมัด จริงๆ เลย”
ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้แต่จู่ๆ ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงก็ถาโถมเข้ามา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพึมพำอยู่คนเดียว จากนั้นจึงรอให้อาการเวียนหัวลดน้อยลงแล้วจึงเริ่มตรวจสอบร่างกายทีละส่วน
‘วงจรพลังเวทโอเคดี ประสาทสัมผัสก็ไม่มีอะไรแปลก แต่เรี่ยวแรง…’
พอลองกำแล้วแบมือทั้งสองข้างสองสามครั้ง ผมจึงรู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงลดน้อยลงมากแค่ไหนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พลังเวทมีสมรรถภาพเฉพาะตัวก็จริง แต่ก็ทำหน้าที่ในการทำให้การจ่ายพลังงานของค่าความสามารถนอกจากค่าของโชคให้เพิ่มมากขึ้นด้วยเหมือนกัน และกำลังกายเป็นทั้งเสาหลักและรากฐานที่ทำให้ทนทานต่อสิ่งนั้นและคงสภาพไว้ได้
แต่ผมใช้พลังเวทประสิทธิภาพสูงที่ชื่อว่าฮวาจองในสภาพที่ ‘ราก’ ซึ่งเรียกว่ากำลังกายมีไม่เพียงพอ แน่นอนว่าร่างกายไม่มีทางทนได้ บางทีถ้าไม่ใช่เพราะความอดทนที่สั่งสมไว้ในช่วงที่ผ่านมากับ ‘อยู่ยงคงกระพัน’ ผมอาจจะล้มไปเป็นคนแรกก็ได้
พอคิดมาถึงตรงนั้น ผมจึงรู้สึกได้ถึงเรื่องเร่งด่วน พูดอย่างละเอียดก็คือพอนอนมาหนึ่งคืนแล้ว ร่างกายจึงฟื้นสภาพคืนมาด้วย และสภาพมันดีกว่าเมื่อวานอย่างแน่นอน
แต่มันไม่ฟื้นสภาพได้เท่าแต่ก่อน นั่นหมายความว่าความสามารถในการฟื้นคืนลดต่ำลง ผมมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าบางทีถ้าไปต่อในสภาพนี้ แล้วมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงบางอย่างเกิดขึ้น ผมคงแย่แน่ๆ
‘เลื่อนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว’
ผมตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาเรื่องความแข็งแกร่งภายในระยะเวลาสั้นๆ คงไม่สามารถเมินเฉยเรื่องการเอาพอยต์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดไปใส่ไว้กับค่าความแข็งแกร่งได้แล้ว
พอนอนนิ่งๆ แล้วเพียงแค่กะพริบตา เพดานที่เคยหมุนติ้วก็กลับมาสู่สภาพเดิม อาการวิงเวียนหายไปเยอะ แต่ความรู้สึกกดดันที่กดทับลงมาตรงส่วนท้องกลับยังไม่หายไปไหน
“…”
จู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ พอยกหัวขึ้นมาก้มลงมองด้านล่างนิดหน่อยจึงเห็นว่าตรงกลางผ้าห่มที่ผมห่มอยู่นูนขึ้นเป็นทรงกลมๆ มันกำลังขยับขึ้นลงเหมือนกับมีชีวิต พอรีบเลิกผ้าห่มออก ผมจึงได้เห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังท่องเที่ยวอยู่ในโลกแห่งความฝันในท่าขดตัวเป็นก้อนกลมๆ บนท้องผม
ฟี้…ฟี้…
“…นายนี่เองที่เป็นคนร้าย”
ผมมองลูยูนิคอร์นซึ่งกำลังนอนอยู่เหมือนเด็กที่นอนหลับสนิทแล้วระเบิดหัวเราะออกมา ผมดันตัวลุกขึ้นโดยระวังไม่ให้มันตื่นแล้วจึงค่อยๆ เปิดประตูห้อง และในตอนที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอกนั่นเอง
งับ
“หืม”
ไม่รู้ว่าตื่นตอนไหน ลูกยูนิคอร์นจึงกำลังกัดส้นเท้าของผมด้วยดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น จากนั้นพอสบตากับผม มันก็ร้องดังฮี้แล้วปล่อยข้อเท้าผมไป ดูจากการที่มันจ้องผมเขม็งแม้แต่ตอนที่ง่วงนอน ดูเหมือนมันมีความหมายว่าอย่าไปไหนแล้วปล่อยตนไว้คนเดียวแน่ๆ
ผมกอดเจ้าตัวน้อยขึ้นมาทันทีพลางเปิดประตูห้อง คงพอใจเรื่องนั้นมาก ลูกยูนิคอร์นจึงพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับหันไปมองทางเดิน ตอนนั้นเอง
“เฮ้อ ยุ่งจังเลย ยุ่งชะมัด”
ทันทีที่ออกมาตรงทางเดิน เงาดำมืดก็แวบผ่านหน้าผมไป พอมองดูดีๆ ว่าเป็นใครจึงเห็นว่าเป็นวิเวียน เธอคงยุ่งมากขนาดนั้นจึงพูดว่า ‘ยุ่งมาก ยุ่งจริงๆ’ ไม่หยุดแล้วเดินไปทางบันได ผมตัดสินใจว่าจะรอดูก่อน
“อ๊ะ! ลืมสนิทเลยเผลอวางอะไรทิ้งไว้ล่ะเนี่ย ช่วยไม่ได้สินะ ต้องกลับห้องไปเอามันมาอีกครั้งแล้ว!”
จากนั้นในตอนที่เดินผ่านทางเดินทั้งหมดแล้วค่อยๆ เดินไปถึงบันได การเดินของวิเวียนจึงเริ่มเชื่องช้าลงจนสังเกตเห็น ผมถึงกับสงสัยว่าใช้เวทสโลว์หรือเปล่า จากนั้นเธอก็ไปถึงตรงหน้าบันไดได้ในที่สุดแล้วจึงปรบมือดังป้าบ จากนั้นจึงพึมพำเสียงดังจนเหมือนบอกให้ผมฟัง
ผมนับถือเธอที่ทำให้ภายในใจผมรู้สึกขำตั้งแต่เช้า จากนั้นจึงตัดสินใจที่จะสนองต่อความคาดหวังของเธอเป็นการตอบแทน
“วิเวียน”
“อือ สวัสดีคิมซูฮยอนหลับสบายไหม เช้านี้อากาศดีนะ”
ทันทีที่เรียก วิเวียนก็หันกลับมาราวกับรออยู่ เป็นการทักทายยามเช้าที่แสดงท่าทางที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา ผมรู้สึกขำจนจะตายอยู่แล้วในใจ แต่ผมก็อดกลั้นมันไว้อย่างยากลำบากพลางย้อนถามเธอ
“อ้อ เธอทำไมถึง…คิก ยุ่งขนาดนั้นล่ะ”
“อ๋อ~ ก็แค่มีงานยุ่งๆ นิดหน่อยน่ะสิ~ ว่าแต่นั่นอะไรน่ะ”
“ยูนิคอร์น เมื่อวานไม่ได้ฟังเรื่องมาเหรอ”
“อ๋อ! ฟังสิ! เมื่อวานฉันน่ะอยากเห็นแทบแย่ แต่โกยอนจูบอกว่าไม่ให้เข้าไปในห้องของคิมซูฮยอนเด็ดขาดเลยนะ เพราะฉะนั้นก็เลยอดทนไว้น่ะสิ”